29 ก.พ. 2555

ปล่อยวางอย่างเซน - ดร.ละเอียด ศิลาน้อย

'เซน' เน้นการใช้ชีวิตที่เรียบง่าย
ถ่อมตน และมีเป้าหมาย
 
 
รู้จักหยุด 

รู้จักยอม 

รู้จักเย็น


ดร.ละเอียด ศิลาน้อย
มี.ค 50

หนังสือ เล่นนี้ได้เปลี่ยนความคิดบางอย่างที่เคยเชื่อมา เกี่ยวกับศาสนา การยึดถือปฏิบัติกับอะไรบางอย่าง เป้าหมายความเชื่อบางอย่างของชีวิต

เรียนรู้ด้วยใจถ่อม : ขงจื้อ กล่าวว่า เดินกันมา 3 คน ต้องมีคนหนึ่งเป็นครูของฉันได้แน่นอน
- เป็นพยายานเน้นความสำคัญของการเรียนรู้ได้ดีเรื่องหนึ่งและท่านยังสรุปว่า ความรู้ที่แท้คือ เมื่อรู้ก็รู้ว่ารู้ เมื่อไม่รู้ก็รู้ว่าไม่รู้ นี่แหละคือความรู้ที่แท้ละ
"ยึดมั่นคราใด
เป็นทุกข์ครานั้น"
ปล่อยวางอย่างเซน : ความยึดมั่นถือมั่น เป็นโซ่ตรวนเส้นสำคัญที่ผูกพันพวกเราไว้ในวังวนแห่งวัฏสงสาร
"ไม่ยึดมั่น" ในภาษาที่เราใช้กันโดยทั่วๆ ไปก็คือ ปล่อยวาง นั่นเอง ต้องรู้จักปล่อยวางเสียบ้างจะได้ไม่ทุกข์
"เราต้องไม่เข้าจัดการกับปัญหาต่างๆ
ด้วยอารมณ์"
ไหวพริบ-สิ่งอันเป็นที่ต้องการในทุกกรณี : การใช้ไหวพริบเข้าจัดการอย่างมียุทธวิธีที่ดี จะอำนวยผลลัพธ์เป็นที่น่าพอใจเสมอๆ
ชีวิตประจำวันนั่นแหละคือเซน : การตรัสรู้มิใช่ว่ารู้สิ่งใดๆ หากแต่เป็นการรู้จักจิตของตนอย่างถ่องแท้นั่นเองพวกเราก็ดูจะไม่สะใจ
ชีวิตของเรามีอยู่ด้วยกัน 3 ขั้นตอน แบ่งอย่างง่ายๆ คือ..
ขั้นแรก  เป็นชีวิตตามธรรมดาสามัญของพวกเราชาวบ้านทั่วๆ ไป
ขั้น ที่สอง เป็นขั้นที่ปลีกตัวแยกออกต่างหากจากกลุ่มกลายเป็นพวกพิเศษออกไปอย่างโดเด่น บางทีถึงกับเป็นปฏิปักษ์ต่อชีวิตตามขั้นตอนแรกเสียด้วยซ้ำไป
พอ ขั้นที่สาม ชีวิตจะเป็นไปในรูปแบบเดิมเหมือนขั้นที่หนึ่งอีก แต่เป้นขั้นเดิมที่ไม่เหมือนขั้นเดิม หรือเป้นขั้นที่หนึ่งที่ไม่เหมือนขั้นที่หนึ่ง
สปิริตแห่งเซน : ชีวิตเซนเป็นชีวิตที่ไม่มีอดีต ไม่มีอนาคต มีแต่วันนี้ หรือพูดให้ลึก ชีวิตเซนคือชีวิตที่ดำรงขณะเดียว
มีสติอยู่กับปัจจุบันขณะ อดีตก็ละไปแล้ว อยนาคตก็ยังไม่มา จงใช้ชีวิตอยู่กับวันนี้
"รู้จักปลง รู้จักปล่อย รู้จักเย็น"
 ทำใจ : ปัญหาทุกอย่างมีเหตุมีปัจจัยก่อให้เกิดขึ้นมา ผลักดันให้เกิดมีขึ้นมา หากขจัดเหตุแห่งปัญหาได้ ปัญหาก็จะสิ้นสุดลง
ต้อง มั่นใจให้ได้ว่าไม่มีอะไรได้ดังใจเรา โลกนี้เป็นโลกแห่งเหตุผล(มีเหตุและมีผลเกิดขึ้นมาแต่เหตุ) มีแก่นสารเป็นความเปลี่ยนแปลงนิรันดร
"การ 'ปลง'
เป็นการยุติเรื่องนั้นให้หยุดอยู่แต่นั้น"
ปลงให้ตก :  ทำอะไรดีๆ แล้วคนไม่เข้าใจ เราก็ต้องปลง ต้องอดทน
บางที เราก็พูดอธิบายไม่ได้เสียด้วย มันก็ต้องปล่อยไปอย่างนั้น แต่ทว่าเราจะยังคงแน่วแน่ของเราต่อไป-เราหวังทำเพื่อความถูกต้องถูกธรรมมิ ใช่หรือ เรามิได้ทำเพื่อหวังจะให้ถูกใจใครมิใช่หรือ?
เมตตาธรรม : ท่านพุธทาสภิกขุ กล่าวว่า จิตที่ให้นั้นสบายกว่าจิตที่คิดจะรับ(เอา)
ผู้ไร้เวรไร้ภัยไปไหนมาไหนก็สบายเบาใจ
ผู้หญิงกับเซน : ในเซนไม่มีหญิงไม่มีชาย มีแต่ธรรมชาติล้วนๆ ที่กำลังดำเนินไป
"หากไม่รู้จักตัวเอง
เที่ยวเอาตัวเองไปเทียบเปรียบกับคนโน้นคนนี้
ไม่นานก็จะเห็นตัวเองน่าเกลียด"
กุศโลบาย : ชีวิตคือความสัมพันธ์ ถ้าชีวิตอยู่โดดเดียวนั่นไม่เรียกว่าชีวิต
สัตย์ซื่อและจริงใจ : บางคนเห็นว่าซื่อนั้นเป็นสิ่งเดียวกัน การได้ เป็นสิ่งที่ดี การสูญเสียหรือการรอด เป็นสิ่งที่เลว
อย่า "อะไรก็ได้" : จะทำอะไรสักอย่างหนึ่ง ต้องมีจุดหมายหรือที่หมาย
ทุกเรื่องเราต้องกำหนดให้ชัดในใจว่าเราจะทำอะไร เพื่ออะไร-มีอะไรเป็นเป้าหมายหรือที่หมายและด้วยวิธีใด
สติ-ที่พึ่ง อักปลอดภัย : คนที่ไม่มีสติ คือคนที่ลืมตัว ไม่รู้สึกตัว พอมีอะไรเกิดขึ้นก็พลัดเข้าไปในสิ่งนั้นๆ ไหลไปตามกระแส ตั้งตัวไม่ติด มีความคิดเกิดขึ้นในจิตก็พลัดเข้าไปในความคิด
สติอยู่ในกาย คือเมื่อกายไหวกายเคลื่อนก็ให้รู้สึกตัว รู้สึกในการไหวการเคลื่อนนั้น อยู่กับความรู้สึกของกายที่เคลื่อนไหวนั้นให้ต่อเนื่อง
หากมีสติรู้สึกตัวอยู่เสมอตลอดเวลา จะทำให้มีความทรงจำดีโดยไม่ต้องไปกำหนดจดจำเป็นพิเศษ
"สมาธิทำให้เกิดความสุขในการปฏิบัติ"
สมาธิ-ทางรอด : สมาธิ คือ ความตั้งมั่นแห่งจิต ความแน่วแน่แห่งจิต หรือการสำรวมใจให้แน่วแน่
การ กำหนดลมหายใจ คือรู้สึกถึงการเคลื่อนไหวของลมหายใจเข้า-ออกของเรา หรือรู้สึกถึงการเคลื่อนไหวของร่างกายของเรา ซึ่งอาจเป็นการนั่งหรือยืนหรือเดิน หรือนอนก็ได้
ในทางพระพุทธศาสนา ได้แบ่งปัญญญาออกเป็น 3 ประเภท คือ..
สุตมยปัญญา คือ ปัญญาได้จากการฟัง ฟังมากๆ ก็รอบรู้มากเกิดปัญญามาก
จินตามยปัญญา คือ ปัญญาได้จากการขบคิดตรึกตรองมากๆ ก็เกิดปัญญา
ภาวนามยปัญญา คือ ปัญญาที่เกิดจากการเพ่งภาวนาอบรมให้มีขึ้น

เซน คืออะไร?
ขอให้ขบกันต่อไป อย่ายึดเอาข้อสรุปใดเป็นข้อสรุปใดเป็นคำตอบ จงแสวงหาไปอย่าหยุด จนกว่าจะพบ "เซน" เข้าด้วยตนเอง อย่างตรงๆ

22 ก.พ. 2555

Heroes คนดลใจ - ว.วชิรเมธี

การอ่าน คือ ลมหายใจ

"ใครได้หลงรักการอ่านเข้าแล้ว โลกแห่งการเรียนรู้ของเขาจะกลายเป็นโลกไร้พรมแดน ชีวิตจิตใจของเขาจะได้รับการบำรุงด้วยวิตามินแห่งปรีชาญาณสุดวิเศษและทุกครั้งที่ลุกขึ้นมาสนทนาปราศัยกับใครๆ เขาจะกลายเป็นเพื่อนคุยที่สะกดให้ทุกวงสนทนาเกิดความรื่นรมย์และโดยวิธีนี้เอง
คนที่รักการอ่านจำนวนมากทั่วโลก จึงเป็นผู้ครอบครองความสำเร็จได้มากกว่าคนที่ไม่อ่านอะไรเลย"

ว.วชิรเมธี
๑ มีนาคม ๒๕๕๔

   เชื่อหรือไม่ว่าโลกเปลี่ยนแปลงได้เพราะแรงบันดาลใจ บุคคลที่ยิ่งใหญ่ของโลกที่ได้รับการยกย่องอย่างกว้างขวางนั้นไม่ได้เกิดจากความมั่งมี ร่ำรวยเงินทอง หรือเปี่ยมไปด้วยอำนาจ หากแต่เพราะเขาเหล่านั้น มีแนวคิด และการกระทำที่เสียสละเพื่อประโยชน์ส่วนรวมต่างหาก ที่ทำให้ได้รับการย่กย่องว่าเป็น ‘คนดลใจ’ ของใครหลายคน แต่ตัวเขาเหล่านั้นก็มีคนหรือเรื่องราวดลใจของตนเองเช่นกัน

๑ : มหาตมะ คานที - ทุกปรากฎการณ์มีความหมาย
"อาจเป็นไปได้ในยุคต่อไป จะไม่มีใครอยากเชื่อว่าบุคคลเช่นนี้(มหาตมะ คานที) ก็เคยมีชีวิตชีวาเดินเหินอยู่บนพื้นโลกนี้" ; อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์
"อารยธรรมไม่ใช่เรื่องของเสื้อผ้า ไม่ใช่เรื่องของการมีรสนิยมวิไลในการกิน อยู่ ดื่ม และการศึกษาไในมหาวิทยาลัยชั้นนำ แต่อารยธรรมหมายถึงระดับความสูงต่ำของคุณธรรมในหัวใจคน"


๒ : อับบราฮัม ลิงคอล์น - จากหนุ่มไปรษณีย์สู่ประธานาธิบดีผู้ยิ่งใหญ่
"รัฐบาลของประชาชน โดยประชาชน เพื่อประชาชน จะไม่มีวันเลือนหายไปจากโลก"
"ทางไปสู่เกียรติศักดิ์ จักประดับด้วยดอกไม้หอมหวลยวนจิตไซร้ ไป่มี" ; รัชกาลที่ ๖
"การได้อ่านหนังสือพิมพ์ฟรีทุกวันนี้เอง ทำให้ลิงคอล์นสามารถติดตามเหตุการณ์บ้านเมืองอย่างใกล้ชิดทุกเช้า จนกลายเป็นนิสัยติดตัวเขามาตลอดชีวิต"

๓ : เนลสัน แมนเดลา - รางวัลแด่ผู้รู้จักอดทนและรอคอย
"บางเรื่อง ก็มีคำตอบอยู่สองทาง เราไม่จำเป็นต้องตอบว่าจะเลือกทางซ้ายหรือจะไปทางขวา เพราะทางออกที่ต้องการ อาจจะอยู่ตรงกลาง และเราอาจจะมองเห็นมันได้ ถ้ารู้จักประนีประนอมโดยไม่ขัดกับหลักการ"
"ทุกๆ อย่างไม่ได้เป็นอย่างที่เราเห็นเสมอไป ปัญหาใหญ่แต่ละอย่างต่างมีสาเหตุที่สับสน วุ่นวาย เช่น ปัญหานโยบายเหยียดผิวก็เป็นทั้งปัญหาประวัติศาสตร์ สังคม และจิตวิทยาไปพร้อมกัน"

๔ : สตีฟ จอบส์ - เรียนในสิ่งที่รัก สร้างนวัตกรรมเปลี่ยนโลก
"บางครั้ง ชีวิตก็ขว้างหัวคุณด้วยก้อนอิฐ แต่คุณอย่าเสียศรัทธา ผมเรียนรู้ว่า สิ่งเดียวที่ทำให้ผมยังคงเดินหน้าต่อไปได้คือ
การที่ผมรักในสิ่งที่ผมทำ คุณต้องหาสิ่งที่คุณรักให้ผม"

๕ : ไมเคิล แจ็กสัน - เก่งวิชาชีพ ด้อยวิชาชีวิต
"หากเรามาสู่โลกนี้โดยรับรู้ว่าเราเป็นที่รัก
และจากโลกนี้ไปด้วยความรับรู้แบบเดียวกัน
ถ้าเป็นเช่นนั้นแล้ว
ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในระหว่างมีชีวิตอยู่เราก็รับมือได้"
"การจากไปของไมเคิล แจ็กสัน
ไม่ใช่วันเวลาของความโศกเศร้าหรือร่ำหาอาลัยไม่จนสิ้น
แต่ควรเป็นวันเวลาของการเรียนรู้สัจธรรมของชีวิต"

๖ : เจ็ต ลี - ปาฏิหาริย์ผ่านเงินหนึ่งหยวน
"ตลอดชีวิต ๔๑ ปีที่ผ่านมา ผมคิดแต่เรื่องสร้างชื่อเสียงให้แก่ตัวเอง เจ็ต ลี ต้องเป็นที่หนึ่ง แต่ตอนนี้ ผมเริ่มคิด ต่อให้มีอำนวจหรือชื่อเสียงโด่งดังแค่ไหน บางครั้งก็ช่วยอะไรเราไม่ได้ ผมเริ่มตั้งคำถามเกี่ยวกับชีวิตรวมทั้งสิ่งที่ผมต้องการทำ"
"ผมคิดว่า บ่อยครั้งที่เกิดเหตุร้าย มีคนตาย พอเราเห็นภาพเหล่านั้นจึงเกิดการระดมเงินบริจาค แต่ว่ากว่าเงินจะไปถึงผู้ประสบภัยก็เสียเวลาอย่างน้อยสองหรือสามวัน
บางครั้งเราไม่แน่ใจด้วยซ้ำไปว่าเงินบริจาคจะถึงมือผู้ประสบภัยหรือไม่"

๗ : อัลเฟรด โนเบล - เปลี่ยนเงินบาปเป็นรางวัลเกียรติยศสูงสุด
"เป็นความปรารถนาอันระบุไว้ชัดของข้าพเจ้าที่ว่า การให้รางวัลนั้น หาได้ให้โดยพิจารณาจากเชื้อชาติของผู้ได้รับการเสนอชื่อไม่ แต่ผู้มีค่าคู่ควรที่สุดเท่านั้นจึงจะได้รับรางวัลนี้ ไม่ว่าเขาจะเป็นชาวสแกนดิเนเวียนหรือไม่ก็ตาม"
"ไม่ว่าจะเคยมีอดีตที่มืดดำบอบซ้ำ เจ็บปวดเพียงไร แต่คนเราสามารถตั้งต้นชีวิตใหม่อย่างมีความหมายต่อมวลมนุษยชาติได้เสมอ ขอเพียงรู้จักที่จะลืมความหลังแล้วตั้งต้นใหม่"

๘ : อโศกมหาราช - จอมจักรพรรดิผู้สร้างสรรค์การเมืองใหม่
"ในบรรดาพระนามของเจ้าฟ้ามหากษัตริย์นับได้เป็นจำนวนพัน จำนวนหมื่น ซึ่งมีปรากฏอยู่อย่างดาษดื่น ในข้อบันทึกของประวัติศาสตร์นั้น พระนามของพระเจ้าอโศกส่องแสงเป็นประกายและดูเหมือนจะเป็นประกายอยู่เพียงพระนามเดียวเท่านั้น ด้วยความรุ่งโรจน์เยี่ยงดวงดาวอันสุกสกาวยิ่ง" ; เอช. จี. เวลส์
"คนไม่ประมาทไม่มีวันตาย คนประมาทไม่ต่างอะไรกับคนที่ตายแล้ว"
"ขอเพื่อนมนุษย์ผู้ร่วมเกิดร่วมตายทั้งหลาย จงอย่าได้มีการเอาชนะกัน ด้วยวิธีอื่นใด นอกไปเสียจากการเอาชนะกันด้วยธรรม"

๙ : ดร.อัมเพทการ์ - Slumdog ผู้กลายเป็นรัฐบุรุษ
"ในชีวิตนี้เรามีภารกิจที่จะต้องทำอยู่ ๒ อย่าง นั่นคือ
หนึ่ง ทำลายระบบวรรณะ
สอง ช่วยประเทศอินเดียเป็นเอกราชจากการยึดครองของอังกฤษ"
"สักวันหนึ่งเราจะต้องถีบตัวเองให้สูงขึ้นไป เพื่อให้พ้นจากภาวะอันต้อยต่ำนี้ให้ได้ และการที่จะทำเช่นนั้นได้มีวิธีเดียวคือ ต้องตั้งใจเรียนให้ถึงที่สุด เพราะด้วย 'การศึกษา' เพียงอย่างเดียวเท่านั้นที่จะทำให้คนจัณฑาลได้รับการยอมรับ"

๑๐ : เลโอนาร์โด ดา วินชี - อัจฉริยะผู้ก้าวข้ามพรมแดนศิลปะกับวิทยาศาสตร์
"การกระตือรือร้นลุกขึ้นมาทำอะไรสักอย่างนั้นสำหรับข้าพเจ้าแล้ว เป็นสิ่งที่น่าจับใจกว่า แค่รู้อย่างเดียวนั้นไม่เพียงพอ แต่เราต้องรู้จักประยุกต์เอาไปใช้จริงด้วย
แค่มีความตั้งใจว่าจะทำนั้นก็ยังไม่พอ แต่ต้องลงมือทำ"
"ดา วินชี ประสบความสำเร็จมีชื่อเสียงเกริกไกร จึงไม่ใช่เพียงเพราะผมงานระดับอัจฉริยะของเขาเท่านั้น แต่ยังเป็นเพราะเขารู้จักเลือกที่จะ
'อยู่ในที่ที่มีคนคนเห็นคุณค่าของเขา' "

๑๑ : จอห์น กริชแฮม - คนใฝ่ต่ำผู้มีความสุขสูง
"การค้นหาเสียงในชีวิตก็คือ การพูดและมีชีวิตกับความจริง เราแต่ละคนมีความเป็นตัวของตัวเอง เราแต่ละคนมีเสียงที่แตกต่างไม่เหมือนใคร เมื่อเราพบเสียงนั้นแล้ว เรื่องราวของเราจะได้รับการกล่าวขาน เสียงของเราจะเป็นที่ได้ยิน"
"เป็นเรื่องน่าเสียดายเหลือเกินที่คนจำนวนมากในโลกของเรายังคงพากันเลือกเดินบน "เส้นทางหลัก" และนั่นเป็นเหตุสำคัญที่ทำให้คนเราทุกวันนี้ทำงานหนัก
แต่มีความสุขน้อย ทุกข์ง่าย แต่สุขยาก เรียนสูง แต่มีคุณภาพชีวิตต่ำอย่างไม่น่าเชื่อ"

๑๒ : หลุยส์ เบรลล์ - จากคนตาบอดสู่คนของโลก
"เราไม่ต้องการถูกปิดตายจากโลก เพียงเพราะเรามองไม่เห็น เพราะฉะนั้นเราจึงต้องทำงานและศึกษา เพื่อให้ทัดเทียมกับคนอื่น เพื่อไม่ให้ถูกดูแคลนว่าโง่เง่าหรือน่าสมเพช"
"เขาจะต้องเป็นอีกคนหนึ่งที่ไม่เพียงรอรับความช่วยเหลือจากคนตาดีเท่านั้น แต่ยังสามารถลุกขึ้นมาช่วยเหลือคนตาบอดด้วยกันให้ได้รับการศึกษาและมีอนาคตที่ดีเหมือนกับที่คุณวาเลนติน อาวี ผู้นี้อยู่ให้จงได้"


๑๓ : กรุณา กุศลาสัย
- จากคนธรรมดาสู่บุรุษอาชาไนย
"ผมตระหนักอยู่เสมอว่า ผมไม่ใช่นักการเมืองหรือบุคคลที่มีชื่อเสียง ผมเป็นเพียงคนธรรมดาๆ คนหนึ่ง แต่ชีวิตที่โลดโผนโจนทะยานของผมคงจะเป็นบทเรียนได้บ้าง"
บุรุษอาชาไนยหาได้ยาก
เพราะคนเช่นนั้นไม่เกิดในตระกูลทั่วไป
แต่เมื่อเกิดในตระกูลใด ตระกูลนั้นไซร้ย่อมเป็นสุข
(พุทธพจน์)



คนสำคัญของโลกจำนวนมาก ล้วนได้รับ "แรงบันดาลใจ" ในการผลักดันตัวเองให้เป็นนักสู้ นักคิด นักเขียน นักปราชญ์ นักประดิษฐ์ นักการเมืองคนสำคัญ หรือนักต่อสร้างสรรค์นวัตกรรมที่ยิ่งใหญ่ของโลก โดยผ่านการเรียนรู้ ศึกษา ซึมซับ รับเอา "แรงบันดาลใจ" จากบุคคลสำคัญท่านใดท่านหนึ่งมาสู่ชีวิตจิตใจไม่โดยตรงก็โดยอ้อมเสมอ 

ขอบคุณหนังสือดีๆ เล่นนี้มากเลยครับ..
ผมได้แง่คิดและแรงบันดาลใจหนังสือของท่าน ว.วชิรเมธี หลายเล่มมาก ยกย่องท่านเป็นอีกคนบันดาลใจของผมอย่างยิ่ง บางวันมีโอกาสนั่งเปิด youtube.com ฟังแง่คิดจากคำสอนของท่านแล้วเกิดมุมมองใหม่ในทางที่ดีขึ้นของความคิดของตัวผมเอง
   ช่วงนี้ผมให้ลูกศิษย์ ป.5 ฝึกการเป็นนักอ่านตัวน้อยๆ ผมสอนเด็กๆ ว่า "เรื่องบางอย่างเราอาจจะเริ่มต้นจากเรื่องฝืนใจเสียก่อน และบางเรื่องมันอาจจะส่งผมสู่ความงอกงามของตัวเราในอนาคตได้"

19 ก.พ. 2555

ครูนอกกรอบกับห้องเรียนนอกแบบ : สรรพวิธีและสารพัดลูกบ้าในห้อง 56" (Teach Like Your Hairs’ on Fire: The Mehods and Madness inside Room 56 ) - รูเรฟ เอสควิท

หนังสือครูนอกกรอบกับห้องเรียนนอกแบบ : สรรพวิธีและสารพัดลูกบ้าในห้อง 56 (Teach Like Your Hairs’ on Fire: The Mehods and Madness inside Room 56 ) เล่มนี้บอกเล่าเรื่องราวจากประสบการณ์ครูเพื่อศิษย์ชาวอเมริกัน เรฟ เอสควิท(Rafe Esquith)

ในฐานะครูประจำชั้นประถม 5 ของโรงเรียนรัฐบาลแห่งหนึ่งกลางนครลอสแอนเจลีส ที่ซึ่งเขาสอนเด็กๆ จากครอบครัวผู้อพยพยากจนให้รู้จักบทละครเชกสเปียร์ เล่นดนตรีของวีวัลดี(Vivaldi) และร็อกแอนด์โรล ควบคู่ไปกับการเรียนคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ภูมิศาสตร์และประวัติศาสตร์ อย่างเข้มข้น จนเข้ามหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศได้
แต่สิ่งที่ครูเรฟให้ความสำคัญมากที่สุดคือ การปลูกฝังเด็กๆ ให้เติบโตเป็นคนดีมีคุณธรรม

เรฟ เอสควิท เล่าเรื่องด้วยภาษาง่ายๆ และเต็มไปด้วยอารมณ์ขัน เขาไม่เพียงแนะเทคนิคที่เขาพบว่าใช้ได้ผลดีในการอบรมเด็กๆ สำหรับครูและพ่อแม่ผู้ปกครองเท่านั้น แต่ยังสร้างแรงบันดาลใจและกำลังใจแก่เพื่อนร่วมอาชีพให้มีศรัทธาในสิ่งที่พวกเขากำลังทำในฐานะครู นั่นคือการสร้างคนดีมีคุณภาพให้แก่สังคม

 
สำนักงานส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้และคุณภาพเยาวชน (สสค.) ได้นำหลักการคิดของ เรฟ เอสควิท (Rafe Esquith) ครูประถมในสหรัฐอมริกามาประยุกต์ให้เห็นบทบาทและภาพที่ชัดของครูสอนดีไว้ 6 ประการด้วยกัน
ประการแรก หากครูต้องการให้เด็กขยัน เอาจริงเอาจังและตั้งใจเรียน ครูต้องทำให้เห็นว่าครูก็ขยัน เอาจริงเอาจังและตั้งใจสอนไม่ต่างกัน
ประการที่ 2 การสอบสำคัญก็จริง แต่ไม่สำคัญเท่ากับการที่ช่วยเด็กให้เติบโตเป็นคนที่เข้มแข็งและมีคุณค่า
ประการที่ 3 การเรียนการสอนต้องเป็นแบบบูรณาการทักษะต่างๆ ต้องเป็นประโยชน์ในชีวิตจริง ไม่ใช่เพียงเพื่อคะแนนสอบ
ประการ่ที่ 4 เด็กๆ จะกลายเป็นนักอ่านตลอดชีวิต หากเขาได้อ่านหนังสือดีๆ ที่ทำให้เขาร้องไห้หรือหัวเราะไปกับตัวละครได้
ประการที่ 5 ศิลปะแทบทุกแขนงเป็นเครื่องมือวิเศษในการสอนเด็กๆ ศิลปะเปิดโอกาสให้เด็กๆ รักษาความเป็นตัวของตัวเองในท่ามกลางสังคมที่สนใจแต่มาตรฐาน
ประการที่ 6 การสอนเปรียบเสมือนเป็นการเดินทางไกลที่ทรหดและยาวนาน แต่อย่าท้อถอยหรือล้มเลิกง่ายๆ ไม่มีทางลัดใดๆ (There Are No Shortcuts) ในการสร้างเยาวชนที่มีคุณภาพ


เรฟ เอสควิท คือ ครูประถมศึกษาโฮบาร์ตในสหรัฐอเมริกาที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ในสหรัฐอเมริกา เขาปฏิเสธงานที่เสนอเงินเดือนมากกว่าถึงสี่เท่า เพียงเพื่อจะได้อยู่ในที่ๆ เด็กๆ ต้องการเขาสิ่งที่ได้พบเห็นในโรงเรียนแห่งนี้ทำให้ครูเรฟสะเทือนใจอย่างมาก
เด็กร้อยละ 90 มาจากครอบครัวผู้อพยพเชื้อสายลาตินและเกาหลี มีความเป็นอยู่ต่ำกว่าระดับความยากจนและไม่มีใครพูดภาษาอังกฤษเป็นภาษาแม่ อาศัยในย่านเสื่อมโทรม ที่เด็กสิบขวบบางคนพกอาวุธปืนมาโรงเรียน ส่วนแก๊งอันธพาลและยาเสพติดเป็นเรื่องที่พบเห็นเป็นเรื่องปกติในชีวิต
เด็กที่จบจากชั้นประถมเพียงร้อยละ 30 เท่านั้นที่อาจจะได้เรียนต่อจนจบมัธยมปลาย
"ผมทำใจไม่ได้ที่พบว่า ดินแดนที่เราเชื่อว่าเป็นดินแดนแห่งความเสมอภาคนี้ ความจริงแล้วไม่ได้เป็นเช่นนั้น" ด้วยเหตุนี้ "ผมจึงทำทุกอย่างเพื่อให้เด็กทุกคนได้รับโอกาสเท่าเทียมกันอย่างที่ รัฐธรรมนูญของเราให้คำมั่นไว้"
ในหนึ่งวันของครูเรฟยาวนานกว่าของครูคนอื่นๆ เขาเริ่มสอนตั้งแต่ 06:30 น. และสอนไม่หยุดจนกระทั่งเวลา 5 หรือ 6 โมงเย็น เด็กๆ ของครูเรฟก็เช่นเดียวกัน พวกเขาทำงานหนัก หลายคนสมัครใจมาเรียนก่อนนักเรียนห้องอื่นๆ ในโรงเรียนถึงสองชั่วโมง
พวกเขาเต็มใจที่จะมาเรียนแต่เช้า ฝึกซ้อมระหว่างเวลาหยุดพักทำงานอยู่จนเย็นและมาโรงเรียนในวันนหยุด โดยยอมแลกกับเวลาดูทีวีและเล่นนวิดีโอเกมตามที่สัญญาไว้กับครู
การที่ครูเรฟใช้เวลาอยู่กับเด็กๆ มากกว่าชั่วโมงเรียนตามปกติทำให้เขาขาสอนวิชาต่างๆ ที่จะต้องมีการการทดสอบมาตรฐานและสอนสิ่งที่เขารักเป็นเป็นชีวิตจิตใจ เชกสเปียร์, มาร์ก ทเวน และเบสบอล ควบคู่กันไปอย่างได้ผล
เขามีปรัชญาการสอนที่สะท้อนให้เห็นถึงความเข้าใจในธรรมชาติของเด็กและการให้เด็กเป็นศูนย์กลางของการเรียนการสอนอย่างแท้จริง ครูเรฟคิดค้นแนวการเรียนการสอนแบบใหม่ว่า ห้องเรียนต้องเป็นที่ๆ เด็กได้เรียนรู้และสนุกสนานไปพร้อมๆ กัน
ความตั้งใจจริงกับการเรียนรู้ความต้องการของเด็กนำมาประยุกต์การเรียนสอนในแบบฉบับของตัวเอง ทำให้ลูกศิษย์ของครูเรฟเป็นนักอ่านตัวยง พวกเขารักการอ่านเป็นชีวิตจิตใจ พวกเขาอ่านวรรณกรรมชั้นยอดปีละหลายสิบเล่ม พวกเขาไม่เพียงอ่านบทละครของเชกสเปียร์ แต่ยังสามารถเข้าถึงจิตวิญญาณของตัวละครได้อย่างน่าทึ่ง
เด็กนักเรียนของครูเรฟหรือคณะละครเชกสเปียร์แห่งโฮบาร์ตตามที่คนทั่วไปรู้จัก จะฝึกซ้อมอย่างหนักนานหลายเดือนก่อนเปิดการแสดงในเดือนมิถุนายนของทุกปี คณะละครน้อยนี้ไม่เพียงแต่โด่งดังไปทั่วประเทศ แต่มีชื่อเสียงไปถึงยุโรป รู้จักในนามละครเชกสเปียร์แต่ละเรื่องที่ห้อง 56

ตัวอย่างการเรียนการสอนของครูเรฟและนักเรียน..
ความล้มเหลวเป็นเรื่องดี
 เมื่อ 2-3 ปีก่อน กลุ่มครูหนุ่มสาวจากโรงเรียนในการกำกับของรัญ(charter school) ซึ่งเป็นโรงเรียนที่มีความคล่องตัวในการบริหารจัดการแห่งหนึ่งมาใช้เวลาทั้งวันที่ห้อง 56 ครูเหล่านี้ยอดเยี่ยมมากพวกเขาทั้งกระตือรือร้น ฉลาด และเอาใขใส่ อย่างไรก็ได้ ผมสังเกตเห็นว่าแนวทางการสอนของพวกเขามีข้อผิดพลาดที่สำคัญอยู่อย่างหนึ่ง พวกเขามีความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะช่วยให้เด็กรู้สึกดีกับตัวเองเสียจน ไม่ยอมให้นักเรียนตอบผิดหรือรับผิดชอบอะไรเลย
สัปดาห์นั้นเราทำจรวดกัน นักเรียนของผมทำงานเป็นกลุ่มๆ ละ 4 คน แต่ละกลุ่มทำจรวดโมเดลแบบไวกิง คู่มือ และวัสดุใช้ในการประกอบจรวด สิ่งที่ท้าทายสำหรับแต่ละทีมคือ การวัดขนาด วางแผน และประกอบจรวดอย่างถูกต้องแม่นยำ มีกลุ่มหนึ่งที่พยายามมากแต่ผิดพลาดในการจัดวางหัวจรวด ครู 2-3 คนคอยเข้าไปช่วยเด็ก เพื่อแสดงให้ดูว่าจะประกอบจรวดอย่างไรให้ถูกต้อง มีหลายครั้งทีเดียวที่ผมต้องขอร้องอย่างสุภาพแต่หนักแน่นให้อาคันตุกะเหล่า นั้นปล่อยให้เด็กทำเอง
 ครู:  (กระซิบ) คุณไม่เข้าใจ เรฟ เด็กทำไม่ถูก
เรฟ: ผมเข้าใจ
 ครู:  ปีกมันบิดนะ
เรฟ: ใช่
 ครู:  ปุ่มปล่อยจรวด ก็ติดกาวใกล้ส่วนหัวเกินไป
เรฟ: ใช่
 ครู:  จรวดมันยิงไม่ขึ้นน่ะสิ
เรฟ: ที่แรกก็งี้แหละ...
 ครู:  แต่....
เรฟ: แล้วในกลุ่มเขาก็จะคิดค้นกันเองแหละว่าทำไมจรวดมันถึงไม่ขึ้น เด็กๆ จะกลับมาที่ห้องแล้วช่วยกันขบคิด นี่เป็นสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์ทำตลอดเวลา
เป็นเรื่องราวสำคัญที่ต้องจำไว้ว่า ครูอย่างเราให้คำจำกัดความคำว่า ล้มเหลว ต่างกันออกไปในห้องเรียน 56 จรวดที่บินไม่ขึ้นไม่ใช่ความล้มเหลว ความล้มเหลวจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อเด็กนักเรียนละความพยายามที่จะแก้ปัญหา มันอาจจะแก้ได้ใน 5 นาที หรืออาจใช้เวลา 2 เดือน อย่างในกรณีที่นักเรียนของผมพยายามสร้างรถไฟเหาะขนาดยักษ์ แต่ไม่สามารถสร้างทางโค้งที่มีแรงสู่ศูนย์กลางมากพอจะทำให้รถเคลื่อนไปตามรางอย่างปลอดภัยได้ แต่สองเดือนของการทดลองที่ล้มเหลวกลับเป็นเวลาที่เด็กๆ ได้อัศจรรย์ใจและสนุกตื่นเต้นกับวิทยาศาสตร์มากที่สุดในปีนั้นและเมื่อรถไฟ เหาะใช้การได้ในที่สุด เด็กๆ ก็พูดได้เต็มปากว่าพวกเขาทำด้วยตัวเอง พวกเขาเข้าใจฟิสิกส์ของรถไฟเหาะ ผมสอนได้ดีที่สุดในช่วงสองเดือนนั้นด้วยการเย็บปากตัวเองสนิทและปล่อยให้เด็กๆ ทำเอง

สอนคณิตฯ (ทักษะในการทำข้อสอบ)
ไม่มีใครอยากดูโง่ ทุกคนชอบความรู้สึกว่าตนฉลาด เช่นเดียวกัน แต่ละวันในชั่วโมงคณิตศาสตร์ ผมจะคิดเวลาที่เด็กๆ จะชอบมากเพียงเพราะเหตุผลที่ว่านี้ หลังจากที่เราเล่นเกมคณิตคิดในใจหรืออาจจะเล่นเกมบัซซ์ไปสักรอบแล้ว เราจะเริ่มทำโจทย์ทักษะแบบใดแบบหนึ่งสำหรับคาบนั้น ไม่ว่าจะเป็นโจทย์ง่ายๆ อย่างการบวก หรือซับซ้อนอย่างพีชคณิต ผมมักจะสอนทักษะก่อนแล้วให้เด็กลองพยายามทำโจทย์เองสัก 10-15 ข้อ สมมุติว่าผมสอนเรื่องการบวก ก่อนที่ผมจะให้โจทย์เด็ก ผมจะเขียนโจทย์อีกข้อหนึ่งบนกระดาน
63 +
28
ก.
ข.
ค.
ง.

เรฟ:   เอาละนักเรียนทุกคน สมมุติว่านี่เป็นแบบทดสอบสแตนฟอร์ด 9 ซึ่งเราทุกคนต่างรู้ดีว่ามันจะเป็นตัวกำหนดอนาคตของเธอไม่ว่าจะเป็นความสุข ความสำเร็จ และจำนวนเงินฝากในธนาคารของพวกเธอ(เด็กหัวเราะคิกคัก) ใครตอบได้บ้าง?
ทุกคน:  91
เรฟ:  ดีมาก ลองเอาเลข 91 มาวางไว้ข้างข้อ ค. ใครอยากจะบอกครูบ้างว่าข้อ ก. จะเป็นตัวอะไรดี?
ไอเซล:  35
เรฟ:  เยี่ยมมาก!  ทำไมต้องเป็น  35  ล่ะไอเซล?
ไอเซล:  สำหรับเด็กเอาไปลบแทนที่จะเอาไปบวก
เรฟ:  ใช่แล้ว ใครมีคำตอบที่ผิดสำหรับข้อ ข. บ้าง?
เควิน:  81 ครับ  สำหรับคนที่ลืมทดเลข
เรฟ: ถูกต้องอีกแล้ว  ดูซิว่าครูมีนักสืบหัวเห็ดที่สามารถหาคำตอบข้อ ง.  ได้ไหม?
พลอ:  811 เป็นไงครับ สำหรับเด็กที่บวกอย่างเดียวโดยไม่ทด
เวลาเด็กห้อง 56 ทำข้อสอบแบบมีตัวเลือก ถ้ามีโจทย์ปัญหาอยู่ 20 ข้อ พวกเขาจะมองมันเป็นโจทย์ปัญหาที่มี 80 ข้อ หน้าที่ของพวกเขาคือค้นหาคำตอบที่ถูกต้อง 20 ข้อ และคำตอบที่ไม่ถูกอีก 60 ข้อ มันน่าขำสุดๆ เวลาได้ยินเสียงเด็กๆ ที่กำลังทำแบบทดสอบข้อสอบมาตรฐานคณิตศาสตร์อยู่ในห้อง เสียงที่ได้ยินบ่อยที่สุดจะเป็นเสียงหัวเราะคิดคักเบาๆ เมื่อเด็กๆ จับผิดอะไรได้บางอย่าง
เด็กๆ ชอบเอาชนะข้อสอบ จึงอดหัวเราะชอบใจไม่ได้เมื่อหากับดักเจออันแล้วอันเล่า

จึงไม่น่าแปลกใจที่ เรฟ เอสควิทได้รับการยกย่องและรางวัลมากมาย อาทิ
- Disney National Outstanding Teacher of the Year Award
- รางวัล Sigma Beta Delta Fellowship จากมหาวิทยาลัย John Hopkins
- รางวัล "Use Your Life Award" เป็นเงิน 100,000 ดอลลาร์สหรัฐ จากโอปราห์ วินฟรีย์
- รางวัล "As You Grow Award" จากนิตยสนิตยสาร,
- Parents Mag-zine zine เหรียญเชิดชูเกียรติ
- National Medal of Arts Natio และเครื่องราชอิสริยาภรณ์จากสมเด็จพระราชินีนาถจากเอลิซาเบธที่ 2


นอกจากนี้เขายังได้เขียนหนังสือเรื่อง "Teach Like Yo Your Hairs on Fire" หนังสือที่หนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทมส์ ยกให้เป็นหนังสือที่ปลุกกระแสการ "ปฏิรูปวิธีการจัดการศึกษาของเด็ก ๆ ในอเมริกา" และ bestseller วิธีการจัดการศึกษาของเด็ก ๆ ในปี 2007

คำนิยมท้ายเล่ม..

"หนังสือเล่มนี้เขียนเล่าเรื่อง(storytelling) จึงมีพลังมาก เป็นหนังสือว่าด้วยวิธีการและศิลปะในการจัดให้นักเรียนได้เรียนรู้อย่างลึกและเชื่อมโยง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรียนจากการลงมือฝึก"
ศาสตราจารย์ นพ. วิจารณ์ พานิช

"(หนังสือเล่มนี้) คือ ตัวจุดประกายแรงใจเพื่อเอาชนะหลากหลายปัญหาของครูโดยแท้ ครูที่หมดไฟ หมดกำลังใจ มองไม่เห็นทางสู้ปัญหา ต้องอ่านหนังสือเล่มนี้"
ดร. วรากรณ์ สามโกเศศ

"ความมุ่งมั่นเพียรพยายามของครูคนหนึ่งที่จะเข้าใจ เข้าถึง และพัฒนานักเรียนอย่างจริงจัง การให้ความสำคัญและยึกมั่นในหลักการที่ว่านักเรียนเป็นศูนย์กลางของการเรียนการสอนอย่างแท้จริง ต่างหากที่เป็นหัวใจของเรื่องราวทั้งหมด"
ศรีวิการ์ เมฆธวัชชัยกุล

"ครูเรฟ เอสควิท มีวิธีการเขียนที่น่าสนใจติดตาม มีวิธีสอนที่ลึกซึ้ง มีเทคนิคใหม่ๆ ที่น่านำมาปรับปรุงใช้กับบริบทของไทย"
มานิจ สุขสมจิตร 

ขอบคุณหนังสือเล่มนี้ที่ทำให้ผมรู้จักความเป็นครูดียิ่งขึ้นมาอีก การเป็นครูไม่ได้สอนเพียงความรู้ให้กับลูกศิษย์เท่านั้น การสอนคนให้เป็นคนนั้นมีคุณค่ายิ่งเสียกว่าอีก สอนให้ลูกศิษย์เป็นคนที่มีคุณภาพและพร้อมด้วยคุณธรรม มีความเมตตาสงสาร เห็นคุณค่าและการเชื่อมโยงของทุกๆ สรรพสิ่งในอนาคตภายภาคหน้า ช่วยพัฒนาท้องถิ่นและประเทศชาติ นั่นคือ "ครูเพื่อศิษย์" ที่แท้จริง

4 ก.พ. 2555

ความฝันของความฝัน(DREAM for DREAM) - ดำรงค์ วงษ์โชติปิ่นทอง

มีคนมากมายที่มี ความฝัน
แต่มีเพียงไม่กี่คนที่สามารถสร้าง ความฝัน
ให้เป็น ความจริง ขึ้นมาได้

มนุษย์เราสามารถใช้ชีวิตให้ประสบความสำเร็จโดยการมีความคิดที่ถูกต้องและการทำที่ถูกต้อง แต่มีคนมากมายที่มีความฝันและต้องการเดินไปสู่จุดหมายที่เราเรียกว่า "ความสำเร็จในชีวิต"
เราเลือกที่จะอยู่ด้วยความเชื่อที่ผิดทุกอย่างและรอให้ฟ้าประทานความสำเร็จมา ให้เราหรือเราเลือกที่จะเดินหน้าทำความฝันของเราให้มันเป็นจริงขึ้นมาด้วยมือของเราเอง

คำนำสำนักพิมพ์
ธ.ค. 52

ผมก็เป็นอีกคนหนึ่งที่รักที่จะมีความฝัน ความฝันที่ตัวเองเชื่อและศรัทธาในความฝันของตัวผมเอง ผมประทับใจหนังสือเล่มนี้มาก เพราะผมเปิดไปเจอประโยคนี้ 'เรื่องราวของมนุษย์ที่มีความรักและต้องการสร้างความฝันให้เป็นความจริง ความฝันจุดเล็กๆ ที่สร้างความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ มีคนมากมายที่มีความฝัน แต่มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ทำให้เป็นความจริง! เข้าใจและเข้าถึงความสัมพันธ์ของมนุษย์และความฝัน'
บางคนกำลังคิด บางคนกำลังฝัน แต่บางคนกำลังเริ่มลงมือทำ
   หนังสือเล่มนี้ได้แบ่งออกเป็นตอนๆ และในแต่ละตอนก็จะมีบทเรียนต่างๆ เขียนฝากไว้ให้ผู้อ่านได้อ่านเก็บมาคิดตาม ปรับใช้ในความฝันของตัวเราเองครับ

1. จุดเริ่มต้นของความฝันเล็กๆ
2. ความฝันของเด็กน้อย
บทเรียนที่ 1 : มนุษย์ทุกคนมีความฝัน แต่มีมนุษย์น้อยคนนักที่สามารถสร้างความฝันให้เป็นความจริงได้
บทเรียน ที่ 2 : มนุษย์บางคนล้มเลิกความฝันง่ายๆ บางคนล้มเลิกตั้งแต่มีความฝัน คนที่ล้มเลิกตั้งแต่ยังไม่ออกเดินทางตามความฝันมักจะไม่พบเจอกับความฝันอีก เพราะคนล้มเหลวมักจะล้มเลิก และคนที่ล้มเลิกก็มักจะล้มเหลว
บทเรียน ที่ 3 : มนุษย์มากมายเกิดมาพร้อมความฝัน แต่มีมนุษย์น้อยคนที่สามารถสร้างความฝันให้กลายเป็นความจริง การสร้างความฝันให้เป็นความจริงนั้น มีวิธีการในรูปแบบของมันเอง คนบางคนไม่เข้าใจถึงวิธีการนั้น ก็ไม่สามารถสร้างฝันให้เป็นความจริงขึ้นมาได้ แม้บางคนจะใช้เวลาทั้งชีวิตก็ตาม คนบางคนเข้าใจผิดคิดว่าจะต้องใช้เวลามากจึงจะทำสำเร็จ แท้จริงมันไม่เกี่ยวกับการใช้เวลาเร็วหรือช้า มันขึ้นอยู่กับว่าเราใช้เวลานั้นเป็นหรือไม่เท่านั้นเอง คนที่สร้างฝันสำเร็จเป็นจริงขึ้นมาได้นั้น เขามักจะทำเวลาเป็นปัจจุบันให้ดีที่สุดเท่านั้นเอง
บทเรียนที่ 4 : มนุษย์ที่ยังเป็นเด็กมักจะมีความฝันเล็กๆ มากมาย เมื่อพบเห็นสิ่งใดสวยงาม ถูกใจ ก็มักจะเก็บนำมาเป็นนำมาเป็นความฝันของตน และเมื่อเด็กเหล่านั้นโตขึ้น มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้น ที่สามารถพัฒนาความฝันเหล่านั้นให้เติบใหญ่ และเป็นความจริงขึ้นมาได้ นั่นเป็นเพราะเด็กหลายคนไม่กล้าที่จะฝันต่อไป เพราะความผิดหวัง เด็กหลายคนโตขึ้นมาแล้วก็ลืมมันไปว่าความฝันของตัวเองคืออะไร เด็กหลายคนถูกใส่ความคิดลบมาจากพ่อแม่โดยไม่รู้ตัว เพราะผู้ปกครองมักบอกอยู่เสมอว่า "ลูกทำไม่ได้หรอก", "ลูกอย่าทำเลย", "มันยากเกินไป สำหรับเรา", "เราเกิดมาจน เราต้องเป็นอย่างนั้น" และความคิดลบเหล่านี้ จึงเป็นจุดเริ่มต้นของความล้มเหลวที่สมบูรณ์ที่สุด
3. การเดินทางของหนูน้อย
บทเรียนที่ 5 : มนุษย์จะประสบความสำเร็จได้ต้องเริ่มจากความคิดก่อน แล้วเมื่อการเริ่มต้นจากความคิดที่ถูกต้องแล้วจะทำให้เราเดินไม่หลงทาง มนุษย์มากมายยังไม่รู้วิธีที่ถูกต้อง มนุษย์มากมายล้มเหลว เพราะเริ่มต้นคิดผิดๆ มนูษย์มากมายล้มเหลว เพราะไม่รู้ว่าวิธีคิดที่ถูกต้องนั้นทำอย่างไร มนุษย์มากมายล้มเหลวเพราะเริ่มด้วยการคิดผิดและการทำผิด นอกจากการเริ่มต้นจากความคิดที่ถูกต้องแล้ว การกระทำที่ถูกต้องก็เป็นเรื่องสำคัญที่จำเป็นต้องใช้วิธีการที่ถูกต้องใน การดำเนินชีวิต
บทเรียนที่ 6 : สิ่งที่ยากที่สุดของมนุษย์ คือ การตัดสินใจ, สิ่งที่ง่ายที่สุดของมนุษย์ ก็คือ การตัดสินใจ
บทเรียนที่ 7 : การตัดสินใจที่ถูกต้องนั้นสามารถฝึกฝนได้ โดยการเริ่มต้นฝึกจากการตัดสินใจจากเรื่องเล็กๆ ก่อน และการตัดสินใจที่ดีที่สุดจะต้องเริ่มต้นจากความคิดที่ถูกต้องที่สุดก่อน
บทเรียนที่ 8 : ความคิดที่ถูกต้องที่สุดก็มักจะเกิดจากการสะสมประสบการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิตมากมาย มีทั้งดีบ้าง และไม่ดีบ้าง ปะปนกันไป และเมื่อสะสมประสบการณ์มากเพียงพอ มนุษย์บางคนก็จะเกิดการเรียนรู้ถึงสัจธรรมที่แท้จริง
บทเรียนที่ 9 : สัจ คือ ความจริง, ธรรม คือ ธรรมชาติ, สัจธรรม คือ ความจริงของธรรมชาติ ที่มนุษย์ควรจะเข้าใจมัน เพราะเราต้องใช้ชีวิตอยู่กับความเป็นธรรมชาติตลอดชีวิต, มนุษย์คนใดที่เข้าใจถึงความจริงของธรรมชาติมากที่สุด มนุษย์คนนั้นจะกลายเป็นมนุษย์คนที่มีความสุขที่สุดในโลก
บทเรียนที่ 10 : สัจธรรมที่แท้จริง มักจะเกิดขึ้นกับคนที่มองโลกด้วยใจเท่านั้น
บทเรียนที่ 11 : มนุษย์ส่วนใหญ่มักจะมองโลกด้วยตา ดังนั้นจึงมีคนเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่สามารถค้นพบสัจธรรมที่แท้จริง
บทเรียนที่ 12 : มนุษย์ทุกคนสามารถค้นพบสัจธรรมที่แท้จริง ทั้งๆ ที่มันอยู่รอบๆ ตัวเรามาตั้งนานแล้ว เพียงแต่เรายังไม่เข้าใจมันเท่านั้นเอง
บทเรียนที่ 13 : มนุษย์มากมายต้องการมีความสุข แต่ความสุขนั้นเกิดขึ้นเฉพาะกับคนที่ค้นพบสัจธรรมที่แท้จริงเท่านั้น
4. อาจารย์โจดัม แห่งสำนักดรีมคัมทรู
บทเรียนที่ 14 : คนล้มเลิกมักจะหาเหตุผลมากมายมาสนับสนุนความล้มเหลว และพยายามทำให้ตัวเองเชื่ออย่างนั้น พวกเขาจะปลูกฝังมันลงไปในจิตใต้สำนึกกับเหตุผลที่พวกเขาทำมันไม่ได้ แล้วพวกเขากก็สามารถทำสำเร็จในการเริ่มต้นของความคิดที่ล้มเหลว เมื่อพวกเขายอมรับความพ่ายแพ้ในตัวเองได้ในครั้งแรก พวกเขาจะยอมรับความพ่ายแพ้ในครั้งถัดมาได้อย่างดี โดยไม่ตะขิดตะขวงใจแม้แต่น้อย เมื่อพ่ายแพ้บ่อยๆ เข้า พวกเขาก็จะกลายเป็นคนที่มีความคิดลบ นานวันเข้าพวกเขาก็จะกลายเป็นคนแพร่เชื้อโรคความคิดลบให้กับทุกคนที่อยู่ใกล้
บทเรียนที่ 15 : คนที่ทำได้มีคนเพียง 1 คน จากทั้งหมด 1,000,000 คน คนคนนั้นจะต้องมีความมุ่งมั่นเหนือคนทั้งหมด เพราะความมุ่งมั่นธรรมดาๆ ก็เพียงความมุ่งมั่นทั่วๆ ไปเท่านั้น ถ้าใครต้องการความสำเร็จที่เหนือคนอื่นๆ ก็จะต้องมุ่งมั่นให้มากกว่าคนอื่นๆ ทั้งหมด
บทเรียนที่ 16 : มีคนเพียง 1 คน จากทั้งหมด 1,000,000 คน ที่สามารถสร้างความฝันให้เป็นความจริงได้ ส่วนคนที่เหลืออีก 999,999 คน ไม่สามารถสร้างความฝันให้เป็นความจริงได้ พวกเขาจะเสียชีวิตไปพร้อมกับความฝันของพวกเขาที่ยังคั่งค้างอยู่ในใจ
บทเรียนที่ 17 : ความสำเร็จไม่มีขาย ถ้ามนุษย์คนใดต้องการความสำเร็จ มนุษย์คนนั้นต้องใช้ความพยายาม ความรู้ ความสามารถ หาวิธีการสร้างความสำเร็จของตนให้เจอ
บทเรียนที่ 18 : ความสำเร็จของมนุษย์แต่ละคนล้วนแตกต่างกัน ความสำเร็จล้วนเป็นเรื่องปัจเจกบุคคลเป็นของส่วนตัว เป็นของใครของมันไม่ซ้ำกันและเลียนแบบกันไม่ได้
5. บันไดขั้นแรงของความสำเร็จ
บทเรียนที่ 19 : การที่มนุษย์ต้องการสร้างความฝันของตัวเองให้เป็นความจริงขึ้นมาทุกคนจะต้อง ผ่านบันไดขั้นแรกเสมอ เราจะต้องปีนบันได้ขึ้นไปถึงขั้นสูงสุดในชีวิตให้ได้ เพราะถ้าเราคิดว่าเส้นทางนั้น คือ จุดหมายที่เราฝันไว้เราจึงไม่ต้องสงสัยเลยว่าเราเดินมาถูกทางแล้ว
6. เป้าหมายชีวิต
บทเรียนที่ 20 : สำหรับคนที่มุ่งมั่นแล้วความฝันกับเป้าหมายทั้งสองสิ่งนี้ไม่แตกต่างกัน เพราะเขาจะลงมือทำทุกอย่างให้ความฝันเป็นจริงขึ้นมา แต่สำหรับบางคนแล้วความฝันมักจะกลายเป็นแค่ความฝัน มันเป็นสิ่งที่พวกเขานึกขึ้นมาเท่านั้น พวกเขาเพียงแต่นึกขึ้นมาหรือนึกต้องการจะมีเหมือนอย่างที่คนอื่นเขามีกัน แต่พวกเขาไม่เคยลงมือทำเลยสักครั้งเดียว นั่นคือ..สิ่งที่แตกต่างกันระหว่างคนมุ่งมั่นกับคนเพ้อฝัน สิ่งแตกต่างนั้น คือ การลงมือทำ และผลลัพธ์ของคนมุ่งมั่นที่ลงมือทำ คือ ความสำเร็จ, ผลลัพธ์ของคนเพ้อฝันที่ไม่เคยลงมือทำ คือ ความล้มเหลว
บทเรียนที่ 21 : วิธีการของความสำเร็จ = หนึ่งมีเป้าหมาย, สองหาวิธีการ, สามเริ่มลงมือทำ เมื่อลงมือทำแล้วอาจจะเกิดได้ทั้งการบรรลุเป้าหมายและการล้มเหลวหรือผิดหวัง คนที่ประสบความสำเร็จมักจะหาวิธีการใหม่ๆ ทุกครั้งที่ผิดพลาด คนที่ประสบความล้มเหลวมักจะล้มเลิกทุกครั้งที่เจออุปสรรค คนที่ประสบความสำเร็จมักจะเรียกความผิดพลาดว่า 'บทเรียน' คนที่ล้มเหลวมักจะเรียกความผิดพลาดว่า 'ความล้มเหลว'
บทเรียนที่ 22 : ทฤษฎีของปาฏิหาริย์ การลงมือทำจะมาก่อนปาฏิหาริย์เสมอ ปาฏิหาริย์จะเกิดขึ้นต่อเมื่อเรารู้วิธีทำที่ถูกต้องเท่านั้น
บทเรียนที่ 22 : มนุษย์คนใดที่มีความฝันและมีความเชื่ออย่างแรงกล้า กระทั่งความเชื่อนั้นเปลี่ยนเป็นศรัทธา นั่นเป็นสิ่งแรกที่เริ่มเข้าใกล้การสร้างฝันให้เป็นจริงขึ้นมาแล้ว เพราะกุญแจดอกแรกที่จะไขประตูแห่งความสำเร็จนั้น คือ การศรัทธาในตัวเอง มันเป็นการเชื่อว่าตนเอง "ทำได้", "ทำได้แน่นอน" ไม่ว่าพบเจออุปสรรคใดๆ ในชีวิตก็ตาม
บทเรียนที่ 23 : ความคิดที่ถูกต้อง ถ้ามนุษย์คนใดมีความต้องการที่จะมีสุขภาพแข็งแรงให้คิดว่า "เรามีสุขภาพแข็งแรง ไม่ใช่เราจะไม่ป่วย" ถ้ามนุษย์คนใดมีความต้องที่จะมีกำลังใจ ให้เราคิดว่า "เราทำได้ ไม่ใช่เราจะไม่เหนื่อย" ความคิดที่ไม่ถูกต้องจะส่งผลให้ มันเป็นแม่เหล็กดึงดูดสิ่งที่ไม่ถูกต้องอย่างนั้นเข้ามาหาเราด้วย มันจะดึงความเจ็บไข้ ความทุกข์ และความเหน็ดเหนื่อยเข้ามาหาเรา โดยที่เราไม่ได้ตั้งใจ
บทเรียนที่ 24 : บันได 5 ขั้น ของเป้าหมายชีวิต = ขั้นที่หนึ่งการจินตนาการอย่างชัดเจน, ขั้นที่สองกำหนดวันเวลาให้แน่นอน, ขั้นที่สามวางแผนวิธีการจากเวลาปัจจุบันให้ถึงเวลาที่กำหนดไว้, ขั้นที่สี่การตอกย้ำทุกวันทุกเวลา, ขั้นที่ห้าการลงมือทำทันที ความสำเร็จจะเกิดขึ้นได้ ถ้าสามารถทำตามขั้นตอนทั้งห้าข้อได้อย่างถูกวิธี ถ้าใครละเลยหรือทำผิดวิธีการข้อใดข้อหนึ่งก็ไม่ประสบความสำเร็จอย่างที่ ต้องการเอาไว้หรืออาจจะใช้เวลานานเกินไปกว่าจะถึงจุดหมาย
บทเรียนที่ 25-29 : บันได 5 ขั้น ของเป้าหมายชีวิต
บทเรียนที่ 30 : การคิดบวกสิ่งที่ทำให้คนมีความสุข และมันสร้างความแตกต่างกับคนมีความทุกข์ได้อย่างไม่น่าเชื่อ
บทเรียนที่ 31 : การคิดบวกสำหรับคนที่ใช้พลังนี้ได้อย่างถูกต้อง มันจะทำให้เกิดพลังดึงดูดสิ่งดีๆ เข้ามาอย่างมหาศาล การคิดบวกที่ถูกวิธีจะทำให้สามารถดึงสิ่งที่ดีเข้ามาหาตัวเราได้ บางครั้งอาจจะไม่มีเหตุผลก็ได้ การคิดบวกมันมีพลังมากมาย พอที่จะเปลี่ยนคนจากคนมีความทุกข์ไปมีความสุขได้
บทเรียนที่ 32 : ทัศนคติที่ต่างกันจะสร้างความสำเร็จที่ต่างกัน ทัศนคติที่ดีจะสร้างการดำเนินชีวิตที่มีความสุข ทัศนคติที่ไม่ดีจะสร้างการดำเนินชีวิตที่เต็มไปด้วยความกังวลใจ คนที่ประสบความสำเร็จมักจะมีทัศนคติที่เหมือนกัน คนที่ล้มเหลวก็มักจะมักจะมีทัศนคติที่เหมือนกัน คนที่ประสบความสำเร็จและคนที่ล้มเหลว มักจะมีทัศนคติที่แตกต่างกัน.
7. บันไดขั้นที่ห้า
เมื่อใดที่เริ่ม ลงมือทำ
เมื่อนั้นก็เริ่ม เข้าใกล้ ความสำเร็จ แล้ว

ความสำเร็จ
คือ
คนที่ ทำทุกอย่าง ที่ตนคิด

คนล้มเหลว
คือ
คนที่คิดทุกอย่าง แต่ ไม่เคยทำ