25 ก.ย. 2554

ทุกอย่างล้วนชั่วคราว มาแล้วก็ไป..

   ครั้งหนึ่งมีประชุมพูดคุยกันของคณะครูโรงเรียนลำปลายมาศพัฒนา 
 ครูใหญ่ได้ถามครูทุกกคนว่า 'ครูแต่ละคนมีกระบวกการ/หนทางสร้างความสุข ให้ตัวเองอย่างไรบ้าง?'
คุณครูแต่ละคนก็บอก วิธีการที่ครูแต่ละคนนำมาใช้ในยามท้อ เช่น ไปทำสิ่งที่ตัวเองอย่างทำ , อ่านหนังสือ , ขับรถออกไปข้างนอกคนเดียวให้ไกลๆ , โทรหาแม่/พ่อ , หาคนคุยด้วย ฯลฯ
แต่มีคุณครูแสง ที่ตอบกระบวนการที่ตนเองใช้ แล้วเข้มแข็งผ่านปัญหาที่ตัวเองพบเจอมาได้ ยืนอยู่ตรงนี้
ครูแสง ตอบว่า.. 'คิดเสมอว่า ทุกๆอย่าง(ความสุข/ความทุกข์) เดี๋ยวมันก็จะผ่านไป!'
เป็นประโยคสั้นๆ แต่มีความหมายซ่อนอยู่ลุ่มลึก และน่าจดจำมากๆครับ

  ในอดีตกาลมีพระราชาผู้ยิ่งใหญ่แห่งอาณาจักรฮีบรู นามว่า 'โซโลมอน' 
พระราชาได้สั่งให้เจ้าเมืองทุกเมืองทำของวิเศษให้อย่างหนึ่ง โดยของสิ่งนั้นจะต้องมีคุณสมบัติพเศษ คือ ของสิ่งนั้นจะต้องสามารถเปลี่ยนอารมณ์ความรู้สึกของพระราชาได้
"หากมีความทุกข์อยู่ ก็จะหายจากทุกข์ หากมีความสุขอยู่ก็จะคลายสุขลง ไม่ว่ากำลังร้องไห้อยู่หรือหัวเราะอยู่ก็จะสามารถหยุดอารมณ์ทั้งสองอย่างนั้นได้"
เมื่อครบกำหนด ก็ไม่สามารถมีเจ้าเมืองคนใดสามารถหาของมาให้พระราชาได้ตามต้องการ แต่มีเมืองเล็กๆ อยู่เมืองหนึ่งที่บอกว่ามีของวิเศษจะมาถวายยตามมที่ต้องการ
  พระราชาจึงให้นำมาเข้าเฝ้า ปรากฏว่าของวิเศษที่ว่าเป็นเพียงแหวนธรรมดาเรียบๆ วงหนึ่งเท่านั้น แต่เมื่อพระราชานำมันขึ้นมาสวมใส่ มันสามารถเปลี่ยนอารมณ์ของพระราชาได้จริงๆ เพราะว่าไม่ว่าพระราชากำลังมีความทุกข์หรือสุขอยู่ก็ตาม อารมณ์ของพระราชาจะเปลี่ยนได้จริง เพราะแหวนวงนั้นมีข้อความสั้นๆ สลักไว้ว่า
'แ ล้ ว สิ่ ง นั้ น จ ะ ผ่ า น ไ ป'
  ในยามที่พระองค์มีความทุกข์ ก็จะมองไปที่แหวนวงนั้น ซึ่งจะเตือนสติพระองค์ว่า ทุกสิ่งจะไม่อยู่นาน มันจะผ่านพ้นไปในไม่ช้า
นับแต่นั้นเป็นต้นมา พระราชาก็ไม่คิดจะนำความทุกข์มาเป็นกังวลเวลามีความสุข ก็ไม่ยึดติดในความสุขนั้น ทำให้พระราชาสามารถตัดสินเรื่องราวต่างๆ ได้อย่างถูกต้อง เป็นพระราชาที่ยิ่งใหญ่ เป็นพระราชาที่รักและเคารพของประชาชน..

  การหมักหม่มความทุกข์นั้นจะทวีคูณความทุกข์เกิดขึ้นทุกขณะ สะสมไว้นานวันเข้าก็จะบานปลายกลายเป็นปัญหาเรื้อรัง ใหญ่ขึ้นๆ จนเรา อาจจะไม่สามารถก้าวข้ามผ่านมรสุมของปัญหานั้นๆ ที่เรากำลังก่อสร้างมันขึ้นมาเองได้
  หลายคนพยายามสะสมความสุข ยิ่งสะสมไว้นานก็ยิ่งก่อตัวเป็นความสุขกองที่ใหญ่ขึ้นๆ แต่ความสุขนั้นไม่บานปลายกลายเป็นความสุขเรื้อรัง เช่นดังความทุกข์ ทุกขณะที่ความทุกข์เข้ามาแทรกแซงกำแพงความสุขที่เราสร้างขึ้นมา กำแพงนั้นจะอ่อนตัว ปล่อยให้ความทุกข์ผ่านกำแพงเข้ากลืนกินความสุขให้จางหายไปทีละน้อยๆ จนกระทั่งไม่เหลือความสุขอยู่เลย..

เรื่องบางเรื่องที่ทำให้เราเครียด ถ้าเราไม่จำเป็นต้องไปจุดประเด็น(ให้ความสนใจ มันมากจนเกินไป) แต่ให้เรามีสติระลึกรู้เพียงว่าทุกสิ่งทุกอย่างล้วนอยู้เพียงชั่วคราว มาแล้วก็ไป เราก็จะมองทุกๆสรรพสิ่งต่างที่เห็นด้วยการมีสติ คิดใคร่ครวญที่สิ่งที่ตัวเองกำจะเผชิญหรือเกิดขึ้นแล้วทุกขณะ และจะไม่กระทำไปด้วยอารมณ์ ใจของเราจะเบาลง มีความเป็นกลางมากขึ้น เราจะเข้าใจความทุกข์มากขึ้นแล้วมันก็จะน้อยลงๆ
เราจะเข้าใจชีวิตมากขึ้น แล้วชีวิตเราก็จะมีความสุขเกิดขึ้น ทุกๆขณะ...

18 ก.ย. 2554

ที่สุดของความต้องการของคนแล้ว ก็คือ 'ความธรรมดา'

   บางครั้งผมเคยทดสอบการแก้ปัญหาบางอย่างด้วยการอยู่คนเดียว ทำตัวเองให้กลับคืนมาเป็นตัวเองด้วยการอยู่คนเดียว คิดคนเดียว ใคร่ครวญอะไรบางอย่างด้วยตัวเราเองเพียงคนเดียว
ผลที่ได้รับจากการอยู่คนเดียว คือ การสะสมความความกลัดกลุ้ม หมักหมมปัญหาเล็กๆน้อยๆ นานวันเข้ากลับกลายเป็นกองใหญ่เกินจะพังทะลาย ปัญหาบางอย่างกับคลี่คลาย ปัญหาใหม่บางอย่างย้อนกับเข้ามาแทนที่
แล้ววันหนึ่งผมก็ได้ค้นพบสิ่งที่มาเป็นจุดเปลี่ยนห้วงของความคิดในสภาวะนั้น ให้เรากลับมาเป็นตัวของเราเองอีกครั้ง
ผมเชื่อว่าคนเราทุกคนต้องมีประโยคโดนใจหรือคติพจน์ประจำตัว หลายคนเกิดในสภาพแวดล้อมแตกต่างกัน หลายคนต้องได้พบเผชิญกับโอกาสที่แตกต่างกัน คนอยู่ใกล้นักปราชญ์ก็จะได้สะสมแง่คิดเชิงด้านบวก ส่วนคนที่อยู่ใกล้คนพาลก็จะได้สะสมแง่คิดเชิงด้านลบ
ผมอ่านประโยคเหล่านี้แล้ว.. ผมมีความสุข.. ผมอยู่ในสภาวะที่พึงพอใจ ตัวของผมเบา ผ่อนคลาย สบายและมีความสุข..

'ณ ขณะนี้ฉันกำลังมีความสุขกับการทำงาน'

'ความสุข คือ การได้พบว่ายังมีเหตุผลอีกมากมาย ให้เราลืมตาตื่นขึ้นทุกวัน แทนที่จะนอนนิ่งปิดตามืดอยู่อย่างนั้น'

'รุ้งที่สวยงามประกอบไปด้วยสีที่แตกต่างกันหลายๆสี เรียนรู้ที่จะชื่นชมกับความแตกต่างของคนเพื่อเห็นความงดงามของการมีชีวิตอยู่ ในโลกนี้ร่วมกัน'

'ชีวิตเราสั้นเกินกว่า จะหมดเปลืองไปกับความกังวล'

'หนึ่งวินาทีที่ผ่านไปก็คือ อดีตไปแล้ว ทำทุกนาที ณ ตอนนี้ ให้เป็นปัจจุบันที่ดีที่สุด'

'การมอบความปรารถนาดีต่อกัน ล้วนเป็นสิ่งที่งดงามประเสริฐสุด
การให้ด้วยใจ ให้แล้วเราอิ่มใจ มีความสุข ไม่เป็นทุกข์ คือ ที่สุดของการให้
การทำดี เพราะทำไปแล้วรู้ว่ามันดี..นั่นล่ะคือ การทำความดี..
การมอบความรัก เป็นสิ่งที่ดีงดงามเสมอ..ไม่ว่าจะมอบให้กับอะไร สิ่งไหนก็ตาม..'

  การแสวงหาความสุข คนที่ตามหาความสุขจะพบความสุขช้ากว่าคนที่ ไม่รอค่อยความสุข แต่เขากำลังจะสร้างความสุขให้ตัวของเขาเอง
คนที่รู้ตัวเองว่าตอนนี้ว่าสิ่งที่ตัวเองทำมันจะมีความทุกข์ คนนั้นจะเห็นวิธีทางเดินหาความสุข
ที่สุดของคนเรา คนทุกคนต้องการความธรรมดา คนที่แสวงหาความสุข คือ คนที่กำลังทำให้ตัวเองกลับกลายมาเป็นคนธรรมดา

เจ้าสัวเศรษฐีอายุมากๆคนหนึ่ง แกซึ่งมีทรัพย์สินมากมายมั่งคั่ง มั่งมี มีความสุขกับตระกูล แล้ววันหนึ่งตระกูลนั้นลูกหลานแก่งแย่งทรัพย์สมบัติของตระกูลเพื่อมาครอบครองเพียงคนเดียว ความสามัคคีแตกแยก ลูกหลานเศรษฐีต่างก็แก่งแย่งทรัพย์สมบัติ
เจ้าสัวหมดรอยยิ้ม หมดความหวัง หมดแรงใจที่จะเห็นหน้าลูกหลายในตระกูล 
จึงตัดสินใจให้ทนายประจำตระกูล นำทรัพย์สินส่วนใหญ่(ส่วนน้อยนิด ให้ทนายมอบให้ลูกๆ เท่าๆกัน) ที่เหลือส่วนใหญ่ เจ้าสัวนำทรัพย์สินไปมอบบริจาคทั้งหมด ตามองค์กร ตามมูลนิธิต่างๆ สร้างโรงเรียน สร้างโรงพยาบาล ฯลฯ..
สุดท้ายแล้วเจ้าสัวท่านนี้ไม่เหลือทรัพย์สินอะไรเลย เหลือเพียงแต่ความธรรมดา แต่เจ้าสัวท่านนี้ มีรอยยิ้ม มีความหวัง มีพลังใจในวันสุดท้าย ก่อนตายอย่างสงบ ณ วันป่าแห่งหนึ่ง อย่างสู่สุขติ...

9 ก.ย. 2554

หากขาด..'ความเข้าใจ'

   การที่เรามั่นใจในสิ่งที่เรากำลังลงมือทำและกำลังเป็นอยู่ เรามักจะผูกโยงการคาดหวังและมักตั้งมาตรฐานสูงกว่าตัวเราเอง ซึ่งเกิดจากการขาดความเข้าใจและยอมรับต่อสิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ถ้าหากว่าเราคิดว่าเราต้องทำงานให้ดีกว่านี้ ก็หมายความว่า ณ วันนี้เรายังอยู่ในสภาวะที่ยังไม่พอใจ
สิ่งที่กำลังเป็นอยู่ ขัดแย้งกับสิ่งที่เราคาดหวังอยากจะเป็น..
ยิ่งความอยากมีอยากเป็นห่างไกลจากความเป็นจริงมากเท่าใด เราก็ยิ่งมักเกิดความขัดแย้งใจมากเท่านั้น
ฉันขาดความสุข..
ขาดความเชื่อมั่นในตัวเอง...
ขลาดกลัวที่จะโบยบินไปข้างหน้า....

  คนเราทุกคนไม่ว่าเขาจะดีหรือร้ายกับเราล้วนช่วยให้เราพัฒนาตัวเองขึ้นมาทั้งสิ้น คนที่ดีกับเรา จะรักและสนับสนุนเรา ส่วนคนที่ร้ายก็ช่วยสร้างความเข้มแข็งให้เรา..
ถ้าหากเรามองโลกในแง่นี้แล้ว..'เราก็จะได้พลังจากทุกชีวิตที่เราสัมผัส และใจเราก็สบายอีกด้วย'
หลายสิ่งที่มันเกิดขึ้นเมื่อกี้ เมื่อวาน เมื่อหลายๆปีก่อนหน้านี้ มันได้ผ่านไปหมดทั้งสิ้นแล้วจริงๆ มันเป็นความฝันที่สิ้นสุดไปโดยตัวของมันเอง สิ่งที่ฝันมาไม่ถึงก็ยังเป็นเพียงภาพมายาที่ยังไม่เกิดหรืออาจจะไม่มีโอกาสเกิดขึ้นเลย
ทั้งสองกรณีจะมีโอกาสได้เกิดก็แต่ในความรู้สึกนึกคิดของบุคคลที่ลืมปัจจุบันเท่านั้น...

3 ก.ย. 2554

ยิ้ม..แล้วกล้าที่จะทำตาม 'ความฝัน'

   วันนี้ผมได้มีโอกาสได้เดินทางไปยังจุดหมายที่ใจผมปรารถนา แถมยังได้ทำในสิ่งที่คิดว่าเราอยากทำ อยากสัมผัสสิ่งนั้นโดยไม่รู้ตัว
ผมได้อ่านหนังสือ 2 เล่มนี้จบลง รู้สึกว่าตัวเองเบาขึ้นเยอะมากเลย ผมจึงขอนำเสนอหนังสือที่เสริมกำลังใจ และเปลี่ยนมุมมองบางห้วงความคิดของผม
 โอกาสน้อยมากที่คนบางคนจะได้มีโอกาสทำและได้เดินสู่จุดๆนั้นที่ใจหมายปอง พอผมนึกถึงคนๆนี้ทีไร ผมจะบอกตัวเองทุกครั้งในสิ่งใจเราอยากทำ เขาคือ ริชาร์ด พี. ฟายน์แมน เขาเป็นนักฟิสิกส์ราวัลโนเบล ผู้ที่สวมบทบาทเป็นทั้งครู นักเขียน จิตรกร ฯลฯ เขาเคยกล่าวไว้ว่า "ชีวิตคนคนหนึ่งจะคุ้มค่า ก็ต่อเมื่อ เขากล้าท้าทายและลงมือทำตามความฝัน" ซึ่งตัวของเขาเองก็เป็นแบบอย่างที่ดีของคำพูดนั้น
ฟายน์มีความฝันว่าอยากเป็นนักดนตรี เขาก็ลงมือฝึกเล่นดนตรี และมีอยู่ครั้งหนึ่งเมื่อจิตรกรไม่สามารถวาดภาพองค์ความรู้ทางฟิสิกส์ลงบนผืนผ้าใบได้ตามที่ใจเขาต้องการ เขาก็ลงทุนศึกษาเรื่องการวาดภาพเสียเอง
เพื่อต่อยอดความฝันนั้น ฟายน์แมนไม่รีรอที่จะกระโดดเข้าหาสิ่งที่เขาเรียกมันว่าความท้าทานและเขาก็สนุกกับมัน
   ผมดีใจและมีความสุขที่ผมยังมีสองแขน สองขา กับสุขภาวะที่ดีพร้อม ได้รับฟังเสียงของหัวใจตัวเอง เป็นเรื่องธรรมดาที่เราทุกคนมักมีสิ่งที่ตัวเองเฝ้ามองหและไขว่คว้า เพื่อให้มันเป็นจริง ขอเพียงค่อยบอกตัวเองทุกครั้งที่จะคิดลงมือทำอะไร จงอยู่กับปัจจุบันขณะ เบิกรอยยิ้มให้กับทุกสิ่ง รับกับทุกเงื่อนไขชีวิตที่เกิดขึ้นทุกวันที่ลืมตาตื่นขึ้นมา..
แรงบันดาลใจ..ให้ชีวิตก้าวต่ออย่างมิไรซึ่งความหมาย...
จงเชื่อเสมอว่า ทุกสิ่งเป็นไปได้เสมอ ไม่มีข้อจำกัดใดๆ มาหยุดคุณ ถ้าคุณไม่ยินยอมเสียอย่าง..