26 เม.ย. 2555

ต้นส้มแสนรัก - โจเซ่ วาสคอนเซลอส

 หนังสือเล่มนี้เรียก..'น้ำตาของผมไม่น้อยกว่า 5 รอบ'
ซาบซึ่งในความคิดของเด็กคนหนึ่ง ที่มีจินตการอันงดงาม 
ยากจะหาเด็กคนไหนมาเปรียบเปรย

ต้นส้มของเซเซ่ ชื่อ มิงกินโย บางครั้งอารมณ์ดีๆ จะเรียก ซูรูรูก้า
ตัวละครสำคัญอีกตัวคือ โปรตุก้า ที่เป็นศัตรูตัวฉกาจของเซเซ่ แต่สุดท้ายมาเป็นคนที่เซเซ่รักที่สุด..

ฉากที่ดูโหดร้ายคือฉากที่เซเซ่ถูกทุบตี ไม่ว่าจากพี่หรือพ่อ ซึ่งโหดร้ายมาก ทั้งๆ ที่เซเซ่อยากจะช่วยแต่คนเหล่านั้น ไม่เข้าใจต้นส้มแสนรักและแล้วหัวใจเด็กน้อยต้องสลายเมื่อมิงกินโยและโปรตุก้า จากไปพร้อมกันแต่จินตนาการก็ทำให้มิงกินโยมาทำให้เซเซ่รอดพ้นวิกฤติได้..

    สุดยอดของวรรณกรรมระดับโลกอีกเล่มหนึ่งที่กลายมาเป็นตำนานให้คนรุ่นหลังได้อ่าน แล้วหนังสือวรรณกรรมเหล่านี้ก็จะเรียกหยาดน้ำตาจากนักอ่าน คนแล้วคนเล่า
นับเป็นความปีติสุขอย่างหนึ่งนักอ่าน ที่ได้พบเจอหนังสือดีๆ เช่นเล่มนี้ 
วรรณกรรมระดับโลกอีกมากมายที่ผมจะเล่าๆ ในบทความต่อๆ ไปเพื่อเก็บรวบรวมสิ่งที่เคยอ่านผ่านตามาเก็บไว้ใน Blogspot แห่งนี้ไว้ให้เป็นตำนานในครั้งหนึ่ง อาทิเช่น  The Reader, เจ้าชายน้อย (The Little Prince), เจค็อบ คนทำขนมปัง(Jacob the Baker), โจนาทาน ลิฟวิงสตัน:นางนวล(Jonathan Livingston Seagull) เป็นต้น


บางส่วน..บางตอน..
ที่ประใจ ติดตาตรึงใจเรื่อยๆ มาเสมอทุกครา...

-1-
" โปรตุก้า"
"หือ"
"ฉันอยากอยู่ใกล้นายตลอดกาลเลยรู้มั้ย"
"ทำไมรึ"
... "เพราะนายเป็นคนที่ใจดีที่สุดในโลกนะซิ เวลาอยู่กับนายฉันไม่เกเรจนถูกด่าอีกเลย
ฉันรู้สึกว่า "พระอาทิตย์ สาดแสงแห่งความสุขเข้ามาเต็มหัวใจของฉันเลยล่ะ"
"ตอนนี้ผมรู้แล้วล่ะว่าความเจ็บปวดที่แท้จริงนั้นคืออะไร ความเจ็บปวดนั้นไม่ใช่การถูกตีจนสลบไสลหรอก ไม่ใช่การถูกแก้วบาดเท้าและถูกเย็บแผลที่ร้านหมอ ความเจ็บปวดคืออะไรอย่างหนึ่ง ที่ทำให้หัวใจของคุณแตกสลายและต้องตายจากไปโดยไม่อาจจะเล่าความลับของคุณให้ ใครฟังได้เลย"


-2-
 เซเซ่พาน้องไปรับของขวัญที่มีรถขนมาแจกเด็กละแวกนั้นแต่ไปไม่ทัน แต่เขาปล่อยโฮออกมาแล้ว
"อย่าร้องสิ หลุยส์ น้องเป็นพระราชาเชียวนะ พ่อบอกว่าที่ตั้งชื่อหลุยส์ให้ก็เพราะเป็นชื่อพระราชา และพระราชานั้น...ร้องไห้กลางถนนต่อหน้าคนอื่น อย่างนี้ไม่ได้หรอก รู้มั้ย"
ผมเหนี่ยวศีรษะเขามากอดไว้แนบอกลูบผมหยักศกของเขาเบาๆ
"เมื่อพี่โตเป็นผู้ใหญ่ พี่จะซื้อรถสวยๆเหมือนกับของคุณมานูแอล วาลาดาเรส ชาวโปรตุเกสคนนั้นไง น้องรู้จักหรือเปล่าคนที่เดินผ่านหน้าเราที่สถานีรถไฟในวันที่เราไปทักทายเจ้ามันการาติบานั่นไง...พี่จะซื้อคันใหญ่ๆเหมือนของเขา มีของขวัญเต็มรถยกให้น้องหมดเลย...แต่หยุดร้องไห้เสียทีสิพระราชาจะต้องไม่ขี้แยนะ รู้มั้ย"
ในหัวอกของผมมีเสียงหนึ่งร่ำร้องอย่างปวดร้าวว่า
"ฉันขอสาบานว่าจะซื้อมันให้ได้ถึงจะต้องฆ่าคนหรือต้องขโมยมาก็ตามที..."
ไม่ใช่นกน้อยตัวนั้นหรอกที่กำลังพร่ำพูดเช่นนั้นในตัวผมต้องเป็นหัวใจของผมแน่ๆ
ใช่แล้วล่ะ ผมจะต้องทำให้ได้ ทำไมพระบุตรน้อยจึงไม่รักผมนะ พระองค์รักวัว รักลาในรางหญ้า แต่ไม่รักผมเลย พระองค์คงแก้แค้นผมที่ผมยอมเป็นลูกทูนหัวของเจ้าผีร้าย เลยขัดขวางไม่ให้น้องชายผมได้ของขวัญ แต่มันไม่น่าจะเกิดขึ้นกับหลุยส์เลย เพราะเขาเป็นถึงเทพบุตร แม้แต่ปวงเทพในสรวงสวรรค์ก็ยังมีความประพฤติไม่เรียบร้อยเท่าเขาเลย แล้วน้ำตาผมก็ไหลอาบแก้มอย่างน่าสมเพชเป็นที่สุด..
"เซเซ่ พี่ร้องไห้หรือ..."
"เดี๋ยวก็หาย พี่ไม่ได้เป็นพระราชาเหมือนอย่างน้องนี่ พี่มันไม่มีค่า เป็นเด็กเลวๆ เลวมากๆ เลวที่สุด..."


-3-
 เซเซ่นั้นมีวิธีคิดที่น่าสนใจไม่เหมือนเด็กธรรมดาทั่วๆ ไป ครั้งหนึ่งเขาบอกชายแก่ที่เป็นเพื่อนรักว่า เขาเกลียดชังพ่อที่ทุบตีเขาเหลือเกิน เขาจะฆ่าพ่อ แต่แล้วเมื่อเพื่อนต่างวัยทำหน้าตกใจ เซเซ่ก็ขยายความว่า
"ผมฆ่าอยู่ในใจ เพียงแต่นายเลิกรักเขาแล้ว วันหนึ่งเขาก็จะตาย"
ยากจะหาคำพูดมาบรรยายความซาบซึ้งที่เคล้าด้วยเสียงหัวเราะและน้ำตาของเรื่องนี้ ได้ เด็กชายจอมฉลาด เปี่ยมจินตนาการ ทว่า ไม่มีใครเข้าใจ ในที่สุดก็ต้องหาต้นไม้เป็นเพื่อน ตั้งชื่อมันว่า “มิงกินโย” แต่เวลาที่รักมากจะเรียกมันว่าซูรูรูก้า ทั้งสองพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน แล้วเซเซ่ก็มีนกอีกตัวหนึ่งที่คอยพูดคุยกับเขา..อยู่ในตัวเองด้วย


-4-
เซเซ่ก็พบเพื่อนแท้ ต่างกันทั้งวัยและที่มา เขาเป็นชาวโปรตุเกสที่มาอยู่ในบราซิล ผู้คนไม่ค่อยรักใคร่เขาด้วยเพราะเป็นต่างชาติ แถมเป็นชายจากอดีตเจ้าอาณานิคมที่ข่มเหงบราซิลไว้มากโข ใครๆ เรียกเขาว่าโปรตุก้า ซึ่งแสดงความหยามเหยียดทางเชื้อชาติและผลั...กเขาออกจากสังคม
ทว่า เขามีรถแสนสวยที่เด็กทั้งเมืองหมายจะได้เกาะท้าย เซเซ่แอบทำบ้างแต่ถูกจับได้ จึงถูกหวดบั้นท้ายท่ามกลางสายตาชาวบ้านร้านรวง ทั้งเจ็บทั้งอาย เขาสาบานว่าโตขึ้นจะฆ่าโปรตุก้าให้ได้
ทว่า มิตรภาพก็เกิด...เกิดขึ้นระหว่างเด็กน้อยและชายแก่ต่างด้าวผู้เปลี่ยวเหงา เป็นมิตรภาพที่นับวันก็จะยิ่งเหมือนพ่อกับลูก เซเซ่กลายเป็นเด็กดี ว่าง่าย และกลับมามีความหวังในชีวิตอีกครั้ง ไม่มีใครในจักรวาลเชื่อว่าเขาจะกลายเป็นเด็กดีขึ้นมาได้ ..

-5-
 เซเซ่ทึกทักขอให้โปรตุก้าเป็นพ่อของเขา ชายแก่ได้แต่ตกใจ เขารู้ว่าเป็นไปไม่ได้ แต่ก็ปลอบใจว่า ถึงจะพรากเซเซ่มาจากพ่อที่โหดร้ายไม่ได้ก็จริง แต่ก็จะทำตัวเป็นพ่อที่ดีที่สุดให้
โปรตุก้าทำได้ เขาพาเซเซ่ไปเที่ยวซื้อขนมให้และที่ทำให้เซเซ่รักเขามากม...ายก็คือการจ้องหน้าอย่างเข้าอกเข้าใจยามรับฟัง เรื่องเล่าไม่รู้จบของเขา ทว่า โปรตุก้าผู้เปลี่ยวเหงาก็ทำได้ไม่นาน
วันหนึ่งมีข่าวว่ารถคันสวยของชาวโปรตุเกสถูกรถไฟชนจนแหลกยับ
เซเซ่วิ่งไม่คิดชีวิตไปให้ถึงที่เกิดเหตุ แต่เขาไม่เห็นอะไร ไม่เห็นรถของโปรตุก้า ทว่า ก็ร้องออกมา เขารู้ว่าโปรตุก้าตายแน่ ตายไปพร้อมๆ กับต้นส้มแสนรักของเขาที่เร็วๆ นี้กำลังจะถูกโค่นเพื่อขยายถนน..

-6-
 เซเซ่ไม่เหลืออะไรอีกแล้ว เขาช็อกและตายลงอย่างช้าๆ พลางตัดพ้อกับพระเยซูคริสต์พระบุตรของพระเจ้าว่าเหตุใดจึงไม่รักเขาเหมือนเด็กคนอื่นๆ
หลังจากนั้นแม้ว่าเขาจะรอดมาจากการตรอมใจ ได้ชีวิตก็ไม่เหมือนเดิมเสียแล้ว เขาบอกพี่สาวว่าหากรอดชีวิตเขาก็จะเป็นเด็กเลว
ทว่า พี่สาวก็เพียงปลอบว่า ขอให้เขารอดมาเป็นเด็กธรรมดาๆ คนหนึ่งก็พอ
ต้นส้มที่แท้จริงของเซเซ่ถูกโค่นไปแล้วพร้อมๆ กับการจากไปของโปรตุก้านั่นเอง แต่เขายังต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป..


ผมหลงรักหนังสือเล่มนี้ครับ 
 

17 เม.ย. 2555

ถ้าไม่มีผู้ใหญ่บนโลกใบนี้ - เวนิช มิตรสันเทียะ : สงฟาง จรุงกิจอนันต์

เมื่อโลกทั้งใบมีแต่เด็กๆ
คืนและวันของพวกเขาจะเป็นอย่างไรกันนะ

         ...ตื่นกลัว

                                  ...เคว้งคว้าง

                         ...เร่งค้นหาความหมาย

...หรือค่อยๆ      เติมเต็ม     ความ    เติบใหญ่

ค้นหาคำตอบของเด็กๆ เมื่อไม่มีผู้ใหญ่บนโลกใบนี้
กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๑

    งานเขียนเล่มนี้เด็กๆ ชอบอ่านกันมากเลยครับ เพราะว่าเพียงเปิดหน้าแรกออกมาก็จะประทับใจ เกิดความหลงใหลในงานเขียน ภาพวาดการ์ตูนเล่าเรื่อง สนุกสุดมันส์เหลือหลาย
ผมใช้เวลาไม่นานก็ อ่านจบเล่มนี้ วันนั้นว่าจะเอาไปแนะนำให้เด็กๆ ชั้น ป.5 อ่านกัน แต่เด็กๆ บอกว่า "หนูเคยอ่านแย้วว / ผมก็เคยอ่านมาแล้วว!"  ผมก็เลยให้เด็กๆ มาเล่าให้ผมฟัง ในแต่ละตอนอย่างรวดเร็ว 
รวมผลงานการ์ตูนสั้น 4 เรื่อง เรื่องราวของเด็กๆ เมื่อโลกไม่มีผู้ใหญ่เหลืออยู่เลย แต่ละเรื่องสอนให้เด็กต้องใช้ความกล้าหาญ มีสติในการเผชิญความหวาดกลัวและอุปสรรค ค้นหาว่าสิ่งใดมีความจำเป็นแก่ชีวิตและโลกแวดล้อม เปิดใจเรียนรู้และเข้าใจตนเอง ปรับตัวเพื่อจะรู้จักและเข้าใจผู้อื่น

ถ้าไม่มีผู้ใหญ่บนโลกใบนี้ :
เด็กน้อยเขาเอากระดาษ มาพับเป็นจรวด ออกเดินทางโบยบินไปค้นหาความสุขในสถานที่ต่าง 

สมบัติของเด็กๆ 
มีพระราชาอยากได้ของวิเศษมาครอบครอง หวังว่าเมืองจะมีอำนาจและประชาชนจะมีความสุขได้

ไม่ชอบเลย... นะ :
เด็กน้อยคนหนึ่งอยู่ในบ้าน และเขาสังเกตเห็นแมวอยู่ แล้วเขาก็ไม่ชอบแมวเอามากๆ พยายามเอาแมวไปไว้ที่อื่นๆๆ ให้ห่างไกลบ้านมากที่สุดๆๆ
แต่แล้วยังไง

เด็กหญิง เด็กชาย และสายรุ้ง
มีหนุ่มสาวคู่หนึ่ง ตั้งใจที่จะก่ออิฐฉาบปูน ให้เป็นถนนยาวขึ้นเรื่อยๆ โดยแต่ละคนไม่เคยสนใจสิ่งรอบข้างเลย สนใจเพียงทางเดินที่ตนเองฉาบไป วันหนึ่งทั้งคู่ก็เลยฉาบมาบรรจบกันเข้าพอดี แต่ทั้งคู่ต่างไม่รู้ตัวตนของกันและกัน เพราะเด็กชายเอาแต่ก้มหน้า และเด็กหญิงก็ไม่เคยก้มมอง ทั้งคู่เลยเปิดโอกาสเงยหน้าขึ้นมองดูกัน พวกเขาก็เลยเห็นสิ่งรอบๆ ข้างกายอันสวยงามยิ่งนัก เขาทั้งคู่ก็เลยตั้งใจฉาบถนนไปด้วยกัน หลังจากร่วมทางกันมาได้สักพัก ทั้งคู่ก็เลยทะเลาะกันว่าจะเลือกไปทางไหนที่สวยงามระหว่าง ปลายทางเมฆขาวนวลกับดวงอาทิตย์ที่แจ่มจ้า ทั้งคู๋เริ่มทะเลาะกัน เด็กชายไม่เข้าใจเด็กหญิง และเด็กหญิงก็ไม่เข้าใจเด็กชาย
ท้ายที่สุดแล้ว ทั้งคู่จึงแยกทางกัน เด็กหญิงเดินไปทางกลุ่มเมฆ เด็กชายหยุดอยู่ตรงนั้น เพื่อหาทางเข้าใกล้ดวงอาทิตย์ ทั้งคู่ต่างก็เจออุปสรรคมากมายจนกระทั่ง! พายุกระหน่ำเขาทั้งคู่หวนมาพบเจอกันอีกครั้ง เขาพูดจาคุยกัน ถามถึงความใส่ใจ ห่วงใยกัน
เขาขอโทษกันและร่วมกันเดินทางฉาบถนนกันเรื่อยๆ อย่างเข้าใจซึ่งเหตุผลของกันและกัน ด้วยความรัก.

"เด็กหลายคนเกิดมาเป็นทาสในเกือบจะทันทีที่เดินได้ บางคนเกิดมาเพื่อจะถูกขายต่อไปเป็นลูกบุญธรรม และอีกหลายล้านคนถูกทอดทิ้งให้วิ่งอยู่ตามถนนในเมืองต่าง ๆ ทั่วโลก และมักจะผูกพันกับคนอื่น ๆ ที่ร่วมชะตากรรม จนกลายเป็นแก๊งต่าง ๆ ที่จะก่อความรุนแรงที่น่ากลัวต่อไป"  

10 เม.ย. 2555

นิทานล้านบรรทัด - ประภาส ชลศรานนท์ // วิชาตัวเบา - คุณหญิงจำนงศรี หาญเจนลักษณ์

หนังสือดีๆ 2 เล่ม จากผู้ปกครองที่น่ารัก..
จาก...แม่พี่เอินเอิน ป.5/54

ทุกเรื่องในโลกนี้ ไม่มีเรื่องใดสมเหตุสมผลเลย
เรื่องที่เป็นไปไม่ได้เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลาในนิทาน
ลิงพูดได้ ใบไม้มีขา ม้าล่องหน 
แต่นี่แหละคือเสน่ห์แห่งนิทาน..
ปรัชญาอันยิ่งใหญ่ที่ติดตัวมากับมนุษย์ตั้งแต่เกิด
"ความคิดที่ว่าทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปได้หมด" และว่ากันว่าปรัญชาง่ายๆ ข้อนี้ มันจะค่อยๆ เสื่อมสลายไป เมื่อใช้ชีวิตเรื่อยๆ บนโลก

 ตุลาคม 2554


เคล็ดลับเพื่อทำชีวิตให้ง่าย
และมีความสุข 
ซึ่งเป็นการคิดอย่างง่ายๆ
ตามความเป็นจริงบนพื้นฐานแห่งความดี
ที่เป็นประโยชน์ต่อตนเองและคนอื่น


คุณหญิงจำนงศรี หาญเจนลักษณ์
กันยายน 2546

นักเรียนชั้น ป.5 เราจะอ่านหนังสือกันทุกๆ วัน 
บางวันผมอาจจะพานักเรียนอ่านหนังสือในตอนเช้า-เที่ยง-เย็น หรือตามความเหมาะสมของเวลาในแต่ละวันที่นักเรียนมาเรียน
เราก็เลยคุยกันหลังการอ่าน นักเรียนเริ่มชอบการอ่าน เด็กบางคนยืนหนังสือไปอ่านต่อที่บ้าน เอาให้ผู้ปกครองยืมอ่านด้วย

..............................................................
ตัวอย่าง..บางตอนครับ...
เจ้าหญิงแสนโหล

กาลครั้งหนึ่งในยุคที่มีเจ้าหญิงเจ้าชายอยู่เต็มไปหมด
ยังมีเจ้าหญิงอยู่องค์หนึ่งชื่อเจ้าหญิงแสนโหล เจ้าหญิงมักตรัสเสมอว่าใบหน้าของพระองค์ไม่ค่อยแตกต่างอะไรกับเจ้าหญิงเมืองอื่นๆ เลย
“ทำไมเจ้าหญิงต้องใส่กระโปรงบานและยาวอย่างนี้” เจ้าหญิงมักตรัสอย่างนี้กับสาวใช้คนสนิท
“แล้ว ทำไมเจ้าหญิงต้องใส่มงกุฎด้วย ฉันไม่อยากเป็นเจ้าหญิงคนอื่นๆ เลย ฉันอยากเป็นตัวของตัวเอง ฉันอยากเป็นเจ้าหญิงหนึ่งเดียว ไม่อยากเป็นเจ้าหญิงแสนโหล อย่าว่าแต่แสนโหลเลย โหลเดียวฉันก็ไม่อยากให้ใครรู้สึกว่าฉันเหมือน”
ดังนั้นเจ้าหญิงแสนโหลจึงสั่งให้สาวใช้คนสนิทไปสืบดูว่าเจ้าหญิงเมืองอื่นๆ เขาทำอะไรกันบ้าง
“องค์หญิงเพคะ” สาวใช้กลับมารายงาน “เจ้าหญิงราพันเซลที่อยู่เมืองถัดไป เป็นเจ้าหญิงที่มีผมดำยาวสลวยเพคะ”
“อ๋อ เจ้าหญิงราพันเซลที่ปล่อยผมยาวลงมาจากหอคอยเพื่อให้เจ้าชายปีนขึ้นไปใช่ไหม
ดีล่ะ ฉันไม่อยากเหมือนนางหรอก ฉันไม่อยากเป็นเจ้าหญิงแสนโหล ฉันไม่อยากเหมือนนางหรอก
ฉันไม่อยากเป็นเจ้าหญิงแสนโหล ฉันไม่อยากเหมือนใคร”
พูดจบเจ้าหญิงแสนโหลก็เอากรรไกรมาตัดผมอันยาวสลวยของเธอออก
สาวใช้เห็นดังนั้นก็ตกใจ “ไม่ต้องตกใจ ไปสืบมาอีกว่าเจ้าหญิงองค์อื่นเขาทำอะไร”
สาวใช้กลับมาอีกพร้อมรายงาน “ถัดไปอีกสามเมืองเพคะ ประชาชนเรียกขานเจ้าหญิงองค์นี้ว่าเจ้าหญิงนิทรา ว่ากันว่านางหลับใหลเพื่อรอเจ้าชายมาจุมพิต”
“ดีล่ะ” เจ้าหญิงแสนโหลทำหน้าเชิดเหมือนนางร้ายละครหลังข่าว “ถ้าอย่างนั้น ฉันจะไม่ยอมนอนหลับง่ายๆ ฉันไม่อยากเหมือนนาง เจ้าต้องคอยปลุกฉันนะ คราใดที่ฉันเผลอนอนหลับเจ้าต้องปลุกฉัน”
สาวใช้หายไปอีกหลายวัน กลับมาคราวนี้สาวใช้มีเรื่องเจ้าหญิงเมืองอื่นมาเล่าให้ฟังถึงสามสี่เมือง
“เจ้าหญิงสโนวไวท์เธออยู่กับคนแคระทั้งเจ็ดเพคะ”
“จริงหรือ น่าเกลียดจังเลย เป็นผู้หญิงตัวคนเดียวไปอยู่กับผู้ชายเยอะแยะได้อย่างไร” เจ้าหญิงแสนโหลกล่าว
“แต่ในวังขององค์หญิงมีทหารหนุ่มเต็มไปหมดนี่เพคะ” สาวใช้ทักเจ้าหญิงแสนโหลโบกมือเฉไฉ
“เอาน่า แล้วในวังของเรามีคนแคระไหมล่ะ”
“มีเพคะ แต่เป็นคนแคระผู้หญิง” สาวใช้ตอบ
“ไล่มันออกจากวังไป ฉันไม่อยากให้ชื่อของฉันมีสร้ายคำท้ายเกี่ยวกับครแคระทั้งนั้น ไม่ว่าจะผู้หญิงหรือผู้ชาย”
“แต่เขาเป็นแม่ครัวของเรานะเพคะ”
“ไล่มันออกไป แล้วหาแม่ครัวใหม่ คราวนี้ห้ามเอาคนตัวเตี้ยมาอยู่ในครัวด้วย” เจ้าหญิงแสนโหลเริ่มดันทุรัง
“แล้วเจ้าหญิงคนต่อไปที่เจ้าไปสืบมาล่ะ”
“ข้ามภูเขาลูกนี้ไปเพคะ มีเจ้าหญิงซินเดอเรลล่า ก่อนจะอภิเษกสมรสครองคู่อย่างมีความสุขนิรันดร
พระนางเคยทำงานบ้าน แล้วก็อยู่กับแม่เลี้ยงเพคะ” สาวใช้เล่าอย่างละเอียด
“ดีสิ ฉันไม่อยากทำงานบ้านอยู่แล้ว เอ..แล้วฉันมีแม่เลี้ยงไหม” เจ้าหญิงแสนโหลสนใจรายละเอียดไม่แพ้สาวใช้
“ไม่มีเพคะ” สาวใช้ตอบ
“อย่างนี้ก็แสดงว่าฉันไม่เหมือนยายนั่น” เจ้าหญิงแสนโหลดีใจ
“เพคะ แต่ถ้าเสด็จพ่อขององค์หญิงอภิเษกสมรสใหม่เมื่อไร องค์หญิงก็จะมีแม่เลี้ยงทันที”
สาวใช้พูดสำเนียงคล้ายบ่าง นั่นคือออกไปทางยุ
“ไม่ยอม ฉันไม่อยากเหมือนเจ้าหญิงซิน ฉันจะไม่ยอมให้เสด็จพ่ออภิเษกสมรสใหม่” เจ้าหญิงแสนโหลทำหน้าปั้นปึ่ง และเป็นหน้าปั้นปึ่งแบบที่ได้รับการตรวจสอบจากสาวใช้แล้วว่าไม่เหมือนเจ้า หญิงองค์ไหนแน่ๆ
“แล้วเจ้าหญิงอีกเมืองหนึ่งล่ะ”
“หม่อมฉันลอง ข้ามแม่น้ำไปแล้วเพคะ เมืองที่ฝั่งโน้น มีเจ้าหญิงรจนาพระชายาของเจ้าชายสังข์ทอง เรื่องราวของพระนางโรแมนติกเหลือเกิน พระนางทรงเสี่ยงมาลัยเลือกเจ้าขายได้เพคะ”
“ต่อให้โรแมนติกแค่ไหน ฉันก็ไม่ยอมเหมือน จากนี้อย่าให้ฉันจับพวงมาลัยนะ”
“ผ่านไปอีกหลายปี เจ้าหญิงผมสั้นที่ชอบอดหลับอดนอน ทั้งๆ ที่ไม่ได้ทำงานบ้านอะไร แถมยังรังเกียจพวงมาลัยและคนแคระไปพร้อมๆ กัน ก็ยังคงให้สาวใช้ออกเดินทางไปทั่ว เพื่อสืบดูเรื่องราวของเจ้าหญิงองค์อื่นๆ แล้วก็นำมาเป็นข้อห้ามของตัวเอง
ยิ่งสืบเยอะ ข้อห้ามก็ยิ่งเยอะ
   ทุกวันนี้เจ้าหญิงแสนโหลได้เปลี่ยนชื่อใหม่ไปเป็นชื่ออื่นแล้ว แต่คนทั่วไปก็ยังคงเรียกพระนางว่าเจ้าหญิงแสนโหล เพราะพฤติกรรมที่เจ้าหญิงพยายามปฏิเสธไม่ทำ มันกลับทำให้ผู้คนพูดถึงองค์หญิงในเรื่องนั้น และทุกครั้งที่ผู้คนพูดถึงเจ้าหญิงองค์อื่นๆ ก็มักจะพูดโยงมาถึงเจ้าหญิงแสนโหลเสมอ
ตัวอย่างเช่น เมื่อพูดถึงเจ้าหญิงนิทรา ผู้คนก็จะพูดต่อว่า แล้วก็มีเจ้าหญิงอีกองค์ที่คล้ายๆ เจ้าหญิงนิทราแต่ไมค่อยยอมนอน เมื่อพูดถึงเจ้าหญิงสโนไวท์ ก็จะพูดกันต่อว่ายังมีเจ้าหญิงที่เคยมีคนแคระอยู่ในวัง แต่ตอนหลังรังเกียจคนแคระ เป็นต้น
ไม่มีใครพูดว่าเจ้าหญิงแสนโหลมีเอกลักษณ์พิเศษอันใดเลย
ยิ่งอยากพิเศษ ยิ่งไม่พิเศษ
.....................................................................
บางตัวอย่าง..ที่ประทับใจครับ...
วิชาตัวเบา
ที่เมื่ออ่านไปบ้างแล้วนั่นคือ "วิธีคิด" ซึ่งพระพุทธองค์เคยตรัสไว้ทำนองที่ว่าทุกสิ่งอยู่ที่ใจ หรือที่ความคิดนั่นเอง
ถ้าคิดดีก็พูดดี ทำดี
เป็นงานที่เรียบง่าย ภาษางดงามราวกับบทกวี ลึกซึ้ง รื่นรมย์ เย็นใจ เต็มไปด้วยอารมณ์แจ่มใส

เนื้อหาเต็มไปด้วยแนวคิดในทางบวก เหมือนเป็นอาหารที่เน้นสุขภาพจิต
มีอารมณ์ขัน เป็นกันเอง อ่านพอเข้าใจได้ เพราะพอจะเห็นเป็นจริง
เนื่องจากมันเกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน
อย่างน้อยอ่านก็เพื่อได้อยู่กับความเป็นจริงของชีวิตที่ต้องมีทั้งทุกข์และสุข

“ถกเถียง” กับ “ทะเลาะ”

ผิดกันตรงที่การเถียงมุ่งที่เนื้อหา และความคิดซึ่งทำให้เข้าใจกันและกัน ทำให้สมองแตกกิ่งก้านสาขา
และยังได้ความสนุกสนานชีวิตชีวาพ่วงมาด้วย แต่การทะเลาะนั้นพุ่งไปที่ตัวคน ทำให้เกิดแรงปะทะที่ร้อนและเป็นลบ

ทำใจ
ในชีวิตคนเราทุกคนมีเรื่องให้ต้อง “ทำใจ” ไม่เรื่องเล็กก็เรื่องใหญ่
การทำใจให้ยอมรับความเป็นจริงที่แก้ไม่ได้ เป็นทักษะที่น่าฝึกไว้เป็นวิทยายุทธ์ที่สำคัญยิ่งในการใช้ชีวิตการยอมรับไม่ใช่การยอมแพ้ แต่เป็นการปูพื้นเพื่อก้าวไปอย่างสง่างามในโลกของความเป็นจริง

คนอวดดื้อถือบ้าอย่างข้าพเจ้า มีอัตตาสูง สร้างสมบ่มเพาะมาเป็นเวลานานยังรู้สึกดีและประทับใจถ้อยคำอันอบอุ่นที่คุณหญิงจำนงศรีถ่ายทอดออกมาอย่างอ่อนโยนและมีความเข้มแข็งในเนื้อหาทางธรรมผสมผสานกันไปอย่างกลมกลืน ไม่คิดว่าตัวเองอ่านจบแล้วจะบรรลุธรรมหรือเข้าใจอะไรทั้งหมดหรอก
แต่สิ่งที่คิดว่าเป็นประโยชน์ต่อตนเองคือความคิดในเชิงบวก เป็นสิ่งที่น่าเรียนรู้และปฏิบัติ พร้อมเปิดหัวใจที่คับแคบได้มีช่องระบายใจไหลเวียนเข้า-ออกด้วยอากาศดี ๆ ที่พึงหายใจ ทางออกใหม่ ๆ ในด้านความคิดและความรู้สึก
(ความรู้สึกจากผู้อ่าน ท่านหนึ่ง)

เพราะให้ด้วยความรู้สึกรักและห่วงใยในความไม่เอาไหนของข้าพเจ้าที่มักจะลั่นดาลใจด้วยประตูที่ปิดตาย
ให้ด้วยความรู้สึกว่าข้าพเจ้าจะมีสติปัญญารับสิ่งเหล่านี้ได้ เพราะในที่สุดแล้ว คนอื่นดูถูกเราได้ ก็ไม่เท่าเราดูถูกตนเอง ข้าพเจ้าจึงรับความรู้สึกหวังดีตรงนี้ของเขาได้จะค่อยๆ อ่านและทำความเข้าใจเผื่อจะได้สัมผัสแสงสว่างที่ลอดเข้ามาในห้องแคบๆ จากการให้ด้วยความบริสุทธิ์ใจของเขาได้บ้าง
เรามักจะยกย่อง "การให้" โดยมองข้ามคุณค่าของ "การรับอย่างงาม" ทั้งๆ ที่สองอย่างนี้เปรียบเสมือนหน้าสองหน้าของเหรียญเดียวกัน และเหรียญที่มีค่าจริง คือ เหรียญที่งามทั้งสองหน้า

คนที่ชอบให้ แต่ไม่อยากรับของใครนั้นมีมาก
คนที่รับ แต่ไม่คิดจะให้ยิ่งมีมากขึ้นไปอีก

อันที่จริงแล้ว
การรู้จักรับอย่างงดงาม เป็นศิลปะที่ละเอียดอ่อนไม่น้อยไปกว่า การให้ด้วยใจบริสุทธิ์
ถ้าเรียนรู้ศิลปะทั้งสองนี้ให้ลึกซึ้งถึงใจ เราก็จะรู้จักเปิดประตูให้น้ำเลี้ยงใจไหลสู่กัน
เพื่อเพิ่มความชุ่มฉ่ำงดงามให้ชีวิต

ผมยังมีหนังสือดีๆ อีกหลายเล่มที่ได้รับมาโดยการบริจาคของเด็กๆ และผู้ปกครองที่น่ารักทั้ง 29 คน ผมเชื่อว่าหนังสือหลายๆ ต่อหลายเล่มนั้นได้ทำให้เด็กๆ มีน้ำตาและเสียงหัวเราะ
หลายคนยืมอ่านต่อๆ กัน เกิดการพูดคุยกันเกี่ยวกับเรื่องราวจากหนังสือ

3 เม.ย. 2555

โรงเรียนนอกกะลา - วิเชียร ไชยบัง

ปฏิวัติการศึกษา ณ โรงเรียนลำปลายมาศพัฒนา
คิดเยี่ยงครู ดูอย่างครูใหญ่ : พลังความรั้น ผลักดันโลก

โรงเรียนที่ไม่มีการสอบ
โรงเรียนที่ไม่มีเสียงออดเสียงระฆัง
โรงเรียนที่ไม่มีดาวให้ผู้เรียน
โรงเรียนที่ไม่ต้องใช้แบบเรียน
โรงเรียนที่ไม่มีครูอบรมหน้าเสาธง
โรงเรียนที่ไม่ได้จัดลำดับความสามารถผู้เรียน

โรงเรียนที่ครูสอนเสียงเบาที่สุด
โรงเรียนที่พ่อแม่ต้องมาเรียนรู้ร่วมกับลูก
โรงเรียนที่ทุกคนได้เรียนรู้อย่างมีความสุข

    ผมมาเป็นครูวันแรกที่โรงเรียนแห่งนี้ โรงเรียนลำปลายมาศพัฒนา หรือที่รู้จักกันดีในชื่อของ 'โรงเรียนนอกกะลา' ตั้งอยู่ที่ อ.ลำปลายมาศ  จ.บุรีรัมย์
การมาเป็นครูที่นี้ ครูทุกคนต้องได้อ่านหนังสือเล่มนี้ให้เข้าใจอย่างลึก แล้วให้ถอดความเข้าใจในแต่ละภาคของหนังสือออกมา เพื่อเก็บงานเริ่มแรกของครูที่ได้เข้ามาอยู่ที่นี้  หนังสือเล่มนี้ประกอบไปด้วย 5 ภาค

โรงเรียนที่ไม่มีการสอบ
การสอบเป็นเพียงหนึ่งในหลายๆ อย่างของเครื่องมือและวัดค่าได้เพียงหยาบๆ หัวใจอันแท้จริงของการผลและประเมินผลนั้นเพื่อมุ่งพัฒนาผู้เรียนแต่ละคน การวัดผลตามสภาพจริงอย่างต่อเนื่องด้วยเครื่องมือที่หลากหลายจึงเป็นทางเลือกที่ดีกว่า


โรงเรียนที่ไม่มีเสียงออดเสียงระฆัง
การปลูกฝังวินัยและคุณธรรมเชิงลึกนั้น ไม่สามารถเกิดขึ้นได้เพราะคำสอนวิถีชีวิตที่เกิดขึ้นในแต่ละวันอย่างสม่ำเสมอคงเส้นคงวาต่างหากที่กล่อมเกลา กรอบความคิดที่ใช้เวลาเป็นมาตรวัดคุณค่านั้นเกิดขึ้นพร้อมกับโลกยุคอุตสาหกรรมซึ่งผ่านไปนานแล้ว


โรงเรียนที่ไม่มีดาวให้ผู้เรียน
สิ่งที่ผู้เรียนทุกคนทำออกมาล้วนแต่มีค่า ครูไม่ควรตีตราด้วยดาวหรือคะแนน ครูมีหน้าที่รู้ให้ได้ว่าเด็กแต่ละคนควรพัฒนาตรงไหน และหาวิธีที่จะพัฒนาเด็กให้เต็มศักยภาพของแต่ละคน


โรงเรียนที่ไม่ต้องใช้แบบเรียน
แบบเรียนเป็นเพียงที่เก็บความรู้ ผ่านไปไม่กี่วันมันเป็นเพียงความรู้เก่า ครูควรจะสนใจพัฒนาผู้เรียนให้มีทักษะที่จำเป็นสำหรับอนาคตมากกว่า ได้แก่ ทักษะกระบวนการแสวงหาความรู้และทักษะการคิด ในที่สุดผู้เรียนจะเป็นผู้แสวงหาความรู้ที่จำเป็นและมีความหมายต่อเขาด้วยตัวเอง

โรงเรียนที่ไม่มีครูอบรมหน้าเสาธง
ช่วงเวลากิจกรรมหน้าเสาธงเป็นช่วงเวลาที่น่าเบื่อที่สุดสำหรับเด็ก ไม่ใช่ช่วงเวลาที่ดีสำหรับการเรียนรู้ ควรจัดให้สั้นกระซับและได้ความรู้สึก

โรงเรียนที่ไม่ได้จัดลำดับความสามารถผู้เรียน
เราเชื่อว่าเด็กทุกคนมีความสามารถและมีดีที่แตกต่างกัน เหมือนมะละกอ กล้วย ส้ม ลิ้นจี่ ที่จัดอับดับไม่ได้

โรงเรียนที่ครูสอนเสียงเบาที่สุด
น้ำเสียงที่เบาสื่อถึงความเมตตาอารีและเข้าถึงจิตใจได้ลึกกว่า ผู้เรียนและครูจะให้ความสำคัญกับการฟังแบบลึก

โรงเรียนที่พ่อแม่ต้องมาเรียนรู้ร่วมกับลูก
ลำพังโรงเรียนฝ่ายเดียวไม่สามารถพัฒนาผู้เรียนได้เต็มศักยภาพได้ ความเข้าใจตรงกันและความร่วมมือกันระหว่างโรงเรียนกับพ่อแม่จึงต้องทำกันอย่างต่อเนื่อง

โรงเรียนที่ทุกคนได้เรียนรู้อย่างมีความสุข
ความสุขจะนำไปสู่ ฉันทะ คือรักที่จะเรียนรู้ เมื่อรักที่จะเรียนรู้ก็จะเรียนรู้ได้อย่างดี


ภาคหนึ่ง
กะลาครอบ


เรามีโรงเรียนมากมายในโลก
เรามีห้องเรียนมากมายในโลก
เรามีเด็กๆ มากมายในห้องเรียน
เราอยากให้เกิดสิ่งใดกับผู้เรียน?
อะไร คือ เป้าหมายสูงสุดที่อยากให้เกิดกับผู้เรียน ?
(คำตอบเหล่านี้ไม่ได้เรียงตามน้ำหนัก หรือ ไม่แน่ใจนักว่าจะใช่จริงๆ)

ความนอบน้อม
ความรู้พื้นฐาน
ผลการเรียนสูง เกรดสี่ทุกวิชา
ความมีวินัย
ความสามารถในการจัดการ
ความสามารถในการพัฒนาตนเอง
การตอบแทนสังคม
พ่อแม่ผู้ปกครองพึงพอใจ
สอบเข้ามหาวิทยาลัยได้
มีอาชีพที่มั่นคง
อุปนิสัยดี
ปัญญา
มีความสุข
ร่ำรวย มีบ้าน มีรถ มีสิ่งอำนวยความสะดวกอย่างเพียงพอ
ฯลฯ

ถ้าทรัพย์สิน เงินทอง หรือ ความร่ำรวย เป็นตัวชี้วัดความสำเร็จทางการศึกษา และ ถ้ากฎของพาเรโต้ถูกต้อง
นั่นหมายถึงการศึกษาทั้งมวลที่มนุษย์เพียรสร้างมา ล้มเหลว เพราะจะมีเพียงคน 20 % ในโลกเท่านั่นที่ครองทรัพย์สินของโลกถึง 80%  คนที่เหลือ 80 % ของพลกรโลก ต่างก็แบ่งปันหรือไม่ก็แย่งชิงกัน จากเศษทรัพย์สินของโลกที่เหลือเพียง 20 %
...ปี ค.ศ. 1960 วิลเฟรโด้ พาเรโต้ (Vilfredo Pareto) นักเศรษฐศาสตร์ชาวอิตาลี ได้สร้างสูตรอธิบายการกระจายความมั่งคั่งโดยพบว่า ประชากรจำนวน 20 % ครอบครองความร่ำรวยในปริมาณ 80 % ของความร่ำรวยทั้งหมด..
หรือเราควรจะเอา ความรู้ของผู้เรียน เป็นตัวชี้วัดความสำเร็จของการศึกษา

โปรดพิจารณาเหตุการณ์ต่อไปนี้
เด็กคนหนึ่งเรียนเก่งที่สุดในชั้น เขาตั้งใจเรียนตลอดชั่วโมงและเข้าใจเนื้อหาที่ครูสอนอย่างดี แต่เมื่อออกนอกห้อง เขาขอเล่นกระโดดยางกับเพื่อนแต่เพื่อนไม่ยอมให้เล่นด้วย
สองเหตุการณ์นี้อะไรสอนเด็กคนนี้ได้มากกว่ากัน เหตุการณ์ใดส่งผลต่อชีวิตของเด็กคนนี้มากกว่ากัน นอกห้องเรียนกลับมีหลักสูตรที่ซ่อนอยู่มากมาย

มองโลกจากมุมหนึ่งของจักรวาล

นี่คือโลกที่ลอยอยู่ท่ามกลางความมืดมิดของอวกาศ
เป็นภาพที่เอ็ดการ์ มิตเชลล์ นักบินอวกาศชาวสหรัฐ มองเห็นโลกจากดวงจันทร์ มันกระทบใจเขามาก เขาได้เห็นความเป็นหนึ่งเดียวของโลก เห็นตัวเองเป็นสิ่งเล็กน้อยไร้ความหมายต่อจักรวาล จิตเปลี่ยนจากจิตเล็กเป็นจิตใหญ่ เข้าถึงความเป็นหนึ่งเดียวของสรรพสิ่ง เกิดความรักต่อเพื่อนมนุษย์และธรรมชาติ เมื่อเขากลับมายังโลกสิ่งที่เขามุ่งหมายคือการค้นคว้าและเผยแพร่เรื่องจิตสำนึกใหม่ อันเป็นจิตใหญ่ ก่อให้เกิดความอิสระ ความสุข และความรักอันไพศาล จนเข้าถึงความจริง ความงาม เขาได้ตั้งสถาบันชื่อ The Institute of Noetic Sciences (IONS) เพื่อค้นคว้าและเผยแพร่เรื่องดังกล่าว

ทั้งเหตุการณ์ที่เกิดกับเด็กคนที่เพื่อนไม่ยอมให้เล่นด้วยกับการมองเห็นโลกจากดวงจันทร์ของเอ็ดการ์ มิตเชลล์ ชี้ให้เห็นว่าหลายอย่างที่ไม่ได้มีสอนในห้องเรียนแต่มีความหมายมาก เพราะมันกระตุ้นความรู้สึก ความรู้สึกเป็นปรากฏการณ์ทางจิตที่มีอิทธิพล อย่างลึกซึ้งต่อมนุษย์มากกว่าสติปัญญา
กลับมามอง.....บทเรียนของการศึกษาในอดีต
เรามีการศึกษาที่ทุกคนไม่มีสิทธิเข้าถึงการศึกษาที่มีคุณภาพเท่าเทียมกัน
ผู้เรียนเกือบทั้งหมดทำอาชีพตามสาขาที่เรียนมา ผู้คนทำงานเดียวและยึดมันไว้อย่างมั่นคง
การเรียนการสอนเน้นการจำความรู้
ดำรงอยู่ภายใต้วัฒนธรรมเดียว
ต่างคนต่างทำงานในความรู้ที่ตนเองได้เรียนมา
เรียนเป็นช่วง ๆ ตามระดับชั้น
การเรียนการสอนเป็นกลุ่มเดียว ในห้องสี่เหลี่ยม ครูเป็นผู้ให้ความรู้ ครูกำหนดสิ่งที่จะสอน และห้องเรียนเงียบ ผู้เรียนมีส่วนร่วมน้อย
สอบวัดความรู้
เน้นการแข่งขัน ผู้แพ้ถูกคัดออก มีคนจำนวนน้อยได้เรียนระดับสูง
ฯลฯ

การศึกษายังติดอยู่ที่ การอ่านออกเขียนได้ คิดเลขเป็นและความรู้
ทั้งที่ ... ทักษะกระบวนการแสวงหาความรู้ และ ทักษะการคิด คือ เครื่องมือที่จำเป็นที่สุดในอนาคต เรายังตามความคิดของเมื่อวาน มากกว่าความต้องการในอนาคต ความคิดใหม่ และ นวัตกรรมใหม่จึงเกิดขึ้นน้อย
ห้องเรียนมีหลายกลุ่มผู้เรียน โดยมีครูเป็นผู้อำนวยความสะดวก นักเรียนเป็นผู้เลือกสิ่งที่อยากเรียนและเน้นการจัดการความรู้ร่วมกัน
แต่ค่านิยมทางการศึกษาวันนี้ ยังมุ่งไปที่
►ความรู้
► ทักษะการคิด
►ทักษะกระบวนการแสวงหาความรู้

แม้แต่ สโลแกนก็ให้ความสำคัญกับความรู้
►เก่ง ► ดี ►มีความสุข
เพราะ เก่ง วัดง่าย ได้ค่าออกมาเป็นตัวเลข สามารถปรับแต่ให้สวยหรูได้ดังใจ


กล้าที่จะเปลี่ยน ลำดับความสำคัญใหม่ไหม?
ทักษะกระบวนการแสวงหาความรู้
ทักษะการคิด
►ความรู้
หรือ อย่างนี้
เรียนรู้อย่างมีความสุข ►ดี ►เก่ง

ตอนนี้เรามี การศึกษาเท่านั้นที่เป็นเครื่องมือที่ดีที่สุดในการพัฒนามนุษย์
บทเรียนในอดีตชี้ให้เราเห็นว่าประเทศที่ให้ความสำคัญกับการให้การศึกษาแก่ประชากร ล้วนแต่ประสบผลสำเร็จในปัจจุบัน
      ประเทศที่มั่งคั่งไม่จำเป็นต้องมีทรัพยากรล้ำค่ามากมาย หรือมีดินแดนขนาดใหญ่ หรือมีประชากรหลายล้านคน แต่ที่สำคัญต้องมีระบบการศึกษาที่ดี มีประชาชนที่ฉลาด เป็นนักประกอบการ และ มีความเรียบร้อยภายในประเทศ
      ไต้หวันเมื่อ 50 ปีที่แล้วมีความยากจนเทียบเท่าเม็กซิโก โดยขณะนั้นเม็กซิโกสามารถสร้างผลิตได้ถึงสองเท่าของไต้หวัน ต่อมา ค.ศ.1974 ไต้หวันหันมาให้ความสำคัญกับวิทยาศาสตร์ ทำให้อุตสาหกรรมและการส่งออกขยายตัว และสามารถผลิตได้เป็นสองเท่าของเม็กซิโก และก่อนปี ค.ศ.2000 ไต้หวันกลายเป็นผู้นำในด้านการผลิตคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล(PC)และชิปของโลก
     รัสเซีย ไนจีเรีย อาร์เจนตินา เวเนซุเอลา หรือบราซิล มีทรัพยากรล้ำค่ามากมาย กลับมุ่งแสวงหาประโยชน์จากทรัพยากรเหล่านั้นโดยถือว่าประชาชนเป็นเครื่องมือในการแสวงหาประโยชน์จากทรัพยากรเหล่านั้น ผลสุดท้ายประเทศยากจนลง ประชาชนมีฐานะยากจนกว่าเมื่อ 20 ปีที่แล้ว ในทางตรงกันข้าม ไต้หวัน ลักเซมเบิร์ก สิงคโปร์ สวิตเซอร์แลนด์ เบลเยี่ยม เดนมาร์ก กลับมีความร่ำรวยขึ้นแม้จะเป็นประเทศเล็ก ทั้งนี้เพราะประชาชนมีความฉลาด (Smart people) และมีความเรียบร้อยภายใน

    ไม่มีใครรู้ว่าอีก 20 ปีข้างหน้าจะเกิดอะไรขึ้นกับมนุษย์ชาติ
แต่ที่แน่นอนคือเทคโนโลยีพัฒนาตัวเองสู่เทคโนโลยีนาโนคือมีขนาดจิ๋วแต่มีประสิทธิภาพสูงสุด วิทยาการขยายวงกว้างและลึกขึ้นถึงระดับโปรตีนศาสตร์ ข้อมูลสารสนเทศทั่วโลกจะถูกผลิตออกมาไม่น้อยกว่าวันละหนึ่งร้อยล้านคำต่อวันซึ่งมากมายมากพอที่จะให้คนหนึ่งคนใช้เวลาอ่านถึงยี่สิบห้าปี

ความหวัง ทั้งหมดของเรา
อยู่ที่ การศึกษา เท่านั้น

ภาคสอง
ความหวังและการงอกใหม่นอกกะลา

มนุษย์ที่สมบูรณ์เป็นความเพ้อฝันไปหรือเปล่า?

ปรัชญาสูงสุดของโรงเรียนลำปลายมาศพัฒนา
“การศึกษาเพื่อพัฒนาความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์”

การตีความในความหมายของประโยคนี้ย่อมแตกต่างกันของแต่ ละคน ตามประสบการณ์หรือกรอบความคิดที่แตกต่างกัน แต่ในความหมายสำหรับโรงเรียนลำปลายมาศ พัฒนานั้น หมายถึง การที่บุคคลบรรลุความฉลาดทั้งสี่ด้านนี้

PQ (Physical Quotient) ความฉลาดทางด้านร่างกาย
IQ (Intellectual Quotient) ความฉลาดทางด้านการคิด
EQ (Emotional Quotient) ความฉลาดทางด้านอารมณ์
SQ (Spiritual Quotient) ความฉลาดทางด้านจิตวิญญาณ

จิตศึกษา
จิตศึกษาเป็นวิชาที่มุ่งพัฒนาความฉลาดทางจิตวิญญาณ (Spiritual Quotient) เน้นการเชื่อมโยงศาสตร์ต่างๆ เพื่อเรียนรู้ที่จะอยู่กับธรรมชาติอย่างอ่อนน้อม อ่อนโยน เข้าใจความสัมพันธ์ของสิ่งต่างๆ อย่างเป็นองค์รวม เป็นหนึ่งเดียว อย่างมีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน การตระหนักรู้คุณค่าของสิ่งต่างๆ โดยปราศจากอคติ ไม่แบ่งแยก ไม่ตัดสินถูก-ผิด ขาง-ดำ มีความรักความเมตตาอันยิ่งใหญ่ มีจิตสำนึกต่อส่วนรวม และการเข้าถึงแก่นแท้ของชีวิต และ ความหมายของการมีชีวิตอยู่

โรงเรียนกับการเรียนรู้อย่างมีความสุข
ต้นธารของการเรียนรู้ เริ่มต้นจากความสงสัย ความจำเป็น หรือ บางสิ่งบางอย่างที่มีความหมายกับเรา ความสนใจ ความรู้สึกอยากเรียนรู้ ภาวะที่มีความสุข ผ่อนคลาย ปราศจากแรงกดดันด้านลบ เป็นองค์ประกอบสำคัญที่จะเพิ่มพูนศักยภาพในการเรียนรู้ของผู้เรียนได้อย่างดี

โรงเรียนที่ให้ผู้เรียนได้เรียนรู้อย่างมีความสุข คือโจทย์ข้อใหญ่
เราควรจะเริ่มต้นกันตรงไหนดี?

จิตวิทยาสำหรับมนุษย์
      พีอาร์ ซาการ์ นักจิตวิทยาและนักการศึกษาผู้ให้กำเนิดจิตวิทยาสำหรับการพัฒนามนุษย์ เขาเชื่อว่ามนุษย์มีความสำคัญ มีคุณค่าเหนือกว่าสิ่งอื่นใดทั้งสิ้น พื้นฐานจิตใจ ใฝ่รู้ มีความต้องการภายในที่จะพัฒนาตนเองอย่างไม่มีที่สิ้นสุด การศึกษามีหน้าที่ที่จะต้องพัฒนาศักยภาพแฝงเร้นที่มีอยู่ในตัวมนุษย์ให้แสดงออกมาให้สูงสุด การที่เรามีปัญหาเกิดความเฉื่อยชา เบื่อหน่าย ไม่อยากเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ และทำสิ่งที่ไม่ดีลงไป นั้นเนื่องมาจาก ข้อมูลจากสภาพแวดล้อมและการอบรมสั่งสอนที่ไม่ถูกต้อง และถูกบันทึกไว้ในจิตใต้สำนึก

จิตใต้สำนึก (Subconscious) คือขุมพลังแฝงเร้น เป็นส่วนที่ลี้ลับและแสนจะพิสดารในตัวเรา เป็นที่เก็บพลังพิเศษ เช่น พลังความคิดสร้างสรรค์ พลังการหยั่งรู้ พลังความทรงจำ แต่ที่ประหลาดเราไม่สามารถใช้มันออกมาตามใจเราได้ มันจะแสดงพลังของมันออกมาในขณะที่เราไม่รูตัว ขณะผ่อนคลายสุด ๆ หรือคับขันสุด ๆ หรือขณะดีใจหรือตกใจสุดขีด ขณะอยู่ในภวังค์ หรือขณะกึ่งหลับกึ่งตื่น จิตใต้สำนึกยังเป็นตัวกำหนดอุปนิสัย บุคลิกภาพ ทัศนคติ ความเชื่อ และค่านิยมของเรา

Food for thought: ผมชอบดูหนัง มากพอๆ กับอ่านหนังสือ แต่กลับไม่ชอบดูทีวี หนังเรื่อง Dr.Jekyll และ Mr.Hyde เป็นเรื่องราวของหมอที่พยายามทดลองใช้สารเคมีเพื่อให้มนุษย์หลุดพ้นจากด้านมืดหรือสัญชาตญาณดิบ แต่เมื่อทดลองใช้กับตัวเองเขากลับกลายเป็นคนสองบุคลิกภาพ ตอนกลางวันเป็นหมอรักษาคนป่วย ส่วนด้านมืดหรือสัญชาตญาณดิบจะถูกปลดปล่อยออกในตอนกลางคืนโดยที่เขาไม่สามารถควบคุมมันได้

จิตใจของมนุษย์ซับซ้อน เป็นทั้ง Dr.Jekyll และ Mr.Hyde

   นักจิตวิทยาแต่ละกลุ่มประมาณสัดส่วนของจิตใต้สำนึกและจิตรู้สำนึกไว้แตกต่างกัน อาจจะเป็น 99:1 หรือ 97:3 หรือ 91:9
   คงไม่มีคำตอบที่เป็นตัวเลขแน่นอนตายตัวแต่จากภาพภูเขาน้ำแข็งเราคงประมาณด้วยความรู้สึกได้ว่า จิตใต้สำนึกของเรา จะมีอิทธิพลต่อเรามากเพียงใด

การทำงานของจิตใต้สำนึก

คุณค่าความเป็นมนุษย์คือทางเลือก เมื่อเรามองเด็กคือมนุษย์ที่มีคุณค่าคนหนึ่งสิ่งที่เราควรทำคือ ลดสิ่งเหล่านี้ นี่คือภาพวาดหน้าคนของเด็กชั้นอนุบาล 1 คนหนึ่งวาดได้อย่างภาพทางซ้ายมือ