27 ต.ค. 2554

ประสบการณ์เดิม ที่ผมประสบพบอีกหน(ความสุข ความอดทน ใจของเรานี่เอง)

  สองสามสัปดาห์ที่ผ่านมานี้ผมนั่งอ่านทบทวนหนังสือเล่มก่อนๆที่เคยอ่านมา พร้อมกับนั่งเคลียร์งานเอกสารต่างๆ ในชั้นเรียน เพื่อเตรียมตัวเตรียมการสอนก่อนเปิดเรียนในภาคเรียนที่ 2/2554  โรงเรียนลำปลายมาศพัฒนา จ.บุรีรัมย์
การอ่านหนังสือทบทวนอีกหน มันเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง ทำให้ผมได้เห็นมุมมองใหม่ๆ จากหนังสือเล่มเดิม
- มุมมองที่เห็นหลากหลายด้าน ข้อคิด สิ่งที่นำมาปรับใช้
- มุมมองที่เห็นหัวใจของเรื่องเดิมมากขึ้น เห็นการเชื่อมโยงจากความรู้เดิมที่สั่งสมมา จากระยะเวลาหนึ่ง
- มุมมองใหม่ที่เห็นความปราณีตของการเขียน การใช้คำ การเชื่องโยง

เวลาที่ผมมีความสุข ความสบาย ความโล่งจากภายใน..
ขณะเวลานั้น มองเห็นอะไรก็ใจก็จะเป็นสุข พอมานั่งเขียนงานคีบอร์ดนุ่มเหมือนปุยนุ่น มองเห็นอักษรที่เขียนลงในบทความ เหมือนตัวเองมองเห็นว่าเราจะเขียนออกมารูปแบบใด ที่ทำให้ท่านผู้อ่านคล้อยตาม มีอารมณ์มีความรู้สึกร่วมกับงานเขียนของเรา
ความคิดบวก(Positive Thinking) มักทำให้เราเกิดจินตนาการเชิงลึกและสร้างสรรค์บ่อยครั้ง
ยิ่งถ้าเราเห็นมุมมองของตัวอย่างที่เราพบเจอด้วยตัวเอง อ่านเจอจากเรื่องราวที่เราประทับใจ เราก็มักจะเชื่อมโยงความรู้สึกนั้นมาเสริมกับความรู้เดิมของเราที่เราคิดบวกไว้ แล้วมันก็มักจะกลายเป็นจิตนาการอันบรรเจิด

  วันที่ 24 ตุลาคม 2554 เวลาประมาณ 3 ทุ่มกว่าๆ ผมหยิบบันทึกของผมขึ้นมาเขียนเรื่องหนึ่งที่ผมเคยอ่านเจอมาก่อนเมื่อหลายปีที่แล้ว สมัยเรียนอยู่มัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนนาแกสามัคคี จ.นครพนม ตอนนั้นเองผมค้นหาคำว่า 'พระไพศาล วิสาโล' ใน youtube.com จากนั้นผมก็เลือกเรื่องการบรรยายธรรมะของพระอาจารย์ท่าน
  ท่านพูดสอนเรื่อง 'ทุกข์แท้แก้ที่ใจของเรา' ซึ่งเป็นเรื่องเดียวกับที่ผมเคยอ่านเจอในหนังสือมงคลชีวิต : มงคลที่ 27(พระสมชาย ฐานวุฑฺโฒ : 246-247) เรื่องที่ได้ฟัง/ได้อ่านมานั้น เรื่องมีอยู่ว่า..
   พระปุณณะเดิมเป็นชาวสุนาปรันตะ ไปค้าขายที่เมืองสาวัตถีได้ฟังเทศน์จากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เกิดความเลื่อมใสศรัทธาจึงออกบวช
ครั้นบวชแล้วการทำสมาธิภาวนาไม่ได้ผล เพราะไม่คุ้นกับสถานที่ ท่านคิดว่าภูมิอากาศที่บ้านเดิมของท่านเหมาะกับตัวท่านมากกว่า จึงทูลลาพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
พระสัมมาสัมพุทธเจ้า รับสั่งถามว่า
"เธอแน่ใจหรือ ปุณณะ, คนชาวสุนาปรันตะนั้นดุร้ายมากนักทั้งหยาบคายด้วย เธอจะทนไหวหรือ"
"ไหวพระเจ้าข้า"
"นี่ปุณณะ ถ้าคนพวกนั้นเขาด่าเธอ เธอจะมีอุบายอย่างไร"
"ข้าพเจ้าก็จะคิดว่าถึงเขาจะด่าก็ยังดีกว่าเขาตบต่อยด้วยมือพระเจ้าข้า"
"ถ้าเผื่อเขาต่อยเอาล่ะ ปุณณะ"
"ก็ยังดีพระเจ้าข้า ดีกว่าเขาเอาก้อนดินข้วางเอา"
"ก็ถ้าเขาเอาก้อนดินขว้างเอาล่ะ"
"ข้าพระองค์ก็จะคิดว่า ก็ยังดีพระเจ้าข้า ดีกว่าเขาเอาไม้ตะพดตีเอา"
"เออ ถ้าเผื่อเขาหวดด้วยตะพดล่ะ"
"ก็ยังดีพระเจ้าค่ะ ดีกว่าถูกเขาแทงหรือฟันด้วยหอกดาบ"
"เอาล่ะ ถ้าเผื่อคนพวกนั้นเขาจะฆ่าเธอด้วยหอกด้วยดาบล่ะ ปุณณะ"
"ข้าพระองค์ก็จะคิดว่า มันก็เป็นการดีเหมือนกัน พระเจ้าข้า"
"ดีอย่างไร ปุณณะ"
"ก็คนบางพวกที่คิดอยากตาย ยังต้องเสียเวลาเที่ยวแสวงหาศัสตราวุธมาฆ่าตัวเอง แต่ข้าพระองค์ มีโชคดีกว่าคนพวกนั้น ไม่ต้องเสียเวลาไปเที่ยวหาศัสตราวุธอย่างเขา"
"ดีมาก ปุณณะ เธอคิดได้ดีมาก เป็นอันตกลง เราอนุญาตให้เธอไปพำนักทำความเพียร ที่ตำบลสุนาปรันตะได้"
   พระปุณณะกลับไปเมืองสุนาปรันตะแล้ว ทำความเพียร ในไม่ช้าใจก็หยุดนิ่ง เข้าถึงพระธรรมกายไปตามลำดับ จนได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์
นี่คือเรื่องของพระปุณณะ นักอดทนตัวอย่าง ซึ่งอดทนได้โดยวิธีเชิดอารมณ์ที่มากระทบนั้นให้สูงขึ้น.

  เรื่องของพระปุณณะผมเคยนำไปเล่าให้นักเรียนฟังหลายชั้นที่ผมสอน เล่าสอดแทรกแง่คิดเรื่องความอดทนและการยกระดับของอารมณ์

  อีกเรื่องหนึ่งที่ผมประทับใจมากๆ ทุกครั้งที่นึกถึงเรื่องความอดทน ความเพียร ที่ท่านทำได้ยาวนานเป็นเวลาหลายต่อหลายปี ท่านก็คือ 'พระเตมีย์'
ผมมีโอกาสได้สอนคณิตศาสตร์ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ใน Quarter 2 นักเรียนชั้น ป.6 เรียนเรื่องนิทาน ทศชาติ 10 ชาติ ในรายวิชาภาษาไทย และผมก็ได้มีโอกาสฟังเรื่องราวจากครูสังข์(นายนิคม ศาลาทอง)และนักเรียนชั้น ป.6 บางคนเล่าให้ฟังถึงความมานะ อดทน ที่ต้องยอมบำเพ็ญเพียรของพระเตมีย์ เรื่องมีอยู่ว่า..
   เมื่อครั้งพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังทรงบำเพ็ญบารมีเป็นพระโพธิสัตว์อยู่ มีอยู่ชาติหนึ่ง
พระองค์เกิดเป็นโอรสกษัตริย์นามว่าพระเตมีย์ ขณะอายุได้ ๖-๗ ขวบ ได้เห็นพระราชบิดาสั่งประหารโจรโดยใช้ไฟครอกให้ตาย ด้วยบุญบารมีที่ทำมาดีแล้ว ทำให้พระเตมีย์ระลึกชาติได้ว่าภพในอดีตพระองค์ก็เคยเป็นกษัตริย์ และก็เคยสั่งประหารโจร ทำให้ต้องตกนรกอยู่ช้านาน จึงคิดว่า ถ้าชาตินี้เราต้องเป็นกษัตริย์อีก ก็ต้องฆ่าโจรอีก แล้วก็จะตกนรกอีก
   ตั้งแต่วันนั้นมา พระเตมีย์จึงแกล้งทำเป็นใบ้ ทำเป็นอ่อนเปลี้ยเสียขาไม่ขยับเขื้อนร่างกายพระราชบิดาจะเอาขนมเอาของเล่นมาล่อ ก็ไม่สนใจ จะเอามดมาไต่ ไรมากัด เอาไฟมาเผารอบตัวให้ร้อน เอาช้างมาทำท่าจะแทงก็เฉย ครั้งถึงวัยหนุ่ม จะเอาสาวๆ สวยๆ มาล่อ ก็เฉยเพราะคำนึงถึงภัยในนรก หิริโอตตัปปะเกิดขึ้นเต็มที่ จึงมีความอดทนอยู่ได้
  นานวันเข้าพระราชบิดาเห็นว่า ถ้าเอาพระเตมีย์ไว้ก็จะเป็นกาลกิณีแก่บ้านเมือง จึงสั่งให้คนนำไปประหารเสียนอกเมือง เมื่อออกมาพ้นเมืองแล้ว พระเตมีย์ก็แสดงตัวว่าไม่ได้พิการแต่อย่างใด มีพละกำลังสมบูรณ์พร้อม แล้วก็ออกบวช ต่อมาพระราชบิดา ญาติพี่น้อง ประชาชนก็ได้ออกบวชตามไปด้วยและได้สำเร็จฌานสมาบัติกันเป็นจำนวนมาก.

หลายครั้งที่ผมนั่งตั้งจิตภาวนาให้จิตใจผ่อนคลาย สงบลง เยือกเย็นให้ทุกขณะจิต
หลายครั้งที่หยิบหนังสือธรรมะขึ้นมาอ่าน สอนใจ แล้วบ่อยครั้งก็จะเขียนเก็บเรื่องราวต่างๆ ที่ประทับใจเก็บเอาไว้ เอามาเขียนเล่าต่อให้ผู้ที่เข้ามาอ่านได้รับรู้สึกดีๆ ที่น่าประทับใจนั้นกลับไปด้วยความปิติ
หลายครั้งที่ผมเปิดคอมฯ เข้าไปฟังธรรมะตามเว็บต่างๆ หรือปรัชญาชีวิต
หลายครั้งที่ผมขับรถไปฟังธรรมะที่วัดหรือสถานที่สำคัญเกี่ยวกับศาสนา
หลายครั้งเวลาประจวบเหมาะพอดีที่ได้ฟังธรรมะ ไม่ว่าจะเป็นจากพระหรือผู้ที่มีความรู้ ความเชี่ยวชาญ ทางด้านศาสนา

มีเหตุการณ์ครั้งหนึ่งที่ผมนอนลงแล้วรู้สึกว่าตัวเองนอนหลับอย่างมีความสุขมากในค่ำคืนนั้น เพราาะก่อนนอนวันนั้นผมนั่งสมาธิ สวดมนต์ภาวนา แล้วก็แผ่เมตตา เสร็จแล้วก็นอนลงอย่างช้าๆ อย่างปิติสุขใจ
พอผมตื่นขึ้นมารู้สึกว่าตัวเราเบาสบาย รู้สึกดีและมีความสุขอยู่ภายใน
หลังจากวันนั้นเป็นต้นมา
ผมก็ทำเป็นกิจวัตรมาจนถึงทุกวันนี้..
ทุกวันก่อนนอนและหลังจากตื่นนอน ให้ท่านลองบอกตัวเองว่า..

...ฉันเบาสบาย...ฉันผ่อนคลาย...และฉันจะมีความสุข...

19 ต.ค. 2554

ปรัชญาชีวิต ข้อคิดให้ตื่นรู้ ใช้ชีวิตที่มีอยู่อย่างมีความหมาย

  ผมบอกตัวเองทุกครั้งที่ลืมตาตื่นขึ้นมา ว่าตัวของผมโชคดีขนาดไหนแล้ว ที่ตื่นขึ้นมาเรายังมีลมหายใจ ได้มีโอกาสใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่ากับทุกสรรพสิ่งที่รายรอบตัวอีกวัน
มีคนเคยบอกผมไว้ว่า การตื่นนอนครั้งแรกเป็นการตื่นรู้ ถ้าหากเราตื่นขึ้นมาแล้ว อันดับแรกที่เราควรทำคือ ให้เราลุกขึ้นมาจากเตียงนอนอย่างปิติสุขใจ ถ้าหากเราตื่นแล้วพยายามนอนต่อ การตื่นนอนอีกครั้งนั้นร่างกายเราจะรู้สึกอ่อนเพลียไม่อยากลุก ไม่กระปรี้กระเปร่า ขาดความสดชื่น เพราะร่างกายของเราพักนานเกินความต้องการของร่างกายเรา พอตื่นนอนให้เดินออกไปยืนอยู่ตรงหน้ากระจก แล้วส่งยิ้มให้ตัวเองด้วยใจสานใจ(ถ้าไม่ได้ก็ต้องพยายามฝืนมันให้ยิ้มให้ได้!) วันนั้นจะเป็นวันที่สดใสของเราอีกวันหนึ่ง หรืออีกกรณีหนึ่งผมได้ฟังมาจากท่าน ว.วชิรเมธี ทุกครั้งที่เราตื่นนอนรู้สึกตัว ให้บอกตัวเองว่า 'วันนี้เป็นวันสุดท้ายของชีวิต' ให้เรารู้จักความตาย นำด้านดีของความตายมาเป็นแรงพลักให้ชีวิตเราขับเคลื่อนไปด้วยความหมาย ให้ระลึกเสมอว่าชีวตเราคุ้มค่าขนาดไหนที่ได้มีลมหายใจ
  ตอนนี้ผมอายุ 25 ปี ผมเริ่มสนใจการอ่านหนังสือมาเกือบ 2 ปี ช่วงชีวิตที่ผ่านมา 23 ปี ผมไม่ได้สูญเสียโอกาสในการอ่านหนังสือเลย แต่ผมกลับคิดว่าตัวของผมโชคดีที่ได้ผ่านอุปสรรคมามากมาย ได้เรียนรู้เพื่อก้าวผ่านมัน จนกระทั่งได้พานพบเจอความสำเร็จมากมาย และผมก็ได้เรียนรู้เพื่อก้าวผ่านมัน
  ผมอ่านหนังสือแล้วเจอประโยคดลใจ จากบุคคลของโลกในอดีตหรือยังมีชีวิตดำรงอยู่ ผมจะเขียนประโยคที่ชอบ แล้วสรุปสิ่งที่ได้เก็บไว้ในสมุดบันทึกของผม เพื่อนำมาทบทวนมาปรับใช้ นำมาสานต่อให้เกิดประโยชน์
'การแสวงหาความสุขให้ตนเอง คือ การค้นพบหาทนทางอันมีคุณค่ายิ่งให้กับตัวเอง ถ้าเรามีความสุขเป็นต้นเหตุของความสุขหรือการทำให้คนอื่นเชื่อว่าตัวเขาเอง เป็นต้นเห็ตุของความสุข นั่นแหละคือ เคล็ดลับของความสุข'
ทุกประโยคดลใจเหล่านี้ มีคุณค่ายิ่งที่หลายๆคนอ่านแล้ว อาจจะเป็นประโยคคลิ๊กหรือปลดล็อก ให้ชีวิตเกิดการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่งอกงาม..

     ลีโอ ตอลสตอย หรือ Count Leo Nikolayevich Tolstoy นักเขียนที่ได้รับการขนานนามว่าเป็นเพชรน้ำเอกแห่งวรรณกรรมโลก มีผลงานอันเป็นอมตะ คือ สงครามและสันติภาพ (War & Peace) แอนนา คาเรนินา (Anna Karenina) คนกับนาย : (Master And Man) ความตายของอีวาน อิลลิช (The Death of Ivan Ilyich)
 ตอลสตอย เคยเขียนตั้งคำถามให้คิดไว้ว่า..
'ใคร คือ คนสำคัญที่สุด
งานใด คือ งานสำคัญที่สุด
เวลาใด คือ เวลาที่ดีที่สุด'
  ตอลสตอย ตั้งคำถามนี้ผ่านเรื่องสั้นเรื่องหนึ่งและตอนท้ายสุดเขาก็เฉลยไว้ว่า..
"คนสำคัญที่สุด คือ คนที่อยู่เบื้องหน้าเรา
งานสำคัญที่สุด คือ งานที่เรากำลังทำอยู่ขณะนี้
เวลาสำคัญที่สุด คือ เวลาปัจจุบันขณะ"

   หลายครั้งที่ผมได้มีโอกาสไปนั่ง วงสนทนากับผู้รู้มากมายหลายท่านล้วนแล้วแต่เกิดประโยชน์มากมายเกินกว่าที่ผม จะไปแสวงหาอ่านจากหนังสือหรืออินเตอร์เน็ตได้..

     วันนั้นในวงสนทนาผมได้ฟังเรื่องนั่งวิ่งมาราธอนคนหนึ่งซึ่งเราไม่มีใครทราบ ชื่อเขาแน่ชัดกันเลย แต่รู้ว่าเขาไม่ใช่ผู้ชนะเลิศและเขาก็ไม่ได้ทำลายสถิติใดๆ เลยในการแข่งขัน เขามาถึงเส้นชัยเป็นคนสุดท้ายด้วยซ้ำและเพราะเหตุนั้นโลกถึงต้องจารึกเขาไว้ ในประวัติศาสตร์
    พอผมกลับมาถึงห้องผมก็เปิดอ่านหนังสือเล่มหนึ่งอ่าน ผู้เขียนคือ 'พระไฟศาล วิสาโล' เขียนเกี่ยวกับนักวิ่งคนนี้พอดี เขาคือ 'จอห์น สตีเฟน อัควารี' เขาเป็นตัวแทนประเทศแทนซาเนีย เขาวิ่งฝ่าความมืดมายังสนามกีฬาอย่างกะโผลกกระแผลก ขาข้างขวาของเขาอาบนองไปด้วยเลือดและพันด้วยผ้าพันแผล
    เขาเป็นนักวิ่งมาราธอน แต่เหรียญทองโอลิมปิกปี พ.ศ.2511 ได้มอบแก่ผู้ชนะไปกว่าครึ่งชั่วโมงแล้ว ผู้ชมเริ่มทยอยกลับบ้านกันไปเกือบหมดจนสนามแทบร้าง แต่เขาก็ยังอุตส่าห์พาสังขารมาถึงเส้นชัยในที่สุด..

ต่อมาได้มีผู้สื่อข่าวเข้ามาถามเขาว่า เหตุใดเขาจึงไม่หยุดวิ่งทั้งๆ ที่ไม่มีโอกาสที่จะชนะแล้ว
เขาวิ่งมาเหนื่อยๆ งุนงงสักพัก แล้วตอบไปว่า
"ประเทศของผมไม่ได้ส่งผมมาเพื่อออกสตาร์ท แต่ส่งผมมาเพื่อวิ่งให้สำเร็จ"


โทมัส เอดิสัน นักวิทยาศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่
เคยกล่าวเาไว้ว่า..
"ข้าพเจ้าไม่เคยทำสิ่งใดที่มีค่าได้สำเร็จ โดยเหตุบังเอิญเลยแม้สักชิ้นเดียว เมื่อข้าพเจ้าตัดสินใจเด็ดขาดว่าจะทำสิ่งใดที่จะได้รับผลสำเร็จที่มีค่าแล้ว ข้าพเจ้าจะตั้งหน้าตั้งตาทำในสิ่งนั้น ทดลองแล้วทดลองเล่า จนประสบผลสำเร็จในที่สุด"
 ครั้งหนึ่งผู้ช่วยของเอดิสัน 2 คน พากันตัดสินใจเดินเข้ามาบอกเอดิสันด้วยความท้อใจว่า..
"เราทดลองมาครั้งนี้เป็นครั้งที่ 700 แล้ว เราก็ยังไม่ประสบความสำเร็จกันเลย เราน่าจะหยุดทดลองต่อกันได้แล้ว"
เมื่อได้ฟังดังนั้น เอดิสันก็ตอบผู้ช่วยทั้ง 2 คน นั้นไปว่า
"ยัง! เรายังไม่ได้ล้มเหลว เพราะเราได้เรียนรู้แล้วว่าอะไรผิด ภ้าเราทำครั้งใหม่ เราจะไม่ทำซ้ำกับ 700 ครั้งที่เราล้มเหลว เรากำลังจะถึงเป้าหมายของการทำงานของเราแล้ว" และอีกไม่นานโทมัส เอดิสัน กับผู้ช่วยก็พากันทดลองจนประสบผลสำเร็จในการค้นคว้าของเขา


โรเจอร์ แบนนิสเตอร์ นักวิ่งชาวอังกฤษ..
  เขาเป็นคนแรกในโลกที่วิ่งระยะทางหนึ่งไมล์ ด้วยเวลา 3.59 นาที ความสำเร็จของเขามีไม่มากไม่น้อยไปกว่านี้ เดี๋ยวนี้มีนักวิ่งมากมายที่ใช้เวลาน้อยกว่าเขาเสียอีก แม้กระทั่งชัยชนะของเขาเมื่อกว่า 50 ปีที่แล้ว ก็ยังควรค่าแก่การจารึกในประวัติศาสตร์ ทั้งนี้เพราะเขาได้ทำลาย 'กำแพง' ที่ขวางกั้นมนุษย์มาช้านาน
 เป็นเวลาหลายพันปีที่ผู้คนเพียรพยายามวิ่ง 1 ไมล์ โดยใช้เวลาน้อยกว่า 4 นาที แต่ไม่เคยมีใครทำสำเร็จ จนเกิดเป็นความเชื่อฝังใจว่ามนุษย์เรามีขีดจำกัดเพียงแค่นี้ ไม่มีทางที่เราจะข้ามพ้นกำแพงดังกล่าวได้ แต่แบนนิสเตอร์ได้พิสูจน์ว่า มนุษย์เรามีศักยภาพมากกว่านั้นและกำแพงดังกล่าวที่แท้จริงเป็นสิ่งที่เราสร้างขึ้นเอง หลังจากกำแพงดังกล่าวถูกแบนนิสเตอร์ทำลายลงไป นักกีฬาคนแล้วคนเล่าก็ทยอยทำลายสถิติการวิ่ง จนดูราวกับว่าศักยภาพของมนุษย์เราจะไม่มีขีดจำกัด ขอเพียงแต่ไม่สยบยอมต่อกำแพงในใจเท่านั้น
  ความสำเร็จอันยิ่งใหญ่นั้นไม่ได้อยู่ที่การเนรมิตประดิษฐกรรมอันน่าอัศจรรย์ หรือการกู้ชาติสร้างประเทศเสมอไป การบันดาลใจให้ผู้คนก้าวข้ามพ้นขีดจำกัดของตนเอง ก็เป็นคุณูปการสำคัญต่อโลกเช่นกัน
 นี่แหละคือผลงานอันทรงคุณค่าของ แบนนิสเตอร์ ที่ประวัติศาสตร์ต้องจารึกไว้ 
ปิดท้ายในตอน 'ชัยชนะที่ยิ่งใหญ่' ตอนสุดท้ายแบนนิสเตอร์กล่าวไว้งดงามมากครับ..
มนุษย์ทุกคนมีศักยภาพมากมายเหลือประมาณ
แถมยังพัฒนาให้เพิ่มพูนขึ้นได้
แต่ศักยภาพดังกล่าวไม่ค่อยถูกนำมาใช้อย่างเต็มที่
เพียงเพราะความเชื่อว่า 'ฉันทำไม่ได้'
 
 
 อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ นักวิทยาศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่ของโลก..
       ไอน์สไตน์เป็นคนไม่หลงใหลไปกับคำสรรเสริญเยินยอ ชื่อเสียงเกียรติยศ ไม่สนใจทัรพย์สินเงินทอง ไม่รู้สึกทุกข์ร้อนอะไรที่ทรัพย์สินในเยอรมนีที่ถูกพวกนาซียึดไปจนหมด
    วันที่เขาย้ายไปดำรงตำแหน่งศาสตราจารย์ในสหรัฐฯ จำนวนเงินเดือนที่เขาเรียกร้องในแบบฟอร์มน้อยกว่าเงินเดือนของนักการภารโรงที่นั่นเสียอีก..
เขาเคยเขียนไว้ว่า..
'ที่ผมมีความสุขอยู่ทุกวันนี้ ก็เพราะผมไม่เคยอยากได้อะไร ไม่สนใจเงินทอง ตำแหน่ง คำยกย่อ เหรียญประดับหรืออำนาจเกียรติยศใดๆ สิ่งที่ทำให้ผมมีความสุข คือ การได้ทำงาน การสีไวโอลิน และการเล่นเรือใบ'

กิอาดีนี นักไวโอลีนที่ยิ่งใหญ่
ครั้งหนึ่งมีคนถามเขาว่า..
"คุณใช้เวลาฝึกไวโอลินนานแค่ไหน จึงสามารถเล่นไวโอลินได้ดีถึงเพียงนี้"
เขาตอบว่า..
"ข้าพเจ้าฝึกวันละ 12 ชั่วโมง เป็นเวลา 20 ปี"

 
คริสโตเฟอร์ รีฟ 
เขาเป็นผู้ชายที่ชาวโลกรู้จักดีที่สุดในบท 'ซุปเปอร์แมน' บนจอจอเงิน ประสบอุบัติเหตุจากหลังม้า ทำให้เขากลายเป็นอัมพาตตั้งแต่ลำคอลงมา เขาเคยกล่าวไว้ว่า..
"ความฝันของเรามากมายดูเป็นไปไม่ได้ในทีแรก แล้วมันดูเหมือนไม่น่าจะเกิดขึ้น และแล้วเมื่อเรามุ่งมั่นแน่วแน่ ในมิช้ามักก็กลายเป็นสิ่งที่หนีไม่พ้นที่จะกลายเป็นจริง"
 
มหาตะมะ คานที นักต่อสู้ผู้ยิ่งใหญ่ชาวอินเดีย 
เคยกล่าวเอาไว้ว่า..
"ความสำเร็จของคนเรา ไม่ได้อยู่เมื่อเราไปถึงเป้าหมาย แต่อยู่ระหว่างความพยายามที่จะไปให้ถึงเป้าหมาย ยิ่งความพยายามทุ่มเทลงไปมากเท่าไร ความยิ่งใหญ่ยิ่งมากเท่านั้น"

   วินเลียม เจมส์ นักปรัชญาเอกผู้ยิ่งใหญ่..
เคยกล่าวประโยคหนึ่งที่งดงามมาก ไว้ว่า..
"มนุษย์ส่วนใหญ่ ถูกโปรแกรมให้รู้สึกเหนื่อย เมื่อถึงเวลาเหนื่อย มนุษย์เราใช้พลังน้อยกว่าที่มีอยู่จริง หากคุณผลักความเหนื่อยออกไปสักนิด คุณจะได้งานมากกว่าเดิมอย่างไม่น่าเชื่อ"

   ความยากลำบากของอุปสรรคเป็นด่านที่ขวางทางเราทุกคน ช้าหรือเร็วก็ต้องพานพบมัน มนุษย์เราพานพบอุปสรรคทุกวัน คนที่พ่ายแพ้ คือ คนที่ใจยอมแพ้ก่อนที่จะสู้กับความเจ็บปวด ความขมขื่น ถ้าหากเรามองอุปสรรคเห็นคุณค่าของมัน เป็นพลังนำมาล่อเลี้ยงหัวใจ ให้เป็นพลังขับเคลื่อนของชีวิต คนชนะไม่ได้ชนะเพราะเก่งกว่า แต่เพราะเขาไม่ยอมแพ้ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม..
   คนทุกคนย่อมมีวิถีชีวิตที่แตกต่างกัน เราจึงไม่ควรสร้างปมด้อยให้กับตัวเอง ด้วยการเปรียบเทียบชีวิตของตนเองกับชีวิตของผู้อื่น ให้เราคิดเสมอว่าตัวเรานี่แหละคือ ของจริง
  จงมองโลกตามสภาพความเป็นจริงที่มีทั้งความดีและความเลว มีนักบุญและคนบาป
ถ้าหากเรามองทุกสิ่งชัดเจน เราจะเข้าใจธรรมชาติที่แท้จริงของสรรพสิ่ง...

5 ต.ค. 2554

อย่า! ลดคุณค่าและหมดศรัทธา กับความสามารถในตัวของคุณเอง...

  หลายครั้งที่ผมเคยรอคอยความหวัง รอคอยความหวังนั้นซึ่งก็ยังไม่รู้ว่ามันจะมาถึงเมื่อไหร่ 
บางครั้ง เรื่องบางอย่าง ตัวของผมเองสามารถช่วยตัวเองได้อยู่แล้ว แต่ก็ยังรอคอยความหวังนั้น 
มีเหตุการณ์อยู่ครั้งหนึ่ง สมัผมอายุ 7 ขวบ ผมไปอยู่ที่ทุ่งนากับครอบครัว ผมอยากกลับบ้านเพื่อไปดูการ์ตูนโดราเอมอล ผมไม่กล้าเดินกลับบ้านคนเดียว(เพราะผมกลัวผีมาก คุณตาของผมชอบเล่าให้ผมฟังตอนเป็นเด็กบ่อยครั้ง)
แต่วันนั้นพ่อ แม่ พี่สาว และญาติพี่น้อง ทุกคนต้องลงนา เพื่อทำนาช่วยกันในช่วงเช้าหลังทานข้าวเสร็จ ผมจึงตัดสินใจเดินกลับบ้านคนเดียว โดยที่ไม่รอใครเพื่อที่จะให้ไปส่งผม และผมก็ผ่านมันมาได้
เป็นเหตุการณ์ที่ผมมีความภาคภูมิใจในตัวเองมาก ที่ผมสามารถเผชิญเดินผ่านถนนสายนั้นที่ผมไม่กล้าที่จะย่างก้าวเดินผ่านมาก่อนหน้านั้นเลย แล้วผมเดินผ่านมันได้ด้วยตัวของผมเอง โดยไม่ต้องรอใครมาช่วยผม
ครั้งนั้น..ก็เป็นบทเรียนชีวิตหนึ่งของผม ที่ผมไม่เคยลืมเลือนมาจนถึงทุกวันนี้..
   ผมเคยนำเหตการณ์ครั้งหนึ่งมาเล่าให้นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6/2553 โรงเรียนลำปลายมาศพัฒนา ฟังก่อนกลับบ้านในช่วงเย็นของวันนั้น เรื่องมีอยู่ว่า..
   ชายชราคนหนึ่งนับถือพระเจ้ามากๆ อยู่มาวันหนึ่งเกิดน้ำท่วมในหมู่บ้านฉับพลัน ชาวบ้านต่างพากันอพยพออกจากหมู่บ้านกันอย่างกลาหล เพื่อนบ้านตะโกนให้ชายชราผู้นี้หนีน้ำท่วมไปด้วยกัน
ชายชราตะโกนแล้วก็ตอบไปว่า 'ไม่ไปหรอก! เดี๋ยวพระเจ้าก็มาช่วยข้า'
  น้ำท่วมสูงขึ้นเรื่อยๆ จนถึงคอชายชรา มีชาวบ้านกลุ่มหนึ่งพายเรือมาดูว่ายังมีใครติดอยู่ในหมู่บ้านหรือไม่ ก็มาเจอชายชราจึงชวนขึ้นเรือไปด้วยกัน
ชายชราก็เลยตะโกนตอบไปอีกว่า 'ข้าไม่เป็นไรหรอก! เดี๋ยวพระเจ้าก็มาช่วย'
  น้ำเริ่มท่วมสูงขึ้นๆ จนมิดตัว บ้านเหลือเพียงหลังคาบ้าน ชายชราก็ต้องขึ้นมาอยู่บนหลังคาบ้าน
มีเฮลิคอปเตอร์ผ่านมาสำรวจดูว่ายังมีใครหลงเหลืออยู่ในหมู่บ้านบ้าง ก็มาเจอชายชราติดน้ำท่วมอยู่บนหลังคาเจ้าหน้าที่บนเฮลิคอปเตอร์ปล่อยบันไดลงมาให้ชายชรา และพูดผ่านโทรโข่ง ท่านรีบเกาะบันไดขึ้นมาเร็ว ชาวบ้านหนีออกจากหมูบ้านกันไปหมดแล้ว เหลือท่านคนเดียว
ชายชราตะโกนตอบไปว่า 'ข้าไม่เป็นไรหรอก! เดี๋ยวพระเจ้าก็มาช่วยข้า' ทันทีที่ตอบเสร็จ น้ำที่เชี่ยวกราดก็พัดพาร่างของชายชราจมน้ำหายไป
  เมื่อชายชราเสียชีวิต ได้ขึ้นสวรรค์ และได้พบกับพระเจ้า ชายชราก็ตัดพ้อต่อว่าพระเจ้าเป็นการใหญ่ว่า 'ข้าอุตส่าห์ยึดมั่นถือในคุณงามความดี และเชื่อถือท่านอย่างเคร่งครัดตลอดมา เวลาข้าเดือดร้อนรอความช่วยเหลือช่วยเหลือจากท่าน ทำไมท่านไม่มาช่วยเหลือข้าเลย ปล่อยให้ข้าตายได้ เสียแรงที่นับถือท่านมาตลอดชีวิต'
  พระเจ้าได้ดังนั้น จึงตอบกลับไปว่า 'ทำไมเราจะไม่ช่วยเล่ะเราส่งคนไปช่วย ท่านก็ไม่ไป ส่งเรือไปรับ ท่านก็ไม่ไป 
สุดท้ายส่งเฮลิคอปเตอร์ไปช่วย ท่านก็ไม่ไปอีก แล้วท่านจะให้เราช่วยท่านอย่างไรอีก'

  เรื่องบางอย่างเราอาจจะเคยลดคุณค่าในตัวเราเองลง โดยที่เราไม่รู้
ความสามารถในตัวเรามีอยู่มากมาย แต่บางทีเราอาจจะรอคอยเพียงความหวังบางอย่าง ที่เราคิดว่ามันจะเข้ามาช่วยเราได้ บางทีก็ได้แต่เพียงรอๆ ไปจนตาย เช่นดังชายชราผู้นี้นะครับ..

  ครั้งหนึ่งผมรู้สึกท้อมากๆ จนหมดพลัง หมดความหวังทุกอย่าง ผมบอกตัวเองว่า 'ตัวเราทำไมถึงไร้ค่าอย่างนี้!'พอผมได้เปิดเมลดูวันนั้น ผมได้รับข้อความหนึ่งจากเพื่อนๆ คนที่รู้กัน ผมสรุปข้อความที่เป็นกำลังใจให้ผมรู้สึกว่าตัวผมเองยังไม่หมดคุณค่า ดังนี้..
   มีนักกระบวนกรท่านหนึ่งได้เริ่มกิจกรรมจัดอบรมของเขา โดยการหยิบแบงค์ 1,000 บาท ขึ้นมาในห้องที่มีผู้เข้าร่วมอบรมประมาณ 60 คน แล้วเขาก็พูดว่า 'ใครอยากได้แบงค์ 1,000 บาท นี้บ้างครับ?' ผู้เข้าร่วมรับฟังยกขึ้นเป็นจำนวนมากและเขาก็พูดต่อว่า 'ผมจะให้เงินแบงค์ 1,000 บาท นี้แก่หนึ่งในพวกท่าน แต่ครั้งแรกนี้ผมจะทำอย่างนี้!'
เขาเริ่มที่จะขยำๆ เงินนั้นแล้วเขาก็ถามอีกว่า 'ใครจะยังต้องการมันอีก' ยังคงมีมือที่ยกขึ้นอีก
'ดีครับ!' เขาตอบ 'แล้วถ้าผมทำอย่างนี้ล่ะ' และเขาก็ทิ้งมันลงที่พื้นและเริ่มที่เหยียบย่ำมันด้วยรองเท้าของเขา
แล้วเขาก็เก็บขึ้นมา ขณะนี้มันทั้งยับยู่ยี่และสกปรก 'ตอนนี้ใครยังต้องการมันอีกไหมครับ?' ก็ยังคงมีคนยกมืออีก
เขาก็เลยบอกกับผู้เข้าร่วมอบรมว่า.. พวกท่านได้เรียนรู้บทเรียนที่มีคุณค่ามากที่สุดบทหนึ่งแล้วว่า ไม่ว่าฉผมจะทำอะไรกับเงิน ท่านก็ยังต้องการมันอยู่ดี เพราะว่ามันไม่ได้ลดคุณค่าในตัวมันลงเลย มันก็ยังคงมีค่า 1,000 บาท อยู่เช่นเคย
เหมือนกับหลายๆ ครั้งในชีวิตของพวกเราที่ถูกทิ้ง ถูกเหยียบย่ำและถูกทำให้สกปรก
โดยสิ่งที่เราตัดสินใจทำมันและสภาพแวดล้อมที่เราเจอ ทำให้เรารู้สึกว่าคุณค่าของเราลดน้อยลง แต่ไม่ว่าอะไรที่ได้เกิดขึ้น หรืออะไรที่จะเกิดขึ้น ท่านไม่เคยสูญเสียคุณค่าของคุณ คุณเป็นคนพิเศษ อย่าลืมมันตลอดไป! อย่านำความผิดหวังของเมื่อวานมาบดบังความฝันในวันพรุ่งนี้...

  ทุกอย่างล้วนมีประโยชน์และคุณค่าในสิ่งๆนั้นเสมอ ของที่คุณมีค่าที่สุด อาจจะไม่มีคุณค่าอะไรเลยก็ได้สำหรับบางคนบางเหตุการณ์
แต่..ของที่คุณตัดสินมันว่าไรค่า อาจจะมีคุณค่ามากมายกับอีกหลายๆคนในห้วงเวลาหนึ่งนั้นก็เป็นไปได้ครับ...