29 พ.ย. 2558

ํคุณคือลมใต้ปีกของฉัน

ตื่นมาแต่เช้าตรู่ของ 29/11/58 เจอข้อความน่าประทับตรึงใจมากจากผู้ปกครองท่านหนึ่งและยังเป็นกำลังใจเสริมพลังใจให้คุณครูนอกกะลา
เลยขอเก็บเรื่องราวที่มีคุณค่าและความหมายอันตราตรึงนี้ไว้ในบล็อกนี้ครับ

.......................................
แด่...คุณครูลำปลายมาศพัฒนาทุกท่าน
 
คุณแม่ไอดินอยากแบ่งปันข้อความที่โพสต์ในเฟซบุคที่นี่อีกครั้ง เพราะคุณแม่ไม่ได้เป็นเพื่อนในเฟซกับคุณครูอีกหลายๆท่าน อยากจะบอกอีกหลายๆครั้งว่า วิถีลำปลายมาศพัฒนา ที่เราให้โอกาสเรียนรู้และสะท้อนกันและกันด้วยมิตรภาพเพื่อจุดหมายเดียวกันคือการพัฒนาเด็กๆและชุมชน มันช่วยเสริมแรงใจให้ไปทำงานในบรรยากาศลบๆ แบบการตรวจสอบและตัดสินคนอื่นได้ดีเหลือเกิน (คุณครูคงไม่แปลกใจว่าทำไมคุณแม่ชอบมาโรงเรียนบ่อยๆ ถ้าไม่อยู่ในช่วงเดินทาง)  ขอบพระคุณคุณครูใหญ่ที่ให้กำเนิดวิถีที่เห็นคุณค่าของมนุษย์แบบนี้ ขอบพระคุณคุณครูทีมบุกเบิกที่ดำเนินงานสานต่อและหล่อเลี้ยงมันไว้ ขอบพระคุณคุณครูรุ่นใหม่ๆที่เปิดใจมองเห็นมุมที่ดีงดงามของมัน  คิดถึงเพลงลมใต้ปีก (Wind Beneath My Wings ของ Bette Midler) ขึ้นมาจับใจค่ะ

ด้วยรักจากใจ
แม่ไอดิน
*********************
Time's up!! หมดเวลา..พรุ่งนี้จะขึ้นเครื่อง นอนไม่หลับเลยนะนี่!! รอบนี้อยู่บ้านนานถึง 5 อาทิตย์ ได้ร่วมทำกิจกรรมหลายอย่างกับคนที่เรารัก และ/หรือให้คนที่เรารัก หนึ่งในนั้นคือได้รับโอกาสเป็น "ครูสมัครใจ" ช่วยเสริมการสอนวิชาภาษาอังกฤษกับคุณครูที่โรงเรียน เราพกความตั้งใจ"ให้"ไปเต็มเปี่ยม (เน้น Edutainment) แต่กลับมารู้ตัวว่าเรา "รับ"มาเต็มๆ ในระดับเด็กเล็ก ครูอุ้ม"มีของ"มาเล่นได้อย่างมีจินตนาการเสริมความรักและรู้สึกดีกับภาษาอังกฤษ ในระดับประถม 4-6 ครูสังข์ ครูฟิว สามารถหาสื่อการสอนที่เข้าใจง่ายเพื่อกระตุ้นเด็กๆให้กล้าออกเสียงถูกต้อง(จนเราต้องขอเอาไปใช้เสริมในพี่มัธยม) ครูสังข์ใช้เพลงและหนัง(รวมการ์ตูน)ฝรั่งเป็นตัวช่วย อันนี้โดนใจมากๆเพราะเรามาสายนี้ เราไม่ใช่เป็นคนที่ได้คะแนนวิชาการเกี่ยวกับภาษาอังกฤษสูงลิ่ว ไม่ถนัดจำหลักการอะไรเยอะแยะ แต่มันมาจากความรู้สึกดีและฝึกๆๆๆร้องเพลงจนออกเสียงได้ค่อนข้างดีจนเคยมีฝรั่งถามว่าภาษาไทยออกเสียงคล้ายกับภาษาอังกฤษมากเลยเหรอ ฝรั่งปากจัดร่วมห้องสมัย ป.โท ก้อบอกว่าเราเป็นคนเอเชียคนเดียวในห้องที่นำเสนองานแล้วฟังรู้เรื่อง เว่อรร์ร์มาก(คำนี้ฝรั่งไม่รู้เรื่องนะ555) เราไปทำงานฟิลิปปินส์ก้อรู้จากเพื่อนว่าเค้าใช้วิธีเดียวกัน รายการทีวีประกวดร้องเพลงฝรั่งเยอะมาก เพื่อนๆเรานี่มีไมโครโฟนประจำตัวกันเลยล่ะ ทุกวันนี้คนฟิลิปปินส์เลยมารับจ้างสอนอังกฤษคนไทยและดึงงานนานาชาติกลับไปประเทศมากขึ้นเรื่อยๆ (รวมทั้งที่บริษัทเราด้วย...ปวดใจ!!) อยากจะกระซิบบอกกระทรวงศึกษาว่าเราควรแจกไมโครโฟนคาราโอเกะฟรีก่อนแจกแทบเลตป่าว 555 คนไทยเรียนแกรมม่าท่องคำศัพท์ก่อน แต่ฝรั่งเรียนรู้การออกเสียง(phonic)ก่อน ถ้าฟังเสียงออก ก้อจะรู้ว่าอ่านและเขียนยังไง ไม่ต้องท่องศัพท์แทบตาย!! (แต่คำยากๆก้อหา trick จำกันเอาเองเด้อออ) ส่วนแกรมม่าน่ะผิดเค้ายังเข้าใจจาก content รอบๆเล้ยยย
สุดท้ายนี้อยากจะส่งกำลังใจมาให้ทีมคุณครูภาษาอังกฤษของลำปลายมาศพัฒนาทุกท่าน(รวมถึงระดับมัธยม) ว่าคุณครูมาถูกทางแล้วค่ะ ที่เหลือคือให้มั่นใจว่างานนี้ไม่มีปาฎิหาริย์(ขออภัยที่พูดตรง) และจะทำอย่างไรให้เด็กมีโอกาสฝึกๆๆๆการพูดออกเสียงบ่อยๆ ในหลายๆสถานการณ์ (นี่คือเหตุผลที่โรงเรียนอินเตอร์มาตรฐานดีจะไม่รับเด็กไทยเยอะๆ) ตอนแรกที่ได้ข่าวว่ามีมติเลือกครูสังข์ที่ไม่ได้จบเอกอังกฤษ เห็นฝรั่งแล้วจะหลบเสมอ มาเป็นครูอังกฤษก้ออึ้งนิดๆ แต่ ณ วันนี้ได้สัมผัสกับตัวเอง เห็นความตั้งใจค้นหาสื่อการสอน เห็นการนำสื่อมาเชื่อมโยงในชั้นเรียน เห็นพัฒนาการความกล้าในการพูดกับเราเป็นภาษาอังกฤษ ที่สำคัญคือได้เห็นพี่ๆที่ไม่กล้าพูดเลือกครูสังข์เป็นเทรนเนอร์ แทนที่จะเลือกเราที่อหังการ์ว่าชั้นรู้มากกว่า...เราก้อได้อึ้งอีกครั้งหนึ่ง!! นี่ล่ะคือลำปลายมาศพัฒนา..ให้ความรักก่อนให้ความรู้.. เราเหมือนเห็นภาพย้อนกลับตัวเองในอดีต เราชอบอังกฤษมาก ครูก้อเก่งและสนุกกับความสนใจของเราจนลืมเพื่อนเรา เพื่อนเราเลยเกลียดทั้งภาษาอังกฤษและเรา(เค้ามาสารภาพตอนโต)..
Again, thank you all LPMP English teachers very much for this precious learning (to teach) experience. I just wish that one day I can be as wonderful teachers as you are!! ป.ล.มีภาพอมยิ้มมาฝากด้วยค่ะ Happy weekend ค่ะ


...
ด้วยความขอบคุณกำลังใจมากๆ ครับ/ ครูป้อม

23 ก.ย. 2558

ความเงียบ | บทเพลง 4'33

cr : The Sound of Silent: John Cage and 4'33"



_ในชั่วโมงจิตศึกษาผมชวนนักเรียนคุยเรื่อง ความเงียบ
และในเมื่อหลายปีก่อน ผมให้นักเรียนหยิบยืมหนังสือความเงียบ:เขียนโดยจอห์น เลน(John Lane) - (ย่อ; ความเงียบ คือประตูสู่สันติสุขภายใน คือพื้นที่สำหรับความคิดสร้างสรรค์ คือหนทางที่จะทำให้มนุษย์ได้สัมผัสกับพลังแห่งชีวิต คือความนิ่งสงบ และเบิกบาน... หากลองละวิถีชีวิตที่เร่งร้อน ปล่อยวางภาระอันหนักอึ้ง ทั้งภายนอกและภายในจิตใจ บางทีเราอาจค้นพบความสุขที่ซ่อนตัวอยู่ในความเรียบง่ายธรรมดา และค้นพบหนทางที่จะเข้าถึงศักยภาพสูงสุดของตน เราจะตระหนักว่า ความสุขสงบ สันติภาพ เสรีภาพ และความสร้างสรรค์ ทั้งภายในขอบเขตของตัวเราและสังคมรอบข้างจะเกิดขึ้นได้ด้วยอาศัยพลังจากความเงียบนี่เอง)

หลากหลายเรื่องราวที่ชวนนักเรียนคุยในวงจิตศึกษาวันนั้น ผมเคยของหนุ่มเมืองจันทร์จากหนังสือ ? เกี่ยวกับความเงียบจากบทเพลงของจอห์น เคจ(John Cage) บทเพลงแห่งตำนานของเขาก็คือ 4'33
       
ผมได้ยินชื่อ "จอห์น เคจ" มานานแล้ว
ได้ยินพร้อมกับชื่อบทเพลง "4"33" อันโด่งดังของเขา
บทเพลงนี้บรรเลงครั้งแรกที่ "วู้ดสต็อค นิวยอร์ก" เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 1952
58 ปีมาแล้ว
"เดวิด ทูดอร์" นักเปียโนชื่อดังเป็นคนบรรเลงเพลง 4"33
เพลงนี้มีความยาว 4.33 นาที แบ่งเป็น 3 องค์
ช่วงแรก 30 วินาที ช่วงที่สอง 2 นาที 23 วินาที และช่วงที่สาม 1 นาที 40 วินาที
ทุกช่วงตอนบรรเลงด้วยโน้ตตัวเดียว
คือ "ความเงียบ"
"เดวิด ทูดอร์" เริ่มต้นด้วยการปิดฝาครอบลิ่มเปียโนหรือคีย์บอร์ด แสดงถึงการเริ่มต้นองค์ที่หนึ่ง
จากนั้นก็นิ่ง
30 วินาทีผ่านไป เขาเปิดฝาครอบลิ่มขึ้น แสดงว่าจบองค์แรก
ปิดฝาลิ่มอีกครั้ง เพื่อบอกคนดูว่าการแสดงองค์ที่สองเริ่มต้นแล้ว
เวลาผ่านไปเรื่อยๆ เขาพลิกแผ่นโน้ตทีละหน้า
จนครบ 2 นาที 23 วินาที เขาก็ปิดฝาลิ่มเปียโนลงอีกครั้ง
จากนั้นก็ปิดฝาลิ่ม เริ่มองค์ที่สาม
1 นาที 40 วินาที "ทูดอร์" ก็เปิดฝาครอบลิ่มเปียโนเป็นครั้งสุดท้าย
ถอยห่างและโค้งคำนับผู้ชม
จบเพลง 4"33

เพลงแบบนี้ใครๆ ก็แต่งได้ แต่จะมีกี่คนที่กล้าเล่นเพลงนี้ให้คนฟัง ที่สำคัญผมเพิ่งรู้ที่มาของเพลง 4"33
เชื่อไหมครับ ว่า "จอห์น เคจ" ใช้เวลานานมากกว่าจะแต่งเพลงนี้สำเร็จ
ก่อนหน้านี้เขาเคยสงสัยว่าโลกนี้มี "ความเงียบ" จริงหรือไม่
"เคจ" ขออนุญาตมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดใช้ห้องเก็บเสียงที่มีกำแพงดูดเสียงทดลองค้นหา "ความเงียบ"
เขาอยู่ในห้องนี้เป็นเวลาหลายชั่วโมง
อยู่นิ่งๆ เงียบๆ
แต่ "ไม่เงียบ"
เพราะแม้จะนิ่งและเงียบเพียงใด เขาก็ได้ยินเสียงบางเสียงเป็นเสียงสูงกับเสียงต่ำ
เมื่อสอบถามผู้เชี่ยวชาญด้านนี้ ก็ได้คำตอบว่าเป็นเสียงของระบบประสาท และเสียงการไหลเวียนของเลือดในตัว
"จอห์น เคจ" จึงสรุปว่าในโลกนี้ไม่มี "ความเงียบ" โดยสมบูรณ์
และแรงบันดาลใจที่จะแต่งเพลง 4"33 จึงเริ่มต้นขึ้น
เขานิยามความหมายของคำว่า "ความเงียบ" ใหม่
"จอห์น เคจ" บอกว่า "เสียง" และ "ความเงียบ" แทบจะไม่มีอะไรแตกต่างกันเลย
หากจะแตกต่างก็มีเพียงแค่ "ความคิด" ที่จะ "เอาใจใส่" ต่อการรับฟ้ง
หรือ "ความคิด" ที่ "ไม่เอาใจใส่" ต่อการรับฟัง
...เท่านั้นเอง

ถ้าเราใส่ใจที่จะฟัง เราจะได้ยิน "เสียง" แต่ถ้าเราไม่ใส่ใจที่จะฟัง เราก็จะไม่ได้ยินอะไร
และนั่นคือ "ความเงียบ"
ตอนแรก "จอห์น เคจ" ยังไม่กล้าที่จะใช้ "ความเงียบ" เป็น "เสียงเพลง"
จนกระทั่งวันหนึ่งในปี 1951 เขาไปดูงานศิลปะของ "โรเบิร์ต โรเซนเบิร์ก" และเห็นภาพที่ว่างเปล่า
มีแต่ "ผ้าใบสีขาว" ขึงอยู่บนเฟรม
ไม่มีสีอะไรอยู่บนภาพนั้นเลย
มีแต่แสงและเงาของคนดู ต้นไม้ ที่เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ บนผ้าใบสีขาว
ผมชอบคำอธิบายภาพนี้ของ "จอห์น เคจ"
เขาบอกว่า นี่คือสนามบินของแสงและเงา หรือเป็นภาพสะท้อนของอากาศ
"มันไม่ใช่สิ่งที่เราเห็น แต่เป็นวิธีการที่เรามองต่างหาก"
"จอห์น เคจ" บอกว่า ภาพของ "โรเซนเบิร์ก" คือ คำอนุมัติให้เขาเขียนเพลงแห่งความเงียบบทนี้
และบทเพลงบทนี้ก็ไม่ได้ "เงียบ" อย่างแท้จริง เพราะช่วงเวลาที่ไม่มีเสียงดนตรีบนเวที
"ความเงียบ" ของเสียงดนตรี คือ "สนามบิน" ของเสียงอื่นๆ รอบข้าง
และนั่นคือ เสียงดนตรีที่แท้จริงของเพลง 4"33

เมื่อเริ่มต้นองค์แรก คนดูยังเงียบอยู่ แต่มีเสียงลมจากภายนอกพัดผ่านกิ่งไม้เข้ามา
พอถึงองค์ที่สอง คนดูก็ยังเงียบเพราะไม่แน่ใจว่าจะมีเสียงดนตรีขึ้นในช่วงไหน แต่มีเสียงฝนตกกระทบหลังคาดังแทรกเข้ามา
จนถึงองค์ที่สาม คนดูเริ่มกระซิบกัน บางคนเริ่มโวยวาย จากเบาเป็นดัง และบางคนก็ลุกขึ้นจากที่นั่งเดินออกไป
"จอห์น เคจ" บอกว่าคนดูไม่มีใครหัวเราะ พวกเขาโมโหเมื่อรู้ว่าเพลงที่รอฟังอยู่นั้น แท้จริงไม่มีอะไรเลย แม้จะไม่มีอะไรเลยแต่ก็เป็นบทเพลงที่ทุกคนไม่ลืมเลือน
หลังจากวันนั้น "จอห์น เคจ" นำเพลงนี้ไปบรรเลงอีกหลายครั้ง
น่าแปลกที่แม้จะเป็นเพลงเดียวกันแต่เสียงเพลงกลับเปลี่ยนไปทุกครั้ง
ตามสถานที่และอารมณ์ของคนดู
ผมชอบมุมคิดของ "จอห์น เคจ" มาก
เขาเชื่อว่าทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นจาก "ภายใน" ของตัวเรา
ไม่ใช่ "ภายนอก"
"ความเงียบ" จึงไม่ใช่เรื่องของ "เสียง"
แต่เป็นเรื่องความเปลี่ยนแปลงภายในจิตใจ และความไม่หยุดนิ่ง
ภาพของ "โรเซนเบิร์ก" สอนเราว่า "สิ่งที่เราเห็น ไม่สำคัญเท่ากับวิธีการมอง"
เช่นเดียวกับเพลง 4"33 ของ "จอห์น เคจ"
เสียงที่เกิดขึ้นจะดังหรือเบา ขึ้นอยู่กับว่าเราใส่ใจเพียงใด
ถ้า "ใส่ใจ" ก็ดัง
"ไม่ใส่ใจ" ก็เบา
หรือ "ไม่ได้ยิน"
แวบหนึ่ง ผมนึกถึงเมืองไทยในวันนี้
ผมได้ยินเพลง 4"33 ดังขึ้นอย่างยาวนาน
และไม่รู้ว่าเมื่อไรจะจบ...

20 ส.ค. 2558

ห้องเรียนแห่งความสุข :(Problem Based Learning) PBL

"การเรียนรู้แบบPBL แบบลำปลายมาศพัฒนาจึงเป็นการเรียนรู้ที่เด็กๆ จะได้ผสมผสานแต่ละวิชา

พอเด็กลงมือแก้ปัญหา ก็จะเจอเครื่องมือในการแก้ปัญหาขึ้นมา ค้นพบวิธีการแก้ปัญหาที่เหมาะกับตัวเอง 
พบคำตอบที่ตัวเองเด็กๆ ก็จะได้สร้างองค์ความรู้หนึ่งขึ้นมาเองใช้ได้จริง ปฏิบัติได้จริงตามบริบทของเด็กคนนั้น."

-ครูใหญ่

PBL
ครัวธรรมชาติ -byครูดอกไม้
      ในสัปดาห์นี้พี่ๆ จะได้เรียนรู้เกี่ยวกับระบบหมุนเวียนเลือด ในวันจันทร์คุณครูจึงทบทวนถึงการทดลองในสัปดาห์ที่ผ่านมาเนื่องจากเกิดความผิดพลาดขณะทำการทดลองคุณครูจึงนำเหตุการณ์นั้นมาให้พี่ๆได้เรียนรู้ พี่ๆ ได้แลกเปลี่ยนร่วมกันในเรื่องที่บิกเกอร์แตกว่ามาจากสาเหตุอะไร
พี่ออสติน: “จากที่ได้ไปศึกษาน่าจะเป็นการกระจายตัวของความร้อนครับ น่าจะร้อนแค่ตรงฐานครับ”
พี่ปุน”อถณหภูมิของน้ำในแก้วต่ำกว่าด้านนอกครับความแตกต่างของอุณหภูมิทำให้แก้วแตกครับ”
คุณครูสังเกตเห็นว่าจาการที่ให้คำถามเป็นการบ้านในสัปดาห์ที่แล้วพี่ๆมีความกระตือรือร้นที่จะหาคำตอบและเรียนรู้เป็นอย่างดี เพื่อนๆ ที่ไม่มีความพร้อมในการสืบค้นข้อมูลในช่วงวันหยุดก็ได้เรียนรู้ร่วมไปกับเพื่อนอีกด้วย
จากนั้นคุณครูจึงให้พี่ๆ แต่ละกลุ่มทำการศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับระบบหมุนเวียนเลือดทั้งของมนุษย์และสัตว์ ขณะทำการศึกษาค้นคว้าข้อมูล พี่ๆ บางส่วนให้ความสนใจและมีความกระตือรือร้นเป็นอย่างดี แต่มีพี่บางส่วนที่ไม่ให้ความสนใจเท่าที่ควรเช่นพี่ปังปอน พี่โจเซฟและพี่บอล จากที่ได้ศึกษาข้อมูลแล้วพี่ๆได้ทำการแลกเปลี่ยนกัน
_จากนั้นแต่ละกลุ่มจึงได้นำเสนอความเข้าใจเรื่องระบบหัวใจของมนุษย์และสัตว์ผ่านชาร์ตความรู้ ขณะที่ดำเนินการทำงานกลุ่มของพี่มิลค์ซึ่งมีสมาชิกคือพี่กระต่าย พี่โจเซฟ พี่ซิลดี้ พี่ปังปอนด์ ได้แบ่งหน้าที่กันคือให้พี่ซิลดี้เก็บรายละเอียดงานVDO ที่ยังตัดต่อไม่เรียบร้อย และให้เพื่อนๆที่เหลือทำชาร์ตความรู้ปรากฏว่า พี่กลุ่มนี้ได้อธิบายว่าไม่มีข้อมูลจึงวาดไม่ได้และยังรบกวนเพื่อนกลุ่มอื่นๆอีกด้วย เบื้องต้นคุณครูจุลจึงคุยเพื่อทำความเข้าใจกับพี่ๆ
เพื่อเป็นการซักซ้อมความเข้าใจก่อนลงมือผ่าตัดหัวใจคุณครูจึงได้ให้พี่ๆ ดูนิทานชีวิตเรื่องระบบหัวใจ พี่ๆ ให้ความสนใจเป็นอย่างดี
พี่ไอดิน“ดูแบบนี้เข้าใจดีนะคะครูสนุกด้วยคะ”
พี่เพชร: ”ดูแบบนี้มันไม่น่าเบื่อดีครับไม่เหมือนไปอ่านข้อมูล”
จากนั้นพี่ๆ ม.1 จึงได้ทำการวางแผนเพื่อผ่าตัดหัวใจหมูโดยครูป้อมได้พูดคุยกับพี่ๆ เรื่องการเตรียมอุปกรณ์และการแบ่งกลุ่มที่เกิดความเท่าเทียมและเสมอภาคกัน ก่อนการผ่าตัดจริงครูป้อมได้พูดคุยทบทวนข้อตกลงขณะทำการผ่าตัดกับพี่ๆ ม.1 เพื่อย้ำทวนความเข้าใจอีกครั้งหนึ่ง 
และครูป้อมยังย้ำให้พี่ๆ เห็นความสำคัญของหัวใจหมูที่นำมาผ่าตัดว่ามาจากเงินของผู้ปกครองที่เสียสละเพื่อให้พี่ๆเกิดการเรียนรู้
ขณะผ่าตัด
พี่เพลง: “ครูครับจะผ่าอย่างไรครับ”
พี่ค็อป: “ครูครับไม่เห็นเป็นห้องๆ เหมือนในคลิปเลยครับ”
พี่ซิลดี้: “ครูค่ะ ลิ้นอยู่ตรงไหนค่ะ”
เกิดคำถามจากพี่ๆ มากมายขณะทำการทดลอง เกิดปัญหาที่ได้เรียนรู้ร่วมกันเช่นผ่าผิดด้านมองไม่เห็นห้องหัวใจ หัวใจหมูที่ทำการผ่าตัดต่างจากใน
รูปที่ศึกษามา หลังจากทุกกลุ่มทำการผ่าตัดเรียบร้อยจึงได้มีการอภิปรายร่วมกันจากปัญหาที่เกิดขึ้นครูณี ตั้งคำถามกับพี่ๆ ม.1ว่าได้เรียนรู้อะไรจากกิจกรรมนี้

พี่อังอัง: ”ได้เรียนรู้ว่าหัวใจจริงหาห้องหัวใจยากมากคะ ต่างจากที่ค้นข้อมูลมามากเลยคะ”
พี่เพลง : ”ก่อนจะผ่าตัดดูคลิปมาหลายรอบมากเลยครับดูเหมือนง่ายแต่พอผ่าจริงๆยากมากเลยครับหาเส้นเลือดอะไรก็ไม่เจอ ไม่รู้ว่าห้องไหนเป็นห้องไหนครับ”

_คุณครูดอกไม้จึงอธิบายระบบการทำงานของหัวใจอีกรอบผ่านโมเดลจำลองแล้วพี่ๆจึงได้สรุปความเข้าใจเป็นของตนเอง
ลงในกระดาษ 100 ปอนด์(ขนาดA4)

PBLคู่ขนาน-byครูป้อม..
_ข้าวตอนนี้งามมากและออกรวงเต็มแปลงนา เด็กๆ กับครูชื่นชมความงามผ่านกิจกรรมในเช้าวันแรกของสัปดาห์_สัมผัสรักจากจากแปลงนา 'ข้าวออกรวง' กิจกรรมจิตศึกษาเช้านี้เริ่มด้วย
ครูให้เด็กๆ มายืนรอบแปลงนาและให้อยู่กับแปลงนา/ต้นข้าว มองเห็นข้าวออกรวง - นึกถึงมือน้อยๆ ของแต่ละคนได้ทำแปลงนาแห่งนี้ ตั้งแต่ยังไม่มีอะไรเลย ที่วางเปล่า 1 งาน


เปลี่ยนมาเป็นนาข้าวที่เด็กๆ และผู้มาเยี่ยมเยือนต่างแลเห็น - นึกถึงความร่วมมือของผู้ปกครอง นักเรียน ครู ที่ต่างช่วยกันทำแปลงนาจนถึงวันนี้ /ขอบคุณโอกาสที่มาสร้างการเรียนรู้ให้กับลูกๆ ครับ
- นึกถึงความรู้สึกแวบแรกของความรู้สึกที่เห็นข้าวออกรวง ความงามไสวของปลายข้าวที่ลู่ลม โบกสะบัดพลิ้วไหว เปรียบดังผิวคลื่นตามท้องทะเล *ระยะทางที่ต่างทำร่วมกันด้วยความลำบาก/สนุก/ท้าทาย ทุกคนได้เรียนรู้แลเติมเต็มความรู้ใหม่ๆ เกี่ยวกับการทำนา เช่น การเพาะกล้า นาโยน ข้าวแช่แกบดำในกระด้ง รับขวัญข้าว ฯลฯ

_ผ่านความสงบ อิ่มเอมกับสิ่งที่เกิดกับแปลงนา เช้าวันเราต่างพูดคุยสนทนากันระหว่างครูกับศิษย์ด้วยบรรยากาศอันรื่นรมย์.. /ด้วยไมตีจิต.

จากสรุปการเรียนรู้รายสัปดาห์พี่ไอดินถ่ายทอดผ่านภาษาอังกฤษ บ่งบอกความรู้สึกภายใน

We can almost never imagine that some thing that 34 hands changed a plain little patch into a rice pad that is the most sensible to feel the love that every helping hand that made it come to this day that the rice is almost ready to harvest.It is not an easy path before now there where struggles troubles and fun . Now any one can sense the swirling tips of the rice through the flowing wing in winter's beginning.

*ปัญหาในสัปดาห์นี้เด็กๆ คิดค้นวิธีการป้องกันนกมากินข้าวด้วยวิธีการที่หลากหลาย ครูฝากให้เด็กๆ นำไปคิดค้นวิธี/สอบถามจากผู้รู้ นำมาทดลองลงนาในสัปดาห์หน้า.


29 ก.ค. 2558

แคตเธอรีน : Nothing but net “ไม่เอาอะไรนอกจากมุ้ง”

ไม่กี่วันมานี่ผมเล่าเรื่องของเด็กผู้หญิงคนหนึ่งให้เด็กๆ ฟังเกี่ยวกับสิ่งเล็กๆ ที่ยิ่งใหญ่จากเด็กหญิงตัวเล็กๆ ชื่อว่า "Katherine Commale "
_เรื่องราวดังกล่าวไม่ได้จบเพียงเท่านั้น ผมไปเจอในFacebook ที่มีความแชร์เรื่องราวของเขาไปมากมาย และเรื่องราวนี้เกิดขึ้นมาตั้งแต่ 8 ปีก่อน ตอนนี้เธออายุ 13 เท่ากับเด็กๆ ม.1 ที่ผมกำลังฟังเรื่องที่ท่านอ่านอยู่นี้..

Katherine Commale อายุแค่ 5 ขวบ ดูสารคดีของทวีปแอฟริกา บอกว่า เฉลี่ย 30 วินาที ก็จะมีเด็กคนหนึ่งตายเพราะโรคมาลาเรีย เธอขดตัวอยู่บนโซฟา แล้วก็เริ่มนับนิ้ว 1-2-3-4..... ตอนเธอนับถึง 30 ก็สีหน้าตกใจ ตะโกนบอกแม่ว่า

“แม่ ๆ เด็กแอฟริกาตายไปแล้ว 1 คน เราต้องทำอะไรสักอย่าง”


แม่เธอก็เข้าหาข้อมูลในอินเตอร์เน็ต แล้วบอกแคตเธอรีนว่า

“มาลาเรียเป็นโรคที่น่ากลัว เด็ก ๆ เมื่อเป็นโรคนี้ มักจะเสียชีวิต”

“แล้วทำไมถึงเป็นมาลาเรีย ?”

“มาลาเรียติดต่อโดยยุง แอฟริกามียุงเยอะมาก”

“แล้วทำไงดี ?”

“ตอนนี้มีมุ้งที่แช่น้ำยากันยุง เมื่อมีสิ่งนี้ ก็จะป้องกันคนไม่โดนยุงกัด”

“แล้วทำไมพวกเขาไม่ใช่มุ้งแบบนี้ละ ?”

“มุ้งนี้แพงเกินไปสำหรับพวกเขา ๆ ไม่มีปัญญาซื้อ”
“ไม่ได้ เราต้องทำอะไรแล้ว”

ผ่านไปหลายวัน แม่ได้รับโทรศัพท์จากครูที่ รร อนุบาล บอกว่า แคตเธอรีนไม่ได้จ่ายค่าขนม

แม่ถามแคตเธอรีน เงินไปไหน

“ถ้าหนูอยู่ รร ไม่กินขนม ปกติไม่กินจุกจิก ไม่ซื้อตุ๊กตาบาร์บี้ อย่างนี้พอจะซื้อมุ้งได้ไม๊คะ ?”

แม่พาแคตเธอรีนไปห้าง ใช้เงิน 10 เหรียญ ซื้อมุ้งใหญ่ ๆ อันหนึ่ง พอเด็ก 4 คน แล้วก็โทรหาองค์กรการกุศลที่ทำงานในแอฟริกา ว่าจะส่งมุ้งไปได้ยังไง และก็บังเอิญเจอหน่วยงานนึ่งที่ชื่อ Nothing but net “ไม่เอาอะไรนอกจากมุ้ง”

หน่วยงานนี้ จะส่งมุ้งไปให้เด็กแอฟริกาโดยเฉพาะ แคตเธอรีนจึงจัดการส่งมุ้งไปให้หน่วยงานนี้ด้วยมือของตัวเอง

ผ่านไป 1 สัปดาห์เธอได้รับจดหมายขอบคุณจากหน่วยงานนี้ ใน จม. บอกว่าเธอเป็นผู้บริจาคที่อายุน้อย
ที่สุด และบอกอีกว่า ถ้าบริจาคครบ 10 อัน จะได้รับใบประกาศเกียรติคุณ

แคตเธอรีนขอให้แม่ไปเปิดท้ายขายของกับเธอ เอาหนังสือเก่า ของเล่น เสื้อผ้าเก่ามาขาย ๆ ได้เงินจะได้เอาไปบริจาค แต่ขายไม่ดีเลย เธอคิดว่า “ตอนหนูบริจาคมุ้ง เขายังให้ใบประกาศเกียรติคุณ งั้นคนอื่นซื้อของหนู ให้เงินหนู งั้นเขาก็ต้องได้รับเหมือนกันเน๊าะ”

แล้วเธอก็เริ่มลงมือทำ ใบประกาศเกียรติคุณ แม่ช่วยเธอซื้อวัสดุ พ่อช่วยจัดห้อง น้องชายช่วยวาดรูปหัวใจแห่งรัก ใบประกาศเกียรติคุณทุกใบมีลายมือที่เขียนโดยตัวเธอเองว่า “ในนามของคุณ เราได้ซื้อมุ้ง 1 อัน ส่งไปแอฟริกา” แน่นอน มีลายเซ็นต์เธอด้วย
แค่บริจาค 10 เหรียญ ซื้อมุ้ง 1 อัน ก็จะได้ใบประกาศเกียรติคุณ
เพื่อนบ้านเห็นใบประกาศเกียรติคุณของเธอ รู้สึกว่าไร้เดียงสาอย่างน่ารักมากและก็ซาบซึ้ง แค่ไม่นาน ใบประกาศเกียรติคุณก็ถูกแจกออกไป 10 ใบ
เธอก็ส่งเงินไปที่หน่วยงาน “ไม่เอาอะไรนอกจากมุ้ง” หน่วยงานก็ส่งใบประกาศเกียรติคุณและตั้งเธอเป็น “ทูตแห่งมุ้ง”

คนที่หน่วยงานบอกแคตเธอรีนว่า มุ้งที่เธอบริจาคถูกส่งไปยังหมู่บ้านหนึ่งในประเทศกาน่า ในหมู่บ้านมี 550 คน
“โอ่ พระเจ้า แล้ว 10 อันพอใช้ที่ไหน”

เพื่อนบ้านนอกจากซื้อมุ้งจากแคตเธอรีนยังช่วยเธอทำใบประกาศเกียรติคุณ กลายเป็นทีมงานแคตเธอรีน
บาทหลวงในชุมชนก็เชิญเธอไปพูดในโบสถ์ พูดแค่ 3 นาที ก็ได้เงินบริจาคมา 800 เหรียญ ทำให้เธอมีกำลังใจเพิ่มขึ้นมาก เดินทางไปพูดที่โบสถ์อื่น ตอนเธออายุครบ 6 ขอบ ได้รับเงินบริจาคแล้ว 6316 เหรียญ

“ไม่เอาอะไรนอกจากมุ้ง” เอาเรื่องของเธอลงในเวป วันหนึ่งเธอเห็นเบคแฮ่มปรากฎตัวทาง TV ช่วยทำประชาสัมพันธ์การกุศลให้ “ไม่เอาอะไรนอกจากมุ้ง” เธอรีบเขียนจดหมายขอบคุณไปให้เขา และแน่นอน เธอได้ส่งใบประกาศเกียรติคุณไปให้เขาด้วย 1 ใบ จากนั้นเบคแฮ่มเอาใบประกาศเกียรติคุณนี้ขึ้นเวปส่วนตัว เรื่องจึงแพร่กระจายออกไปอีก

2007-6-8.... เธอได้รับจดหมายจากหมู่บ้านที่รับมุ้ง เด็กในหมู่บ้านเขียนว่า

“ขอบคุณมุ้งของเธอ เราเห็นรูปเธอ เรารู้สึกว่าเธอสวยมาก”

แคตเธอรีนดีใจมาก ทำให้มีกำลังใจเพิ่มอีก เธอและทีมงานลงมือทำใบประกาศเกียรติคุณ 100 ใบ ส่งให้มหาเศรษฐีที่ติดอันดับในนิตยาสาร ฟร๊อบ

ในนั้นมีอยู่ใบนึงเขียนว่า “คุณบิลเกตที่เคารพ ไม่มีมุ้ง เด็กแอฟริกาจะตายเพราะมาลาเรีย พวกเขาต้องการเงิน แต่เงินอยู่ที่คุณ....”

2007-11-5..... มูลนิธิบิลเกตประกาศบริจาคเงิน 3 ล้านเหรีญให้ “ไม่เอาอะไรนอกจากมุ้ง”

บิลเกตบอกว่า “ผมได้รับใบประกาศเกียรติคุณพร้อมจดหมายฉบับหนึ่ง บอกว่า เงินที่ซื้อมุ้งให้เด็กแอฟริกาอยู่ที่ผม ถ้าผมไม่เอาเงินออกมา ไม่ได้แน่”

ปี 2008..... มูลนิธิบิลเกตออกเงินถ่ายทำสารคดี “เด็กช่วยเด็ก” แคตเธอรีนจึงได้เหยียบแผ่นดินแอฟริกา ตอนเธอเห็นพวกเด็ก ๆ เขียนชื่อเธอไว้บนมุ้ง พวกเขาเรียกมุ้งช่วยชีวิตนี้ว่า "มุ้งแคตเธอรีน"

หมู่บ้านนี้ เดี๋ยวนี้ชื่อว่า "หมู่บ้านแคตเธอรีน"
หนูน้อยแคตเธอรีนอายุ 7 ขวบ ได้ช่วยชีวิตเด็กแอฟริกาแล้ว 20,000 คน

พลังของความบริสุทธิ์นี้ จะยิ่งมายิ่งแรง เพราะทุกหัวใจของทุกคน ล้วนมีเด็กที่จิตใจบริสุทธิ์อาศัยอยู่

ใครๆก็เปลี่ยนแปลง โลกนี้ให้น่าอยู่ขึ้นได้ คุณก็ทำได้ เริ่มทำเลย!

ขอบคุณเรื่องราวดีๆจาก 

12 มิ.ย. 2558

เรียนนอกห้อง ณ อ.ปากช่อง ตอน2

พวกเราและครูปรีดาพร้อมกับลูกศิษย์อีก คน ร่วมกันเดินขึ้นเขาทุกคนหอบข้าวของพะรุงพะรังเดินกันไปตามทางดินแคบมีผงฝุ่นปกคลุมเต็มทั่วถนนและขรุขระ มีวัชพืชขึ้นปกคลุมเป็นหย่อม สองของทางกระหนาบด้วยป่ารก ต้นไม้เบียดเสียดสลับสล้าง ลมสงัด อากาศขมุกขมัวและอ้าวจัด แต่บางคราลมพัดแหวกแมกไม้เข้ามาเย็นชื่น

            09.30 น. แต่ละคนเริ่มจะมีอาการเมื่อยล้าเห็นทันตา สังเกตได้จากเดินไปพากันหยุดพักไป เคยได้ยินมาว่าระยะทางเดินขึ้นเขาเพียง กิโลเมตรเทียบได้กับระยะทางปกติ กิโลเมตร ทางเดินขึ้นสูงชันและผิวหินแห้งราบเรียบทำให้ลื่นง่ายและต้องจับมือต่อๆกันระหว่างเดิน รอบกายต้นไม้สูงชะลูดแผ่ใบเขียวครึ้มให้ร่มเงามีเป็นจุดๆตามรายทางเดิน พวกเราทุกคนเดินขึ้นสู่ยอดเขา 09.52 น. ทุกคนได้ถ่ายภาพชมวิวตามจุดต่างๆ ที่แต่ละคนเลือกให้เห็นทิวทัศน์รอบด้าน ความสูงของเนินทำให้ขอบฟ้าตกลงมาอยู่ใต้ระดับสายตา ต่ำลงไปเป็นแนวกรวดหินระเกะระกะเป็นหย่อมๆ ปลายอีกด้านเป็นผาเอียง ชะง่อนโขดหินลดหลั่นกันลาดลงจรดพื้นดิน ลึกลงไปเป็นป่ามันป่า
ข้าวโพดของชาวบ้าน และท้องทุ้งหญ้าเขียวไสว พลิกพลิ้วทางใบคลอกับสายลมอ่อนเอื่อย พอได้สักพักคุณครูหลายๆ คนเมื่อยล้าเห็นได้ชัด หาบริเวนเอนแผ่นหลังนอนพักร่างกายเพื่อที่จะสัมผัสกับความสงบ สงัด และงดงาม ของธรรมชาติ สะกดให้ทุกคนเงียบงันดื่มด่ำจมลึกอยู่กับตัวเอง และจากนั้นพวกเราทุกคนเดินลงจากเขาลงมารับประทานอาหารเที่ยงร่วมกับครูปรีดาบริเวณด้าน
ล่างบริเวณระหว่างหุบเขา ทุกคนทานอาหารด้วยความเอร็ดอร่อยและนั่งพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน ทุกคนสีหน้าสีหน้าระรื่น หัวเราะร่วน หน้าแดง นัยน์ตาซุกซน หยอกล้อกันด้วยความสนุกสนาน และราวกับว่าทุกคนหลุดพ้นจากชีวิตที่ตรึงอยู่กับกฎระเบียบเคร่งครัดของโรงเรียนฉากชีวิตส่วนนั้นปิดลงแล้ว เพื่อทุกคนให้หลงลืมจากอาการของความเหนื่อยล้าและทุกคนได้แบ่งปันอาหารซึ่งกันและกัน ส้มเนื้อ แจ่วปลาร้าสับ ตำส้ม และเนื้อทอด

           ยามบ่ายคล้อยผ่านอย่างสงบพวกเรากลับมาถึงที่พัก ดวงตะวันโคจรข้ามเนินเขาแล้วตกลงสู่ผืนหญ้าและผืนผิวน้ำจากเขื่อนลำตะคอง วันหนึ่งๆถูกกำหนดอยู่ด้วยทิศทางดังกล่าว 15.30 น. เรานัดน้องที่อาสามาเตรียมกับข้าวในมื้อค่ำร่วมกับเราโดยมื้อนี้จะมีกลุ่มครูใหญ่และครูอีก 6-7 คนเข้ามาร่วมสมทบด้วย

ทุกคนอาบน้ำแต่งตัว จัดเตรียมสถานที่ที่จะใช้ทำกิจกรรมรอบกองไฟในยามค่ำ เสร็จสรรพมาพร้องเพรียงกันในเวลา 17.30 น. ทุกคนเริ่มมาอยู่บริเวณรอบกองไฟเผามัน ย่างหมู กลิ่นหอมโชยไปทั่วบริเวณ หลายๆคนก็คุยกันด้วยเรื่องจิปาถะ สนทนาพาทีครอบคลุมหลากหลายเรื่องโรงเรียน เรื่องบ้าน

            19.45 น. พวกเราทุกคนเห็นว่าได้เวลาอันควรแล้ว คุณครูน้ำผึ้งจึงเริ่มกล่าวทักทายทุกคนในวงรอบกองไฟ และพูดถึงความเป็นมาของกิจกรรมที่นำพาเราทุกคนมาอยู่ที่นี่ร่วมกันในเวลานี้ “แต่ละคนอยากบอกอะไร” เป็นคำถามสั้นๆแต่แฝงไปด้วยเป้าหมายที่พวกเราตั้งไว้ก่อนหน้านี้ คุณครูร่วม 40 ชีวิตและครูปรีดามาอยู่ ณ ที่แห่งนี้ ทุกคนร่วมอิ่มเอมกับเรื่องราวของแต่ละคนที่บอกถึงอารมณ์ความรู้สึกจังหวะของชีวิตของแต่ละคนเป็นที่น่าจดจำ เปลือกชั้นแรกของราตรีกำลังผ่านพ้น โลกเคลื่อนผ่านสู่ห้วงเวลาของการผ่อนพัก ความมืดนิ่งสนิทแอบซุ่มกลั่นเคี่ยวตัวเองอย่างเงียบงัน ผืนน้ำบริเวณเขื่อนลำตะคองสลัวรางแทบจะอันตรธารไป แต่แล้วปรากฏขึ้นอีกครั้งเมื่อเพ่งจ้อง เบื้องบนดาวสาดแสงจาง จุดแสงสาดกระเซ็นกระจัดกระจาย คงแต่ผืนความมืดที่ผนึกดวงดาวเอาไว้ด้วยกันบนฟากฟ้า ไม่ต่างจากเด็กหนุ่มสาวเหล่า(คุณครูใหม่)นี้ พวกเขาจมลงกับห้วงคิดในความลึกซึ้งของค่ำคืน ต่างเผชิญกับความลี้ลับอันหอมหวานและเก็บเกี่ยวประสบการณ์เหล่านี้ เสมือนได้โลดข้ามพรมแดนหนึ่งของชีวิตไปด้วยกัน
 พริ้วสายลมชื่นกายคลายถึงจิต              หมู่มวลมิตรมุ่งหมายคลายหมองหม่น
สายสัมพันธ์สรรค์สร้างกลางใจคน         หวังได้ยลไมตรีจิตมิตรกัลยา
ออกเดินทางก่อนเที่ยงเลี่ยงค่ำมืด         หวังช่วยยืดเวลาพาสุขสม
กลับหลงทางเตลิดไกลไข่ระบม             เรือนน่าชมให้แช่มชื่นรื่นฤทัย
เข้าที่พักทักทายคลายเหน็ดเหนื่อย       ทานเรื่อยๆสนทนาคราเดือนหงาย
แลท้องฟ้าดาราเด่นเห็นพร่างราย          มิตรสหายได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้นิทาน
เสียงหนักเบาสูงต่ำเงียบเร็วช้า               กระบวนท่าจอมยุทธ์จุดขัดข้อง
ผู้ชนะสิบทิศควรจับจอง                         ลูกทุ่งต้องหาฟังคลังคำมี
แต่งนิทานตัวละครมิควรมาก                 แม้งานยากมีวินัยไม่หน่ายหนี
ทั้งงานราษฎร์งานหลวงล่วงลุดี              สุนทรียสนทนาพาทีเอย
เสียงเจื้อยแจ้วแนวบันไดใกล้รุ่งสาง       ดังครวญครางข้างในเต้นท์เสียงกรนหนอ
ตีสามแล้วขอผัดผ่อนสักครึ่งพอ             สุดท้ายก็ตัดสินใจไปทันที
โหมแรงไฟแรงฟืนตื่นเช้าตรู่                   ต่างพร่างพรูเพียบพร้อมอย่างด่วนจี๋
วัตถุดิบเครื่องปรุงเน้นรสดี                     เสร็จพอดีตีห้าครึ่งบึ่งจับนม
แลดูโคท่าทีมีระเบียบ                            เดินเงียบๆแล้วต่อแถวแสนสุขสม
แหมตื่นตาตื่นใจได้จับนม                      บ้างก็อมยิ้มหวานสราญใจ
กิจกรรมสันทนาการดีเลิศ                      ช่วยให้เปิดตาตื่นชื่นสดใส
เตรียมตัวปีนเขาต่อให้ท้อใจ                  อีกนานไหมกว่าจะฮอดรอดไหมตรู
เด็กๆต่างเริงร่าระรื่นจิต                         เพราะชีวิตเคยชินขึ้นลงเขา
แตกต่างจากคนแก่ๆอย่างพวกเรา         อุ๊ยเจ็บเข่าโอ๊ยปวดหลังประดังมา
ถึงยอดแรกมองหน้าพอยิ้มได้               ยอดต่อไปจะไหวหรือเปล่าหนอ
ชวนให้นึกถึงหน้าแม่และพ่อ                 โอ้ละหนอลมพัดตึ้งถึงแล้วโว๊ย
ค่อยเดินย่องลงทางพลางเท้าจิก          ขากระดิกแขนเริ่มสั่นท้องหิวโหย
ของก็หนักแขนก็เหนื่อยเมื่อยอิดโรย      มาละโหวยอาหารเที่ยงของพวกเรา
ปลาร้าบองของทอดมีปลาหมู               ทั้งปลาทูส้มต่อนออนซอนหลาย
ทั้งกล้วยสุกข้าวต้มผัดมีมากมาย          อิ่มสบายหายกังวลคนเดินทาง
ถึงที่นอนผ่อนพักตระหนักรู้                   แล้วไปสู่โลกพระอินทร์ถิ่นสวรรค์
สะดุ้งตื่นฟื้นสติอ้าวกลางวัน                  สุขดั่งฝัน ณ ปากช่องพี่น้องเอย
(บทกลอนจากครูสังข์)
            เวลา 21.25 น. คุณครูหลายๆคนแยกย้ายเข้านอนผ่อนพักร่างกายจากกิจกรรมตลอดทั้งวันตั้งแต่เช้าตรู่ อากาศหนาวเหน็บทำให้คุณครูหลายๆคนนอนหมกตัวในผ้าห่มอย่างเงียบกริบในเวลาแสนสั้น ครูใหญ่และครูอีกกลุ่มนั่งขับร้องเพลงเล่นกีตาร์บริเวณกองไฟจนล่วงเลยผ่านวันที่ 27 มาเป็นวันที่ 28 จึงแยกย้ายกันเข้านอน
            ทุกคนตื่นแต่เช้าตรู่ เบิกนัยน์ตางัวเงียมองดูแสงสีทองแผ่ขึ้นสู่โค้งฟ้า ฟังเสียงชีวิตตื่นจากการหลับใหล ริ้วเมฆริมขอบฟ้าที่เปลี่ยนสีอย่างรวดเร็ว จากแดงกลายเป็นส้มสุกใส อึดใจทุกอย่างก็ดูราวถูกฉาบด้วยแผ่นทองอร่าม ทุกคนแลเห็นโฉมหน้าของธรรมชาติผันแปรแน่ชัดไปตามการคล้อยเคลื่อนของดวงอาทิตย์ กลางวันเปลือยตัวเองออกมาแจ่มกระจ่าง กลางคืนมืดสนิทสุดหยั่งน่าเปล่าเปลี่ยว วันเวลาหมุนเวียนจากเช้ายันค่ำ วันหนึ่งสู่อีกวันหนึ่ง

7 พ.ค. 2558

เรียนนอกห้อง ณ อ.ปากช่อง ตอน1

            วัยหวานแห่งความหวัง (ครูใหม่) ความเฉียบไว และเปี่ยมไปด้วยพลังแห่งความต้องการเรียนรู้สิ่งใหม่ที่จะเข้ามาแผ้วพานชีวิตของน้องทุกคน สิ่งที่พวกเราอยากให้เกิดขึ้นกับ
 น้องครูใหม่ตลอดการจัดกิจกรรมทุกครั้ง/ทุกสถานที่ ก่อนหน้าที่กิจกรรมพี่พบน้องนอกสถานที่จะเกิดขึ้นนี้ พวกเราคุยกันประชุมเตรียมงานกันอยู่หลายรอบ จนกระทั่งเราได้ข้อสรุปกำหนดการและวันเวลาจัดกิจกรรมลงตัว

10.30 น. ของวันที่ 26 ธันวา ซึ่งเป็นวันงานบุญคูณลานทำบุญตักบาตรก่อนขึ้นปีใหม่ พวกเราครูกลุ่ม กับน้องครูใหม่นัดพบกันที่บริเวณด้านหน้าโรงเรียนเพื่อขึ้นรถตู้ คัน และรถกระบะ คัน
เพื่อขนสัมภาระของทุกคน พวกเราถึงอำเภอปากช่องประมาณ โมงเย็น พอไปถึงที่พักแต่ละคนช่วยกันเก็บสัมภาระข้าวของจัดเตรียมสถานที่ในการดำเนินกิจกรรมต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นอีกตลอด คืน วัน(ไม่มีไฟฟ้า) อย่างลงตัว แล้วจากนั้นครูทุกคนไปทานข้าวเย็นที่บ้านของครูปรีดา ปัญญาจันทร์
เราเริ่มทานข้าว 17.45 น. ด้วยบรรยากาศที่เรียบง่ายสบายๆ อาหารในค่ำนี้มี ปลาทอด ต้มไก่ ลาบ เครื่องดื่ม ฯลฯ หลังจากทานข้าวอิ่มกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทุกคนช่วยกันล้างจานเก็บสถานที่ เตรียมตัวพบกับครูปรีดา

19.00 น. ครูปรีดาเริ่มต้นกิจกรรมโดยเปิดโอกาสให้ทุกคนตั้งคำถามเกี่ยวกับเรื่องราวต่างๆ ที่แต่ละคนอยากเรียนรู้จากครูปรีดา คำถามต่างคำถามพลั่งพลูออกมาไม่ขาดสายจากคุณครูหลายๆ คน ครูปรีดาเล่าว่านิทานแต่ละเรื่องที่เขียนมีแรงบันดาลใจมาจากความประทับใจและสะเทือนใจหรือกระทบจิตใจ  คิดออกตอนไหนต้องรีบเขียนเก็บไว้ทันที
          สิ่งที่ครูปรีดาสอนพวกเราจากกิจกรรมค่ำคืนนี้
ภาษาวรรณกรรมที่ใช้เขียนมาจากการอ่าน และการฟังโดยเฉพาะฟังเพลงลูกทุ่ง
สิ่งที่สำคัญในการบริหารจัดการกับตนเองและเวลา คือ วินัยในตนเอง
เทคนิคการเล่านิทาน   7 อย่างดังนี้ เสียงดัง – เบา เร็ว – ช้า เสียงสูง – ต่ำ ,เงียบ
การที่เราจะเป็นนักเขียนเราต้องเป็นนักอ่านด้วย
การเล่านิทานไม่ควรเล่านอกเรื่องหรือถามระหว่างทาง ควรเล่าให้จบในครั้งเดียว เสียงเป็นเสียงธรรมชาติ
การเล่านิทานให้น่าสนใจควรจินตนาการว่าตัวเองเป็นตัวละครเรื่องนั้นๆ เป็นต้น
ครูปรีดาชวนน้องๆ ตั้งคำถามไปจนกระทั่งเวลา 21.00 น. เห็นว่าได้เวลาพอสมควรแล้วจึงให้ทุนคนแยกย้ายเข้าที่พัก
*พวกเราแจ้งนักน้องทุกคนตีห้าเพื่อตื่นมาทำข้าวเช้าร่วมกับพี่ๆ ได้น้อง 4-5 คนอาสาสมัครในเช้าวันแรก และแจ้งกำหนดการตอนเช้ากับน้องๆ ว่าครูปรีดาจะพาไปรีดนมวัวแต่เช้าตรู่
            พวกเราทุกคนนอนหลับกันอย่างสบายทามกลางอากาศที่หนาวเหน็บ มีลมเย็นโชยมาไม่ขาดสาย ลมพัดมาจากเขื่อนลำตะคลอง

วันที่ 27 ธันวาคม 2557

03.45 น. พี่ๆหลายคนตื่นมาเตรียมอาหารเช้าก่อนกำหนดโดยไม่ได้นัดหมาย เพราะอากาศหนาวเย็นเหลือเกิน นอนหลับอย่างสบายขณะที่นอนหมกตัวในผ้าห่มแสนอบอุ่นในเต็นท์ของแต่ละคน พวกเราช่วยกันเตรียมอาหารเช้าและเตรียมที่จะห่อข้าวขึ้นไปกินกันบนภูเขา (ที่พวกเรายังไม่รู้เลยว่าข้างบนนั้นจะเป็นอย่างไร) 04.30 น. น้องๆที่อาสามาช่วยพี่ก็ทยอยมาช่วยกันทีละคนสองคน
05.00 น. กิจกรรมเช้าตรู่เช่นนี้ครูปรีดานัดครูไปดูการรีดนมวัวที่หมู่บ้านบริเวณใกล้ที่พัก พวกเราหลายๆคนได้สาทิตการรีดนมวัวอย่างสนุกสนานในยามเช้านี้ พอกลับมาพวกเราทุกคนเข้าร่วมกิจกรรมOD กิจกรรมสันทนาการความสามัคคี ความเสียสละ โดยครูน้ำผึ้งพาทุกคนทำกายบริหารสั้นๆ ก่อนที่จะแบ่งทีมละ คน ช่วยกันทำกิจกรรมOD(ส่งขวดโดยไม่ใช้มือ , ลำเลียงเมล็ดพันธุ์ใส่ขวด) 



จนถึงเวลา 07.30 น. ถึง 08.25 น. พวกเราให้น้องทานข้าวเช้าตามอัธยาศัยและอาบน้ำแต่ง จนกระทั่งเวลา 08.30 น. พวกเรานัดกันพร้อมเพรียงที่บ้ายครูปรีดาเพื่อที่จะเรียมตัวเดินขึ้นเขากันพร้อมกับเหล่าผู้นำทางที่ครูปรีดาเชิญชวนมาเดินทางร่วมกัน