12 มิ.ย. 2558

เรียนนอกห้อง ณ อ.ปากช่อง ตอน2

พวกเราและครูปรีดาพร้อมกับลูกศิษย์อีก คน ร่วมกันเดินขึ้นเขาทุกคนหอบข้าวของพะรุงพะรังเดินกันไปตามทางดินแคบมีผงฝุ่นปกคลุมเต็มทั่วถนนและขรุขระ มีวัชพืชขึ้นปกคลุมเป็นหย่อม สองของทางกระหนาบด้วยป่ารก ต้นไม้เบียดเสียดสลับสล้าง ลมสงัด อากาศขมุกขมัวและอ้าวจัด แต่บางคราลมพัดแหวกแมกไม้เข้ามาเย็นชื่น

            09.30 น. แต่ละคนเริ่มจะมีอาการเมื่อยล้าเห็นทันตา สังเกตได้จากเดินไปพากันหยุดพักไป เคยได้ยินมาว่าระยะทางเดินขึ้นเขาเพียง กิโลเมตรเทียบได้กับระยะทางปกติ กิโลเมตร ทางเดินขึ้นสูงชันและผิวหินแห้งราบเรียบทำให้ลื่นง่ายและต้องจับมือต่อๆกันระหว่างเดิน รอบกายต้นไม้สูงชะลูดแผ่ใบเขียวครึ้มให้ร่มเงามีเป็นจุดๆตามรายทางเดิน พวกเราทุกคนเดินขึ้นสู่ยอดเขา 09.52 น. ทุกคนได้ถ่ายภาพชมวิวตามจุดต่างๆ ที่แต่ละคนเลือกให้เห็นทิวทัศน์รอบด้าน ความสูงของเนินทำให้ขอบฟ้าตกลงมาอยู่ใต้ระดับสายตา ต่ำลงไปเป็นแนวกรวดหินระเกะระกะเป็นหย่อมๆ ปลายอีกด้านเป็นผาเอียง ชะง่อนโขดหินลดหลั่นกันลาดลงจรดพื้นดิน ลึกลงไปเป็นป่ามันป่า
ข้าวโพดของชาวบ้าน และท้องทุ้งหญ้าเขียวไสว พลิกพลิ้วทางใบคลอกับสายลมอ่อนเอื่อย พอได้สักพักคุณครูหลายๆ คนเมื่อยล้าเห็นได้ชัด หาบริเวนเอนแผ่นหลังนอนพักร่างกายเพื่อที่จะสัมผัสกับความสงบ สงัด และงดงาม ของธรรมชาติ สะกดให้ทุกคนเงียบงันดื่มด่ำจมลึกอยู่กับตัวเอง และจากนั้นพวกเราทุกคนเดินลงจากเขาลงมารับประทานอาหารเที่ยงร่วมกับครูปรีดาบริเวณด้าน
ล่างบริเวณระหว่างหุบเขา ทุกคนทานอาหารด้วยความเอร็ดอร่อยและนั่งพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน ทุกคนสีหน้าสีหน้าระรื่น หัวเราะร่วน หน้าแดง นัยน์ตาซุกซน หยอกล้อกันด้วยความสนุกสนาน และราวกับว่าทุกคนหลุดพ้นจากชีวิตที่ตรึงอยู่กับกฎระเบียบเคร่งครัดของโรงเรียนฉากชีวิตส่วนนั้นปิดลงแล้ว เพื่อทุกคนให้หลงลืมจากอาการของความเหนื่อยล้าและทุกคนได้แบ่งปันอาหารซึ่งกันและกัน ส้มเนื้อ แจ่วปลาร้าสับ ตำส้ม และเนื้อทอด

           ยามบ่ายคล้อยผ่านอย่างสงบพวกเรากลับมาถึงที่พัก ดวงตะวันโคจรข้ามเนินเขาแล้วตกลงสู่ผืนหญ้าและผืนผิวน้ำจากเขื่อนลำตะคอง วันหนึ่งๆถูกกำหนดอยู่ด้วยทิศทางดังกล่าว 15.30 น. เรานัดน้องที่อาสามาเตรียมกับข้าวในมื้อค่ำร่วมกับเราโดยมื้อนี้จะมีกลุ่มครูใหญ่และครูอีก 6-7 คนเข้ามาร่วมสมทบด้วย

ทุกคนอาบน้ำแต่งตัว จัดเตรียมสถานที่ที่จะใช้ทำกิจกรรมรอบกองไฟในยามค่ำ เสร็จสรรพมาพร้องเพรียงกันในเวลา 17.30 น. ทุกคนเริ่มมาอยู่บริเวณรอบกองไฟเผามัน ย่างหมู กลิ่นหอมโชยไปทั่วบริเวณ หลายๆคนก็คุยกันด้วยเรื่องจิปาถะ สนทนาพาทีครอบคลุมหลากหลายเรื่องโรงเรียน เรื่องบ้าน

            19.45 น. พวกเราทุกคนเห็นว่าได้เวลาอันควรแล้ว คุณครูน้ำผึ้งจึงเริ่มกล่าวทักทายทุกคนในวงรอบกองไฟ และพูดถึงความเป็นมาของกิจกรรมที่นำพาเราทุกคนมาอยู่ที่นี่ร่วมกันในเวลานี้ “แต่ละคนอยากบอกอะไร” เป็นคำถามสั้นๆแต่แฝงไปด้วยเป้าหมายที่พวกเราตั้งไว้ก่อนหน้านี้ คุณครูร่วม 40 ชีวิตและครูปรีดามาอยู่ ณ ที่แห่งนี้ ทุกคนร่วมอิ่มเอมกับเรื่องราวของแต่ละคนที่บอกถึงอารมณ์ความรู้สึกจังหวะของชีวิตของแต่ละคนเป็นที่น่าจดจำ เปลือกชั้นแรกของราตรีกำลังผ่านพ้น โลกเคลื่อนผ่านสู่ห้วงเวลาของการผ่อนพัก ความมืดนิ่งสนิทแอบซุ่มกลั่นเคี่ยวตัวเองอย่างเงียบงัน ผืนน้ำบริเวณเขื่อนลำตะคองสลัวรางแทบจะอันตรธารไป แต่แล้วปรากฏขึ้นอีกครั้งเมื่อเพ่งจ้อง เบื้องบนดาวสาดแสงจาง จุดแสงสาดกระเซ็นกระจัดกระจาย คงแต่ผืนความมืดที่ผนึกดวงดาวเอาไว้ด้วยกันบนฟากฟ้า ไม่ต่างจากเด็กหนุ่มสาวเหล่า(คุณครูใหม่)นี้ พวกเขาจมลงกับห้วงคิดในความลึกซึ้งของค่ำคืน ต่างเผชิญกับความลี้ลับอันหอมหวานและเก็บเกี่ยวประสบการณ์เหล่านี้ เสมือนได้โลดข้ามพรมแดนหนึ่งของชีวิตไปด้วยกัน
 พริ้วสายลมชื่นกายคลายถึงจิต              หมู่มวลมิตรมุ่งหมายคลายหมองหม่น
สายสัมพันธ์สรรค์สร้างกลางใจคน         หวังได้ยลไมตรีจิตมิตรกัลยา
ออกเดินทางก่อนเที่ยงเลี่ยงค่ำมืด         หวังช่วยยืดเวลาพาสุขสม
กลับหลงทางเตลิดไกลไข่ระบม             เรือนน่าชมให้แช่มชื่นรื่นฤทัย
เข้าที่พักทักทายคลายเหน็ดเหนื่อย       ทานเรื่อยๆสนทนาคราเดือนหงาย
แลท้องฟ้าดาราเด่นเห็นพร่างราย          มิตรสหายได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้นิทาน
เสียงหนักเบาสูงต่ำเงียบเร็วช้า               กระบวนท่าจอมยุทธ์จุดขัดข้อง
ผู้ชนะสิบทิศควรจับจอง                         ลูกทุ่งต้องหาฟังคลังคำมี
แต่งนิทานตัวละครมิควรมาก                 แม้งานยากมีวินัยไม่หน่ายหนี
ทั้งงานราษฎร์งานหลวงล่วงลุดี              สุนทรียสนทนาพาทีเอย
เสียงเจื้อยแจ้วแนวบันไดใกล้รุ่งสาง       ดังครวญครางข้างในเต้นท์เสียงกรนหนอ
ตีสามแล้วขอผัดผ่อนสักครึ่งพอ             สุดท้ายก็ตัดสินใจไปทันที
โหมแรงไฟแรงฟืนตื่นเช้าตรู่                   ต่างพร่างพรูเพียบพร้อมอย่างด่วนจี๋
วัตถุดิบเครื่องปรุงเน้นรสดี                     เสร็จพอดีตีห้าครึ่งบึ่งจับนม
แลดูโคท่าทีมีระเบียบ                            เดินเงียบๆแล้วต่อแถวแสนสุขสม
แหมตื่นตาตื่นใจได้จับนม                      บ้างก็อมยิ้มหวานสราญใจ
กิจกรรมสันทนาการดีเลิศ                      ช่วยให้เปิดตาตื่นชื่นสดใส
เตรียมตัวปีนเขาต่อให้ท้อใจ                  อีกนานไหมกว่าจะฮอดรอดไหมตรู
เด็กๆต่างเริงร่าระรื่นจิต                         เพราะชีวิตเคยชินขึ้นลงเขา
แตกต่างจากคนแก่ๆอย่างพวกเรา         อุ๊ยเจ็บเข่าโอ๊ยปวดหลังประดังมา
ถึงยอดแรกมองหน้าพอยิ้มได้               ยอดต่อไปจะไหวหรือเปล่าหนอ
ชวนให้นึกถึงหน้าแม่และพ่อ                 โอ้ละหนอลมพัดตึ้งถึงแล้วโว๊ย
ค่อยเดินย่องลงทางพลางเท้าจิก          ขากระดิกแขนเริ่มสั่นท้องหิวโหย
ของก็หนักแขนก็เหนื่อยเมื่อยอิดโรย      มาละโหวยอาหารเที่ยงของพวกเรา
ปลาร้าบองของทอดมีปลาหมู               ทั้งปลาทูส้มต่อนออนซอนหลาย
ทั้งกล้วยสุกข้าวต้มผัดมีมากมาย          อิ่มสบายหายกังวลคนเดินทาง
ถึงที่นอนผ่อนพักตระหนักรู้                   แล้วไปสู่โลกพระอินทร์ถิ่นสวรรค์
สะดุ้งตื่นฟื้นสติอ้าวกลางวัน                  สุขดั่งฝัน ณ ปากช่องพี่น้องเอย
(บทกลอนจากครูสังข์)
            เวลา 21.25 น. คุณครูหลายๆคนแยกย้ายเข้านอนผ่อนพักร่างกายจากกิจกรรมตลอดทั้งวันตั้งแต่เช้าตรู่ อากาศหนาวเหน็บทำให้คุณครูหลายๆคนนอนหมกตัวในผ้าห่มอย่างเงียบกริบในเวลาแสนสั้น ครูใหญ่และครูอีกกลุ่มนั่งขับร้องเพลงเล่นกีตาร์บริเวณกองไฟจนล่วงเลยผ่านวันที่ 27 มาเป็นวันที่ 28 จึงแยกย้ายกันเข้านอน
            ทุกคนตื่นแต่เช้าตรู่ เบิกนัยน์ตางัวเงียมองดูแสงสีทองแผ่ขึ้นสู่โค้งฟ้า ฟังเสียงชีวิตตื่นจากการหลับใหล ริ้วเมฆริมขอบฟ้าที่เปลี่ยนสีอย่างรวดเร็ว จากแดงกลายเป็นส้มสุกใส อึดใจทุกอย่างก็ดูราวถูกฉาบด้วยแผ่นทองอร่าม ทุกคนแลเห็นโฉมหน้าของธรรมชาติผันแปรแน่ชัดไปตามการคล้อยเคลื่อนของดวงอาทิตย์ กลางวันเปลือยตัวเองออกมาแจ่มกระจ่าง กลางคืนมืดสนิทสุดหยั่งน่าเปล่าเปลี่ยว วันเวลาหมุนเวียนจากเช้ายันค่ำ วันหนึ่งสู่อีกวันหนึ่ง