24 พ.ย. 2554

จิตสำนึก(Conscious Mind)และจิตใต้สำนึก(Subconscious Mind)

ทำไมบางคนมีเงินทองมากมาย แต่กลับหาความสุขไม่ได้
แล้วทำไมบางคนดูจะขาดแคลนเงินทองทรัพย์สมบัติ แต่เขากลับมีความพึงพอใจและหาความสุขได้ง่ายๆ จากสิ่งแวดล้อมรอบตัว
แล้วอะไรล่ะ..ที่เป็นตัวกำหนดความสุขของตัวเรากันแน่?
ในทางศาสนาบอกไว้ว่า จิตของมนุษย์นี่เองที่เป็นตัวกำหนดความสุขและความทุกข์ในชีวิต
บางคนมีมุมองความคิดเชิงบวก(Positive Thinking) คนเหล่านี้จะรู้วิธีสร้างความสุขให้กับตนเองได้ง่าย และรู้จักวิธีการควบคุมจิตของตนเองได้ คนที่มองโลกในแง่ดีร่างกายก็จะเกิดหลั่งสารเคมีที่ชื่อ 'เอนโดรฟิน' ซึ่งสารตัวนี้จะออกฤทธิ์คล้ายกับฝิ่น คือทำให้เรารู้สึกเบาสบายตัว ผ่อนคลาย อารมณ์ดี หรือถ้าร่างกายอยู่ในสถานการณ์ตื่นเต้น ต้องเอาตัวรอด เช่น เวลาเกิดไฟไหม้ ร่างกายก็จะเกิดการหลั่งสารอะดรินาลีน ซึ่งมีฤทธิ์คล้ายกับแอมเฟตามีนในยาบ้าทำให้บางคนสามารถแบกตุ่มน้ำหนักๆ ออกจากบ้านได้หรือสามารถกระโดดข้ามรั่วบ้านที่มีความสูงราวเกือบ 2 เมตรข้ามได้ ซึ่งเทียบเท่าความสูงของนักกีฬากระโดดข้ามรั่วของความสูงที่สถิติโอลิมปิก กำหนดไว้เลยทีเดียว(สารแห่งความสุขจะหลั่งออกมาก็ต่อเมื่อความคิดถูกกระตุ้น สมองส่วนหน้าหรือซีรีบรัมจะได้รับสัญญาณนั้นทัสมองส่วนหน้าหรือซีรีบรัมจะได้รับสัญญาณนั้นทันทีสมองส่วนหน้าหรือซีรีบรัมจะได้รับสัญญาณนั้นทันทีนที) 
แต่ถ้าหากเราเจอเรื่องทุกข์ เรื่องที่เศร้า เรื่องร้ายๆ ร่างกายก็จะได้รับสัญญาณความเครียดและจะหลั่งสารเคมีที่มีชื่อว่า 'คอร์ติซอล'นที่มีแต่ความเครียดคิกหมกหมุ่นอยู่แต่กับปัญหา ฮอร์โมน คอร์ติซอลถูกผลิตส่งออกมาจากต่อมหมวกไตในขณะที่ร่างกายของเราเกิดความตกใจ เกิดความเครียด เกิดความกังวล และอารมณ์ความคิดต่างๆ ที่เป็นด้านลบ(Negative Thinking)
การทำให้ฮอร์โมนแห่งความสุขหลั่ง ออกมา ผลที่จะตามมาก็คือหัวใจจะเต้นช้าลง หายใจช้าลง ความดันเลือดลดลงและภูมิต้านทานจะสูงขึ้น ศัพท์ทางการแพทย์เรียกคำสั่งที่จิตใจส่งออกมานี้ว่าสัญญาณชีวิต คนที่เรียนรู้และหมั่นฝึกฝนจิตใจให้สามารถคิดแต่เรื่องดีๆ แม้ในยามวิกฤตก็จะมองเห็นมุมมองใหม่ๆ แม้ในวันที่เจอเรื่องเลวร้าย ร่างกายก็จะได้รับสัญญาณของการอยู่รอดจนเกิดพลังกายกล้าแข้งและพลังใจที่จะเอาชนะอุปสรรคใดๆ ให้ผ่านพ้นไปได้เสมอ
จิตใจมีอิทธิพลเหนือกว่าร่างกายและโรคร้ายทั้งมวล
แลนซ์ อาร์มสตรอง(Lance Armstrong) นักปั่นจักรยานชาวอเมริกัน อดีตแชมป์โลก UCI Road World Cham pionships ที่ครั้งหนึ่งเขาเคยป่วยเป็นมะเร็งในต่อมลูกหมาก ต้องเข้าทำการบำบัดด้วยคีโม จนผมร่วงหมดหัว ร่างกายอ่อนแอจะเดินยังแทบไม่ไหวใครๆ ก็คิดว่าเขาคงต้องรอวันตายแน่ๆ และไอ้เสียร้ายบนหลังอานก็คงจะเป็นเพียงสมญานามในอดีตที่ไม่มีวันหวนคืนมา ได้อีก แต่แลนซ์มีจิตใจที่มุ่งมั่น เขาสั่งตัวเองทุกวันว่าต้องสู้ จนเขาสามารถลุกขึ้นมาปั่นจักรยานวันละนิดๆ หลังจากนั้นอีก 4 ปี เขาไม่เพียงเอาชนะมะเร็งที่หมอบอกว่าไม่มีทางรักษาได้แล้ว แต่เขายังได้พิสูจน์ให้โลกเห็นด้วยการคว้าแชมป์รายการตูร์ เดอ ฟรองซ์(Tour de France) ติดต่อกันถึง 7 สมัยซ้อน.
 อัลเบิร์ต ไอสไตน์(Albert Einstein) นักวิทยาศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่ ซึ่งเขาเป็นผู้ประดิษฐ์คิดค้นและเป็นเจ้าของทฤษฏีสำคัญๆ ที่โลกต้องจำก็คือ ทฤษฏีสัมพันธภาพ E = mcที่ คนรุ่นหลังยังเรียนรู้ได้ไม่จบจนถึงทุกวันนี้ เขาเคยกล่าวเอาไว้ว่า 'จินตนาการสำคัญกว่าความรู้(imagination is more important than knowledge)' ทำไมนักวิทยาศาสตร์ท่านนี้จึงยกย่องให้ความคิดเป็นพลังอำนาจสร้างสรรค์ที่ ยิ่งใหญ่ที่สุดในจักรวาล โดยไม่เคยให้สาระสำคัญกับการศึกษา เงินทอง สูตรเคมี ฟิสิกส์หรือโชควาสนา เลยแม้สักครั้งเดียวย

  แค่เปลี่ยนวิธีคิด ชีวิตก็เปลี่ยน : ความคิดนำพาสู่ความเชื่อ..
มนุษย์รับรู้เรื่องต่างๆ รอบตัว ผ่าน 2 ช่องทาง
ทางแรกระดับจิตสำนึก คือ การรับรู้ตัวอยู่ว่าได้รับรู้ ได้ฟัง ได้เห็น ได้ยิน และทางที่สองระดับจิตใต้สำนึก คือ การรับรู้ในขณะที่ไม่รู้สึกตัว
ทฤษฎีก้อนน้ำแข็ง ได้เขียนไว้ว่า..
จิตสำนึกและจิตใต้สำนึกของเรานั้น เปรียบเสมือนกับก้อนภูเขาน้ำแข็งก้อนหนึ่ง ที่ลอยอยู่ในน้ำ ส่วนที่ลอยอยู่เหนือน้ำให้เรามองเห็นได้นั้นคือส่วนของจิตสำนึก ซึ่งจะว่าไปแล้วก็เป็นเพียงส่วนน้อยของจิตเราเท่านั้น ในขณะที่จิตใต้สำนึกก็คือส่วนของภูเขาน้ำแข็งที่จมอยู่ใต้น้ำ ทำให้โดยทั่วไปเราไม่ได้นึกถึงจิตส่วนนี้เท่าใดนัก แต่เนื่องจากจิตส่วนนี้เป็นจิตใจส่วนที่มีปริมาณมากกว่า จึงเป็นจิตที่ทรงพลังมากกว่าจิตสำนึกของเรา ซึ่งบางครั้งที่โอกาสเอื้ออำนวย จิตใต้สำนึกก็จะออกมาสั่งการทำงานของร่างกายเราแทน โดยที่เราไม่อาจบังคับหรือระงับคำสั่งจากจิตใต้สำนึกได้
มนุษย์เรา ใช้จิตสำนึกเพียงไม่ถึง 10% เพื่อการดำเนินชีวิตประจำวัน แต่อีก 90% ของจิตใต้สำนึกเป็นแรงผลักดันให้เราทำกิจกรรมต่างๆ โดยที่ไม่รู้ตัว ก่อให้เกิดพฤติกรรมทั้งทางบวกและทางลบ ทำอะไรโดยอัตโนมัติไม่ต้องนึกคิดตัดสินใจไปตามสัญชาติญาณหรือฝังใจในอดีตที่ บางครั้งเจ้าตัวเองก็ลืมไปแล้วเสียด้วยซ้ำ เป็นจิตใจที่อยู่เหนือเหตุผล
มีคนเปรียบเทียบลักษณะการทำงานของจิตสำนึกและจิตใต้สำนึกไว้ว่า เหมือนกับคนขี่ม้า(จิตสำนึก)กับม้าที่ถูกขี่(จิตใต้สำนึก) เพราะม้านั้นมีกำลังมหาศาล เหนือกว่าคนขี่หลายเท่าตัว โดยม้านั้นจะมีหน้าที่วิ่งไปข้างหน้าเท่านั้นไม่รู้จุดหมายอยู่ที่ไหน และกำลังจะวิ่งไปทางใด คนขี่ม้าเท่านั้นจะต้องชักนำควบคุมให้ม้าไปในทิศทางที่เหมาะสม(ถ้าคนไหนมีกำลังของจิตสำนึกที่ไม่กล้าแข้งพอ ก็จะสามารถชักนำจิตใต้สำนึกไปในทางที่ดีได้)
สมองของคนเรานั้น แบ่งออกเป็น 3 ชั้น ได้แก่ ชั้นใน ชั้นกลาง และชั้นนอก
สมองชั้นในทำหน้าที่เกี่ยวกับการหายใจและความอยู่รอด ส่วนสมองชั้นกลางจะทำหน้าที่ดูแลเกี่ยวกับเรื่องของอารมณ์ และสมองส่วนหน้าหรือสมองส่วนนอกจะเป็นส่วนที่ทำให้เกิดการเรียนรู้
สอง มองของมนุษย์เราแบ่งในแง่การทำงาน โดยการแบ่งสมองออกเป็นสองซีก คือ สมองซีกซ้ายกับสมองซีกขวา การทำงานของสมองทั้ง 2 ซีก สมองซีกซ้ายทำหน้าที่ควบคุมร่างกายซีกขวาและชำนาญการในการคิดเรื่องที่เป็น เหตุผลเรื่องการวิเคราะห์ การประมวลภาษา ความเป็นระเบียบเป็นขั้นเป็นตอน คิดเกี่ยวโยงกับเรื่องของตรรกะที่ว่าด้วยองค์ความรู้หรือเหตุผล ส่วนสมองซีกขวาทำหน้าที่ควบคุมร่างกายซีกซ้ายชำนาญการในเรื่องความคิดสร้างสรรค์ เรื่องภาพรวม ความไม่แน่นอนไม่มีระเบียบแบบแผน เรื่องของอารมณ์ความสุขความทุกข์ใจ การชื่นชมความงามธรรมชาติ เรื่องของสัญชาตญาณ เป็นสมองศิลปะ อารมณ์และแรงกระตุ้น คนที่มีความถนัดสมองซีกใดก็จะถูกแสดงออกมาในความสามารถหรือทักษะด้านนั้นๆ เด่นกว่าอีกด้านอย่างเห็นได้ชัดเจน

มีผลงานวิจัยพบว่าต่อให้คนเรามีอำนาจในการซื้อพุ่งขึ้นมาอยู่ที่ประมาณ 400,000 บาทต่อปี การซื้อวัตถุข้าวของมาปรนเปรอความต้องการของตนเอง ก็จะก่อให้เกิดความสุขได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น

การใช้ชีวิตอยู่กับปัจจุบันจะเป็นความคิดที่สามารถเพิ่มพลังให้กับชีวิตได้เป็นอย่างดี ถ้าคนคนนั้นครองสติไม่ให้ตกอยู่ใต้ภาวะอารมณ์ที่ผันผวน ไม่ขยายขอบเขตของความทุกข์ ปล่อยให้ไปตามอารมณ์ที่ฟุ้งซ่าน ด้วยการยอมรับที่รู้เท่านทันและปล่อยให้ปัญหาคลี่คลาย จากหนักเป็นเบา ความกังวลจะค่อยๆ ลดความเข้มข้นลงตามเวลาที่ผ่านไปอย่างช้าๆ
ท่านติช นัท ฮันห์ พระเซนชาวเวียดนาม ที่ได้รับการยอมรับเป็นผู้นำด้านจิตวิญญาณ 1 ใน 2 ของโลก ครั้งหนึ่งท่านเคยตอบคำถามยากๆ ของนักข่าวที่ถามว่า "ทำอย่างไรมนุษย์ถึงจะมีชีวิตอยู่อย่างมีความสุข" ท่าน ก็ไม่ได้พูดถึงปรัชญาชีวิตอะไรที่ยุ่งยากซับซ้อนเลยสักนิด เพราะคำตอบของท่านดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่ใครก็มีความสุขได้ง่ายๆ แค่เพียง "ใช้ชีวิตอยู่กับปัจจุบัน ไม่ต้องโหยหาอดีตที่ผ่านไปแล้ว ไม่ต้องไขว่คว้าหาอนาคตที่ยังมาไม่ถึง"
ความสุขของคนส่วนใหญ่ไม่ได้อยู่ที่มีการศึกษาดีๆ มีฐานะ ไอคิวสูง แต่กลับขึ้นอยู่กลับ 'ความพึงพอใจ' ในชีวิตของตนเองในแต่ละคนต่างหาก

12 พ.ย. 2554

จาก 'ครอบครัว' สู่ 'โรงเรียน'

-0-
พอ.นพ.พงษ์ศักดิ์ ตั้งคณา วิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิและมีชื่อเสียง คุณหมอได้เล่าเปรียบเทียบเกี่ยวกับ 2 ครอบครัวที่มีมุมคิดต่างกัน ไว้อย่างน่าฟังว่า
ครอบครัวที่ 1 ; พ่อ แม่ นั่งอยู่ที่โต๊ะอาหารรอลูกมากินข้าวพร้อมกัน ลูกกลับจากโรงเรียนมาถึงบ้านส่งซองจากโรงเรียนให้แม่ 'เป็นประกาศผลสอบของโรงเรียน'
พออ่านผลสอบปรากฎว่าสอบได้ที่ 2 ทุกคนในบ้านเครียดหมดเลยครับ "ไอ้ ลูกไม่รักดี พ่อ แม่ อุส่าห์เอาใจทุกอย่างซื้อหนังสือให้ พาไปเรียนพิเศษ พาไปกวดวิชาที่ดังๆ ทำไมยังโง่ยังงี้ แค่สอบให้ได้ที่ 1 แค่นี้ทำไมทำไม่ได้" นั่งด่าลูก!! ข้าวปลาไม่ต้องกิน บรรยากาศในโต๊ะอาหารเครียดมาก..
ครอบครัวที่ 2 ; ข้างบ้านเป็นชั่วคราวของคนงานก่อสร้าง พอเปิดซองผลการสอบของลูก เฮกันลั่นบ้านเลยครับ ปรบมือดีใจหัวเราะกันสนั่นหวั่นไหว..
ครอบครัวที่ 1 สงสัยเดินเข้าไปถาม
"ลูกคุณสอบได้ที่ 1 หรือครับ ถึงได้ดีใจกันขนาดนี้?"
"เปล่าหรอกครับ"
"อ้าว! แล้วได้ที่เท่าไรล่ะ?"
"ได้ที่ 29 ครับ"
"สอบได้ที่ 29 ทำไมถึงต้องดีใจกันขนาดนี้ล่ะ!!"
"อ๋อ..ปกติมันสอบได้ที่ 30 ครับ.."
ความแตกต่างทางด้านความคิด นี่คือคนที่คิดเป็นกับคนที่คิดไม่เป็น
คนหนึ่งทั้งชั้นเขาแพ้แค่คนเดียว เครียดแทบตาย! ส่วนอีกคนทั้งชั้นเขาชนะแค่คนเดียว ดีใจกันทั้งบ้าน
ตอนท้ายเรื่องนี้ นพ.พงษ์ศักดิ์ ท่านยังได้เปรียบเปรยครอบครัวทั้ง 2 ว่า
ครอบครัวที่ 1 'คิดในแง่ลบ'
คิดเรื่องแพ้ แพ้คนเดียว แต่ชนะ 28 คน เครียด
ครอบครัวที่ 2 'คิดในแง่บวก'
คิดเรื่องชนะ ชนะแค่คนเดียว แต่แพ้ 28 คน มีความสุข

-1-
พ่อแม่ที่ชอบดุด่าประจานเด็กอยู่เป็นประจำ จะทำให้เด็กมองคุณค่าในตัวเองต่ำ เกลียดชังตัวเอง และรักใครไม่เป็น มองไม่เห็นคุณค่าของการมีชีวิตอยู่ ไม่อยากทำอะไรกับชีวิต และจะมีคำจำกัดความของชีวิตว่าเป็น ‘ผู้แพ้’
ในทางกลับกัน ถ้าพ่อแม่พูดจาชื่นชมยกย่องและให้กำลังใจเด็ก เด็กจะเติบโตด้วยความรู้สึกมั่นใจในตนเอง เชื่อมั่น มองโลกแง่ดี กล้าคิด กล้าพูด และมองคุณค่าในตัวเองสูง ข้อสำคัญคือ เขาจะรักตัวเองเพราะคำจำกัดความของชีวิตของเขาคือ ‘ผู้ชนะ’
จะเห็นได้ว่า การเลี้ยงดูของพ่อแม่ จะเป็นเหตุสำคัญที่จะทำให้เด็กเล็กๆ ที่ไร้เดียงสาเติบโตเป็นผู้ใหญ่ลักษณะใดก็ได้

-2-
ดร.เออ์วิน ไฮมาน ผู้เขียนหนังสือ 'Reading, Writing, and the Hickory Stick' กล่าวไว้ว่า วิธีการลงโทษทุกแบบทำให้เกิดผลกระทบร้ายแรงในระยะยาวต่อเด็ก งานวิจัยของเขาแสดงให้เห็นว่า แม้แต่ประสบการณ์ความเกรี้ยวกราดเพียงครั้งเดียว สามารถทำให้เกิดอาการเครียดหลายอย่าง เด็กจะหมดความสนใจในงานที่โรงเรียน เลิกทำการบ้าน และเริ่มประพฤติตัสก้าวร้าว จนเขาอาจมีความรู้สึกกังวลใจหรือหดหู่หรือหมดความเชื่อใจผู้ใหญ่

-3-
นพ.สุกมล วิภาวีพลกุล จิตแพทย์ เคยพูดเรื่องเกี่ยวกับครับครอบครัวหนึ่งไว้ว่า..
คุณ แม่นั่งรอลูกสาววัยรุ่นซึ่งไปงานเลี้ยงวันเกิดของเพื่อน ด้วยความหงุดหงิด กระวนกระวายใจ เป็นห่วงว่าลูกจะเป็นอันตรายจนกินไม่ได้นอนไม่หลับ เดินวนเวียนมองดูประตูบ้านตลอดเวลา
พอเที่ยงคืนลูกเปิดประตูบ้านเข้ามา คุณแม่พอเจอหน้าลูกสาวที่กลับมาจากเที่ยวก็พูดด้วยอารมณ์ที่ฉุนเฉียวใส่ ทันทีว่า “นี่เอ็งรู้ไหม? ทำไมเพิ่งกลับเอามาป่านนี้! แล้วใครมาส่ง? นี่เพิ่งจะเที่ยงคืนเองรีบกลับมาทำไม? ทำไมไม่กลับมาตอนเช้าเลยล่ะ! ตกลงเอ็งจะเรียนหรือจะมีสามีกันแน่?”
คุณแม่รอลูกด้วยความรักและความห่วงใย ลูกไม่กลับบ้าน แม่เหมือนใจจะขาด
แต่คำพูดที่แม่พูดออกไป ไม่สามารถสื่อสารให้ลูกสาวรับรู้ได้เลยว่า ‘คุณแม่รักและห่วงใยลูกสาว?’
ซึ่งคำพูดที่แม่สื่อออกไปนั้น กลับทำให้ลูกสาวเข้าใจผิดตรงกันข้าม
ด้วย ความโมโห! ลูกสาวจึงตอบสวนไปว่า “เรียนไปมีสามีไป มีอะไรรึเปล่า! สนุกดีออก” พูดเสร็จก็ปิดประตูใส่หน้าแม่ดังปัง ทั้งสองคนแม่ลูกแทบไม่เหลือความสุขอยู่เลย ไม่ต้องนอนกันทั้งคู่ มีปัญหากันทั้งคืน เพราะทั้งสองไม่ได้สื่อสารให้อีกฝ่ายหนึ่งทราบว่า ‘เรารัก เราปรารถนา และห่วงใย’
ลองเปลี่ยนวิธีการพูกสื่อสารกับลูกดูใหม่ครับ
สื่อสาร ให้ตรงกับที่ใจเราคิด ให้ตรงกับความรู้สึกที่มีต่อเขา ดูว่าผลจะแตกต่างกันอย่างไร? พอลูกสาวกลับมาถึงบ้าน ถ้าคุณแม่วิ่งเข้าไปกอด แล้วพูดว่า “กลับมาแล้วหรือลูก แม่ห่วงแทบแย่ หนาวไหม? รีบขึ้นไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วลงมาทานข้าวนะลูก แม่ทำอาหารโปรดไว้ให้ทาน เร็วๆ นะลูกนะ แม่รอ คราวหน้าถ้าลูกจะกลับดึกก็โทรบอกแม่ด้วยนะ แม่จะได้ไม่ห่วงและนอนหลับ”
พอคนฟังจะรู้สึกดีและรับรู้ถึงความรัก ความห่วงใยลูก
ลูกก็จะตอบว่า “กราบขอโทษคุณแม่ค่ะ ที่หนูทำให้แม่ไม่สบายใจ ต่อไปหนูจะไม่กลับดึกอีกแล้ว หนูรักแม่”
แล้วหอมแก้มกันฟอดใหญ่ ก่อนจะวิ่งไปอาบน้ำ

-4-
ถ้าพ่อแม่สอนเขาอย่างหนึ่ง แต่ทำตัวอีกอย่างหนึ่ง เด็กจะสับสน ไม่รู้ว่าอะไรควรทำไม่ควรทำ และเมื่อเขาทำเลียนแบบบ้าง เช่น ถ้าเห็นพ่อแม่กินเหล้า สูบบุรี่ และหากเขาทดลองดูบ้างกลับจะได้รับการลงโทษที่รุนแรง เด็กจะไม่เข้าใจและงงในความไม่อยู่กับร่องกับรอยของการกระทำของพ่อแม่ คุณค่าในตัวเองของเขาก็จะได้รับผลกระทบ เพราะไม่รู้ว่าทำอะไรลงไปแล้วผลจะเป็นอย่างไร ความไม่แน่นอนทำให้ความรู้สึกที่มีต่อตัวเอง และคุณค่าของเขาออกมาเป็นติดลบด้วย

-5-
เป็นธรรมดาที่พ่อแม่ทุกคนอยากตั้งความหวังไว้กับลูก แต่ถ้าความคาดหวังนั้นไม่อยู่บนพื้นฐานที่เป็นจริง เด็กก็ทำไม่ได้ เมื่อเด็กทำไม่ได้ เด็กก็จะเป็นทุกข์ และเนื่องจากเด็กอยากให้พ่อแม่รักตน เด็กก็จะพยายามทำทุกอย่างที่จะเป็นไปตามความต้องการของพ่อแม่ เพื่อให้ตัวเองได้เป็นที่รักของพ่อแม่ แต่เมื่อพบว่าตนเองทำไม่ได้ ก็รู้สึกไม่ได้รับความรัก และหมดคุณค่าในตนเองลงไป
ครอบครัวของเพื่อนรักของผมคนหนึ่งเป็นครอบครัวที่มีพ่อแม่รับราชการระดับสูง ซึ่งพ่อกับแม่ตั้งความคาดหวังกับลูกคนโต(พี่ชายของเพื่อผม)ไว้อย่างเลิศลอย และเด็กชายก็พยายามจะทำทุกอย่างให้พ่อแม่ไม่ให้ผิดหวังในตัวเขา แต่ปรากฏว่า ในครั้งหนึ่งเพียงแค่เขาสอบได้เกรดเฉลี่ยอับดับที่ 2 ในระดับชั้น เด็กชายผู้ไม่เคยทำความผิดหวังให้ใครก็รับกับสภาพพ่ายแพ้นี้ไม่ได้(เขาแพ้ เพียง 1 คน แต่เขาชนะเพื่อนๆในระดับชั้นทั้ง 9 ห้อง อีกตั้ง 1,300 กว่าคน) และเมื่อเด็กชายกลับบ้านในวันทราบเกรดเฉลี่ยวันนั้น เขาก็ตัดสินใจเก็บตัวเงียบในห้องเรื่อยๆ มา
การตั้งความหวังสูงเลิศลอยให้แก่ลูก จึงเป็นสิ่งที่พ่อแม่ทุกคนต้องระวังให้มาก เพราะถ้ามันไม่อยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริงแล้ว คนที่ทุกข์ที่สุดก็คือตัวพ่อแม่นั่นเอง

8 พ.ย. 2554

1 ในเรื่องเล่าของกิจกรรมจิตศึกษา..เรื่องของเท็ดดี้.

   วันที่ 16 ตุลาคม  2554 คณะครูจากโรงเรียนเทศบาลบ้านหนองใหญ่ จ.ขอนแก่น ได้เข้ามาอบรมที่โรงเรียนลำปลายมาศพัฒนา วันนั้นเป็นวันสุดท้ายของการอบรม ก่อนที่ทางคณะครูจะเดินทางกลับ
ครูใหญ่วิเชียร ไชยบัง ได้สรุปภาพรวมของกิจกรรมทั้ง 2 วัน จากนั้นครูใหญ่ได้อ่านเรื่องราวของเท็ดดี้ให้คุณครูทั้งหมดที่อยู่ห้องประชุมในวันนั้น(ครูนอกกะลา+ครูจากขอนแก่น)รวมแล้วก็ประมาณ 100 กว่าคนเห็นจะได้ครับ


เรื่องของเท็ดดี้
ในวันแรกของการเรียน คุณครูทอมป์สันโกหกนักเรียนชั้น ป.5 ของครูทั้งชั้นซะแล้ว คุณครูบอกกับนักเรียนว่า ครูรักเด็กๆ เท่ากันหมดเลย แต่ในความเป็นจริง มันกลับไม่ได้เป็นเช่นนั้น เพราะว่ามีเด็กตัวเล็กๆ ท่าทางขี้เกียจคนหนึ่ง ชื่อ 'เท็ดดี้ สต๊อดดารด์' ซึ่งครูทอมป์สันได้จับตาดูเท็ดดี้มาปีหนึ่ง และ สังเกตว่าเขาท่าทางขี้เกียจไม่ร่าเริงไม่เล่าหัวเราะกับใคร เสื้อผ้าของเขาสกปรกและตัวเหม็นหึ่งอยู่ตลอดเวลา แถมบางทีเท็ดดี้ก็เกเรเสียด้วย ถึงขั้นที่ว่าครูทอมป์สันสนุกกับการตรวจงานของเท็ดดี้ ด้วยหมึกสีแดง กากบาทไปหนาๆ และใส่ตัว 'F' ตัวใหญ่ๆ ลงไปบนหัวกระดาษ เธอรู้สึกสะใจที่ได้ทำเช่นนั้นด้วยซ้ำไป
  ในโรงเรียนที่คุณครูทอมป์สันสอนนั้น คุณครูมีหน้าที่ที่จะต้องทบทวนประวัติของเด็กแต่ละคนจากระเบียนสะสมประจำตัวและครูก็ผัดผ่อนไม่ยอมตรวจประวัติของเท็ดดี้ เธอเก็บแฟ้มของเท็ดดี้ไว้ท้ายสุด แต่เมื่อคุณครูเปิดแฟ้มอ่าน ครูทอมป์สันก็แปลกใจมาก เมื่อพบว่า ครูชั้น ป.1 ของเท็ดดี้เขียนว่า 'น้องเท็ดดี้เป็นเด็กที่ฉลาดและร่าเริง ทำงานเรียบร้อย มารยาทดี เป็นเด็กที่น่ารักมากทีเดียว' คุณครูที่สอนเท็ดดี้ตอน ป.2 เขียนว่า 'เท็ดดี้เป็นเด็กที่เรียนเก่งมาก เพื่อนๆ ชอบกันทุกคน แต่กำลังมีปัญหา เพราะแม่ของเท็ดกำลังป่วยหนักและชีวิตทางบ้านต้องลำบากมาก แน่ๆ ถ้าไม่ได้รับการการเยียวยาทางจิตใจให้ถูกต้อง' คุณครูที่สอนเท็ดดี้ตอน ป.3 เขียนว่า 'เขาเสียใจมากที่เสียแม่ไป เขาพยายามเต็มที่แล้ว แต่คุณพ่อก็ไม่ค่อยให้ความรัก ความสนใจเขาเท่าไหร่นักและชีวิตที่บ้านเขาต้องส่งผลกระทบต่อเขาแน่ๆ ถ้าไม่มีคนยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ'
   คุณครูที่สอนเท็ดดี้ตอน ป.4 เขียนว่า 'เท็ดดี้ไม่ยอมเข้าสังคมและไม่ค่อยสนใจการเรียนเท่าที่ควร ไม่ค่อยมีเพื่อนและชอบหลับในห้องเรียนเป็นประจำ'
  ตอนนี้คุณครูทอมป์สันรู้ถึงปัญหาแล้วและละอายใจตัวเองมากที่ตัดสินเกี่ยวกับเท็ดดี้ไปผิดๆ ก่อนหน้านี้ และครูรู้สึกแย่ยิ่งกว่าเดิมอีก ในวันคริสต์มาส เมื่อนักเรียนในห้องซื้อของขวัญมาให้ แต่ละคนห่อด้วยกระดาษสีสดๆ พร้อมผูกโบว์อย่างดี ยกเว้นแต่ของเท็ดดี้ ของขวัญของเท็ดดี้ถูกห่ออย่างหยาบๆ ในกระดาษลูกฟูกหนาๆ ที่ได้มาจากถุงใส่กับข้าว ครูทอมป์สันกัดฟันเปิดกล่องของเท็ดดี้กลางกองของขวัญอื่นๆ เด็กบางคนเริ่มหัวเราะเมื่อเห็นว่าเท็ดดี้ ให้กำไลลูกปัดที่ไม่ครบเส้นและขวดน้ำหอมที่เหลือน้ำอยู่เพียงก้นขวดแก่เธอ แต่ครูก็หยุดเสียงหัวเราะของเด็กๆ เมื่อครูเอ่ยขึ้นว่า 'กำไลเส้นนั้นสวยเหลือเกิน' ครูนำมันมาสวมใส่ไว้ที่ข้อมือทันที พร้อมกับฉีดน้ำหอมไปบนข้อมือด้วย
  เย็นวันนั้น เท็ดดี้ สต๊อดดารด์ อยู่รอจนเย็นหลังเลิกเรียน เพื่อที่จะพูดกับคุณครูว่า 'ครูทอมป์สันครับ วันนี้ครูตัวหอมเหมือนที่แม่ผมเคยหอมเลยครับ'
หลังจากที่นักเรียนทุกคนกลับบ้าน ครูทอมป์สันก็ร้องไห้เป็นชั่วโมงๆ ในวันนั้นเอง ที่คุณครูเลิกสอนหนังสือ เลิกสอนการเขียนและเลิกสอนเลขคณิต แต่คุณครูเริ่มหันมาสอนเด็กๆ แทน
นับแต่วันนั้นเป็นต้นมา คุณครูทอมป์สันก็เอาใจใส่เท็ดดี้เป็นพิเศษ เมื่อครูพยายามช่วยเขา จิตใจของเขาก็กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง ยิ่งครูให้กำลังใจเท็ดดี้เท่าไหร่ เขาก็ยิ่งตอบรับเร็วขึ้นเท่านั้น ภายในสิ้นปีนั้น เท็ดดี้ได้กลายเป็นเด็กที่ฉลาดที่สุดในห้อง! และแม้ว่าคุณครูจะบอกว่าครูรักเด็กทุกคนเท่ากัน แต่เท็ดดี้ก็ได้กลายไปเป็น 'ศิษย์โปรด' ของครูไป
  หนึ่งปีต่อมา คุณครูพบจดหมายอยู่ใต้ประตู จดหมายนั้นมาจากเท็ดดี้บอกครูว่า คุณครูยังเป็นครูที่ดีที่สุดที่เขาเคยมี หกปีต่อมาครูก็ได้จดหมายจากเท็ดดี้อีก บอกว่าเขาเรียนจบมัธยมปลายแล้ว สอบได้ที่สามในชั้นและคุณครูยังคงเป็นครูที่ดีที่สุดที่เขาเคยเจอมาในชีวิต
สี่ปีหลังจากนั้น คุณครูก็ได้จดหมายอีกบอกว่าแม้ว่าชีวิตเขาจะลำบาก เขาก็ไม่ได้เลิกเรียนหนังสือและจะจบปริญญาตรีในเร็วๆ นี้ ด้วยเกียรตินิยมอันดับหนึ่งและยังย้ำกับครูทอมป์สันว่า คุณครูยังคงเป็นครูที่ดีที่สุดและเป็นครูคนโปรดในชีวิตเขา
จากนั้นสี่ปีผ่านไป จดหมายอีกฉบับหนึ่งก็ถูกส่งมา ครั้งนี้เขาอธิบายว่าหลังจากที่เขาได้รับปริญญาตรีแล้ว เขาตัดสินใจที่จะเรียนต่ออีกนิด จดหมายนั้นอธิบายว่าคุณครูยังเป็นครูคนที่ดีที่สุดที่เขาเคยมี แต่ตอนนี้ชื่อของเขายาวขึ้นอีกหน่อยแล้ว จดหมายนั้นลงชื่อว่า 'นพ. ทีโอดอร์ เอฟ สต๊อดดารด์'
   เรื่องยังไม่จบแค่นี้นะ..
ฤดูใบไม้ผลินั้น ก็ยังมีจดหมายมาอีก เท็ดดี้บอกว่า เขาได้เจอผู้หญิงที่ดีคนหนึ่ง แล้วก็กำลังจะแต่งงานกัน เขาเล่าว่าพ่อของเขาได้เสียชีวิตไปแล้วเมื่อ 2-3 ปีก่อน และไม่แน่ใจว่าคุณครูทอมป์สันจะตกลงมานั่งในที่นั่งสำหรับพ่อแม่เจ้าบ่าวในงานแต่งงานได้หรือไม่?
แน่นอนที่สุดครูทอมป์สันตอบตกลงมาร่วมงานแต่งงาน และทายซิว่าเกิดอะไรขึ้น! ในวันนั้น
คุณครูใส่กำไลข้อมือเส้นนั้นมาร่วมในงานแต่งงานของเท็ดดี้ กำไลเส้นที่มีลูกปัดหายไปหลายลูกและ ฉีดน้ำหอมขวดที่เท็ดดี้ให้ เมื่อพบกันครั้งนี้ ทั้งครูกับศิษย์ก็โผเข้ากอดกันกลมเลยและคุณหมอเท็ดก็กระซิบข้างหูของคุณครูทอมป์สันว่า
  'ขอบคุณมากนะครับ ที่คุณครูเชื่อในตัวผม ขอบคุณมากที่ทำให้ผมรู้สึกเป็นคนสำคัญ และแสดงให้ผมเห็นว่า ผมสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิตให้ดีงามได้จริงๆ'
  ครูทอมป์สันกระซิบตอบพร้อมน้ำตานองหน้าว่า 'หมอเท็ด เธอเข้าใจผิดแล้ว เธอต่างหากที่สอนครูว่า ครูสามารถเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆ ได้ ครูไม่เคยรู้จักการสอนที่แท้จริง จนกระทั่งครูได้พบได้รู้จักเธอนั่นแหละ'
(จากหนังสือ Chicken Soup for the soul)

  นี่ก็เป็นอีกหนึ่งในกิจกรรมจิตศึกษาที่ครูสามารถอ่านถ่ายทอดเรื่องราวให้ผู้เข้าร่วมกิจกรรมรับฟังได้ พร้อมกับให้ผู้เข้าร่วมกิจกรรมรู้สึกมีอารมณ์ร่วมหลังจากได้ฟังจบลง
ในขั้นนำก่อนสอนคณิตศาสตร์ผมนำเรื่องของเท็ดดี้ ไปเล่าให้เด็ก ป.5 ฟัง เด็กทุกคนรู้สึกมีอารมณ์ร่วมมาก ค่อยติดตามเรื่องราวของเท็ดดี้ทีละฉากๆ เพราะตอนนั้นเป็นช่วงอายุเดียวกันพอดี การที่เด็กคนหนึ่งเกิดความงอกงามในตัวเองได้เพียงนี้ เช่นดังคุณหมดเท็ดดี้นี้ นี่ก็ยังเป็น 'ปาฏิหาริย์การเปลี่ยนแปลง' อีกด้วยครับ
การที่เห็นผู้ฟัง มีความรู้สึกร่วม ผู้ดำเนินกิจกรรมก็จะมีความเชื่อมั่น และกิจกรรมนั้นก็จะดำเนินไปอย่างลื่นไหล แถมยังมีประโยชน์ทั้งสองฝ่ายเช่นกัน.

4 พ.ย. 2554

ทุกๆ วิกฤติการณ์นั้น ย่อมจะมีโอกาสซ่อนอยู่เสมอ

  โกไลแอทเป็นยักษ์ที่เข้ามาทำร้ายและคุกคามเด็กๆ ในหมู่บ้าน คนทั้งหมูบ้านล้วนกลัวยักษ์ตนนี้ทั้งสิ้น นอกจากเด็กวัยรุ่นอายุ 17 ปี ชื่อว่า 'เดวิด' ซึ่งเป็นเด็กเลี้ยงแกะที่แวะมาเยี่ยมญาติและเมื่อเดวิดรู้เรื่องยักษ์ เขาก็บอกกับชาวบ้านว่า"ทำไมพวกเราไม่ลุกขึ้นมาสู้กับยักษ์ตนี้ล่ะ"
ชาวบ้านตอบด้วยความหวาดกลัวว่า"ใครจะไปสู้ได้ ตัวมันใหญ๋จะตาย มันใหญ่เกินกว่าที่จะสู้กับมันได้"
เมื่อฟังดังนั้น เดวิดก็บอกกับทุกคนว่า "มันตัวใหญ่สิดี! เพราะมันใหญ่เราจึงไม่พลาดยังไงล่ะ"
 ว่าแล้วเดวิดก็ไปสู้กับยักษ์ โดยใช้หนังสติ๊กง้างและยิงเขาไปที่ตายักษ์ ทำให้เจ้ายักษ์ตนนี้ล้มลงและเดวิดก็สามารถฆ่ายักษ์ได้.

  ผมเคยเล่าเรื่องนี้ให้เด็กๆ นักเรียน ชั้น ป.2 และชั้น ป.3 ฟังก่อนสอนวิชาคณิตศาสตร์ เด็กๆ หลายคนบอกว่าประทับเรื่องนี้มาก และตัวละครอย่างเจ้าเด็กหนุ่มเดวิดผู้นี้ เขาก็เป็นเพียงเด็กเลี้ยงแกะธรรมดาคนหนึ่ง แต่เขากลับมีความคิดเชื่อ ความคิดและเห็นต่างมุมมองที่แตกต่างจากหลายๆ คนที่เห็นยักษ์ตนนี้
หลายคนเห็นยักษ์ตัวใหญ่โตน่ากลัว เราสู้ยักษ์ตนนี้ไม่ได้หรอก! อย่างเพียงริที่จะคิดสู้กับมันเสียเลย เสียเวลาเปล่าๆ แต่เด็กหนุ่มเดวิดบอกว่า ตัวใหญ่สิดี เราจะได้เปรียบเป้ามันใหญ่ชัดเจนดี เราจะไม่พลาด
  ฮีโร่(Hero) : หลายคนปรารถนาจะเป็นฮีโร่ แต่คนส่วนใหญ่ได้เพียงแต่จะคิดและเพียงจินตนาการไปเองทุกครั้ง มากกว่าที่จะกล้าลงมือทำเลย โดยไม่ต้องรีรอแต่ 'โอกาส'
  มีเรื่องเกี่ยวกับโอกาสที่ผมเคยเขียนลงในบันทึกเก็บเรื่องราวเอาไว้ว่า ที่เมืองหนึ่งของประเทศกรีก เคยมีรูปปั้นแกะสลักตั้งอยู่ใจกลางเมือง ปัจจุบันรูปปั้นนี้ไม่เหลือแม้แต่ซาก แต่แผ่นจารึกที่บรรยายเกี่ยวกับรูปปั้นยังคงเหลืออยู่ คำบรรยายเขียนไว้ในรูปแบบการสนทนาระหว่างรูปปั้นกับคนที่เดินผ่านไปมา..
"รูปปั้นเอ๋ย ท่านชื่ออะไร"
"ฉันชื่อ..โอกาส"

"ใครเป็นคนสร้างท่านขึ้นมา"
"ช่างแกะสลักชื่อ ลีซีปัส"

"เหตุใดท่านจึงยืนเขย่งเท้า?"
"เพื่อบ่งบอกว่าฉันอยู่เพียงชั่วครู่ชั่วยาม"

"แล้วทำไมที่เท้าของท่านจึงมีปีก"
"เพื่อแสดงให้เห็นว่าฉันจะผ่านไปอย่างรวดเร็ว"

"แต่ทำไมผมด้านหน้าของท่านจึงยาวอย่างนี้"
"ก็เพื่อให้คนที่พบฉัน จะได้จับฉวยไว้ได้ง่าย"

"แล้วทำไมหัวด้านหลังของท่านจึงล้าน ไม่มีผมแม้แต่เส้นเดียว"
"ก็เพื่อแสดงให้เห็นว่า เมื่อฉันผ่านไปแล้ว ก็ยากที่จะจับฉันได้ใหม่"

จริงด้วยทางด้านหน้าของ "โอกาส" มีผมยาวแต่ด้านหลังล้านเกลี้ยง เพราะเมื่อปล่อยให้ "โอกาส" ผ่านไปแล้วก็ยากที่จะจับยึดมันกลับมาได้อีก..

"โอกาส" จึงเร้าเตือนเราทุกคนว่า.. "อย่ามาต่อว่าฉัน ว่าฉันไม่เคยมาเยี่ยมกราย เพราะบ่อยครั้งเหลือเกินที่ฉันมาเคาะประตู แต่เธอกลับไม่อยู่บ้านทุกวัน ฉันยืนรออยู่ที่หน้าบ้านเธอ เรียกให้เธอตื่น ให้ขยันขันแข็ง ให้รีบตัดสินใจ ให้ลงมือทำ ให้ออกแรง ให้สู้ เพื่อจะได้มาซึ่งชัยชนะและความสำเร็จ จงอย่าปล่อยให้ฉันผ่านไป เธอจะได้ไม่ต้องมานั่งเสียใจในภายหลังที่ฉัน "โอกาส" ผ่านมา แต่เธอไม่รู้จักจับฉวย"

โอกาสถ้าหากเราจับฉวยได้ทัน ก็สามารถเปลี่ยนเป็นความสำเร็จได้ แต่หากเราไม่จับฉวยโอกาส ไม่สนใจ ก็คือเหตุการณ์ที่ผ่านไป ส่วนวิกฤติถ้าเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่างในเวลาที่เหมาะสม ก็สามารถเปลี่ยนเป็นความสำเร็จได้ ถ้าหากเราเพิกเฉยในวิกฤติ ไม่คิดเปลี่ยนแปลงภายในเวลาที่เหมาะสมก็คือ 'หายนะ'
ดังเช่นตัวอย่างเรื่องเล่านี้ครับ ในหมู่บ้านแห่งหนึ่งที่ประเทศอินเดียชาวสวนส่วนใหญ่มักจะมีปัญหากับลิงเข้ามาขโมยผลไม้กินเป็นประจำ พวกชาวบ้านก็อยากจะหาวิธีเพื่อจะจับลิง และพวกชาวบ้านก็เลยทำได้โดยการใช้กล่องไม้ที่มีฝาด้านหนึ่งเจาะรูเล็กๆ ขนาดพอที่มือของลิงจะสอดเขาไปได้ ในกล่องนี้เขาก็ใส่ถั่วซึ่งเป็นของโปรดของลิงเอาไว้เป็นเหยื่อล่อ เมื่อลิงเห็นถั่วในกล่อง มันก็เอามือล้วงลงไป พอจะดึงมือออกก็ติดฝากล่อง เพราะกำมือของลิงใหญ่กว่าฝากล่องที่เจาะไว้ ลิงก็พยายามดึกเท่าไรก็ไม่สำเร็จ
ชาวบ้านจึงสามารถจับลิงได้ เพราะมันไม่สามารถปีนต้นไม้หนีได้ด้วยมือเพียงข้างเดียวที่อยู่นอกกล่อง ลิงไม่ตระหนักเลยว่าถ้าหากเพียงมันคลายมือออก มันก็จะเอาตัวรอดได้ แต่เพราะมันกำยึดถั่วเอาไว้แน่นไม่ย่อมปล่อย มันจึงต้องเอาชีวิตเข้าแลกด้วยชีวิตของมันเอง!
  ลิงตัวนี้ได้รับโอกาส ได้กินถั่วที่มันชอบ แต่ในโอกาสนั้นลิงทำตัวมันเองให้กลายเป็นวิกฤติขึ้นมา นำไปสู่ความหายนะของชีวิตของเสียเองจนได้
โอกาสเป็นของทุกๆ สรรพสัตว์และวิกฤติก็เป็นของทุกๆ สรรพสัตว์ที่จะต้องพบเจอเช่นเดียวกันเสมอ ไม่ช้าหรือเร็วเราก็จะต้องพบเจอ
แต่จะเห็นโอกาสหรือวิกฤตินั้นมันขึ้นอยู่กับมุมมองของแต่ละสรรพสัตว์ ขอเพียงใช้ใจมองให้เห็นความเป็นจริง ใช้สมองครุ่นคิดในเชิงบวกกับทุกๆ สรรพสิ่งที่พบเห็น ทุกๆ อย่างล้วนเข้ามา แล้วมันก็จะผ่านไป

 เราไม่รู้หรอกว่าหากเราคลายสิ่งหนึ่งสิ่งใดลงได้ ปัญหาที่ดูสลับซับซ้อนทั้งหลายก็อาจจะคลี่คลายได้ แต่หากเรามักจะไม่ยอม ยอมไม่ได้ ยอมแล้วกลัวเสียศักดิ์ศรีจึงยึดไว้ถือไว้ จนหน้ามืดตามัว
เมื่อเรายึดไว้ขนาดนั้นทางแก้ก็ไม่มี เพราะเมื่อเวลาที่มีตัวตน(อัตตา)เข้ามาเกี่ยวข้องด้วยทีไรปัญญาก็มักจะดับ การแก้ปัญหาจึงเกิดขึ้นไม่ได้.
 
อีกกรณีที่สามารถนำมาปรับประยุกต์เป็นบทเรียนอันมีคุณค่าของชีวิตเราได้ การเห็นโอกาสทองในวิกฤติ ดังนิทานิทานอีสปเรื่องนี้ครับ
 มีชาวนาคนหนึ่งเลี้ยงลาไว้ตัวหนึ่งซึ่งแก่มากแล้ว ด้วยความโง่ของมันดันเดินซุ่มซ่ามไปตกบ่แห่งหนึ่ง มันร้องครวญคราง อยู่เป็นเวลานาน ชาวนาเองก็พยายามใคร่ครวญหาวิธีที่จะช่วยมันขึ้นมา ในที่สุดชาวนาหวนคิดขึ้นมาได้ว่า เจ้าลาก็แก่เกินไปแล้ว อีกอย่างบ่อนี้ก็ต้องกลบไม่คุ้มที่จะช่วยเจ้าลา ชาวนาจึงไปขอแรงชาวบ้านเพื่อมาช่วยกลบบ่อ ทุกคนใช้พลั่วตักดินสาดลงไปในบ่อ
  ครั้งแรกเมื่อดินถูกหลังลา มันตกใจและรู้ชะตากรรมของตนเองทันที มันร้องโหยหวน สักพักหนึ่ง
ทุกคนก็แปลกใจที่เจ้าลาเงียบไป หลังจากชาวนาตักดินใส่บ่อได้สักสองสามพลั่ว เมื่อเหลือบมองลงไปในบ่อ ก็พบกับความประหลาดใจที่ลามันจะสะบัดดินออกจาก หลังทุกครั้งที่มีผู้สาดดินลงไป แล้วก้าวขึ้นไป
เหยียบบนดินเหล่านั้น ยิ่งทุกคนพยายามเร่งระดมสาดดินลงไปมากเท่าไร มันก็ก้าวขึ้นมาเร็วได้มากยิ่งขึ้น
ในไม่ช้าทุกคนต่างประหลาดใจในที่สุด เจ้าลาสามารถหลุดพ้นจากปากบ่อดังกล่าวได้

ในภาษาจีนคำว่า "เหวย-จี" แปลว่า "วิกฤติการณ์"
ซึ่งมาจากการผสมของคำ 2 คำ ระหว่าง "เหวย" กับ "จี"
ซึ่ง "เหวย" แปลว่า วิกฤติการณ์ ส่วน "จี" เปลว่า โอกาส

"เหวย-จี" จึงสะท้อนปรัชญาชาวจีน ที่เชื่อว่าทุกๆ วิกฤติการณ์นั้นมีโอกาสซ่อนอยู่
ดังนั้น..ผู้ที่จะประสบความสำเร็จในชีวิตคือ ผู้ที่พร้อมรับวิกฤติการณ์...