22 ธ.ค. 2554

คนที่มีความฝัน - คนที่ล้มเหลว - คนที่ล้มเลิก

เรื่องของ 'มอนตี้'
    หลังเลิกเรียน เขาเข้าไปพบคุณครูและถามว่าทำไมเรียงความของเขาจึงได้ F ครูคำตอบว่า สิ่งที่เขาเขียนนั้นมันเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้
เด็กชายอายุ 16 ปี คนหนึ่งชื่อว่า มอนตี้ ซึ่งคุณครูสั่งให้เขียนเรียงความเรื่อง "โตขึ้นอยากเป็นอะไร" มอนตี้ก็เขียนบรรยายไป 7 หน้ากระดาษ ถึงความฝันของเขาที่จะเป็นเจ้าของคอกม้า พร้อมด้วยบ้านพื้นที่ 4,000 ตารางฟุต บนเนื้อที่ 200 เอเคอร์
เขาบรรยายพร้อมกับวาดแผนผังแสดงรายละเอียดไว้ทุก ๆ ส่วน แต่เมื่อเขานำไปส่งกลับได้คะแนน F และเรียกให้ไปพบหลังเลิกเรียน
หลังเลิกเรียน มอนตี้ ก็เข้าไปพบคุณครูและถามว่าทำไมเรียงความของเขาจึงได้ F ก็ได้รับคำตอบว่า สิ่งที่เขาเขียนนั้นมันเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เพราะมันต้องใช้เงินมากมายเกินกว่าฐานะของครอบครัวของมอนตี้ จะสามารถทำได้ แม้ว่ามอนตี้จะชี้แจงให้ฟังว่ามันเป็นแค่ความฝันของเขา แต่คุณครูไม่รับฟังและขอให้มอนตี้ไปเขียนเรียงความมาใหม่ โดยขอให้เขียนถึงเรื่องที่มันพอจะเป็นไปได้บ้างแล้วจะแก้คะแนนให้
มอนตี้ก็กลับบ้านและนำปัญหานี้ไปปรึกษากับพ่อของเขา ซึ่งพ่อของเขาก็ให้คำตอบว่า "เรื่องนี้พ่อคงช่วยอะไรลูกไม่ได้ มันขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของลูกเอง แต่พ่อมีความรู้สึกบางอย่างว่าการตัดสินใจของลูกครั้งนี้ จะเป็นสิ่งที่มีความสำคัญต่ออนาคตของลูกอย่างแน่นอน"
มอนตี้ ใคร่ครวญกับเรื่องนี้อยู่เป็นสัปดาห์ ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจได้ เขานำเรียงความเรื่องเดิมไปส่งคุณครูพร้อมกับพูดว่า "ให้คะแนน F กับผมก็แล้วกันผมจะรักษาความฝันของผมไว้"
มอนตี้เล่าเรื่องนี้ให้กับผู้มาเยือนเขาฟังพร้อมกล่าวว่า "ที่ผมเล่าเรื่องนี้ให้พวกคุณฟัง เพราะว่าขณะนี้มอนตี้กำลังนั่งอยู่หน้าเตาพิงในบ้าน พื้นที่ 4,000 ตารางฟุต ซึ่งตั้งอยู่กลางคอกม้าเนื้อที่ 200 เอเคอร์ และเรียงความ 7 หน้ากระดาษนั้น ได้ใส่กรอบเรียงอยู่เหนือเตาพิง"
และเขาได้เล่าต่อว่า "ที่ดีที่สุดของเรื่องนี้ก็คือ ในฤดูร้อนเมื่อสองปีที่แล้ว คุณครูคนเดิมพาเด็กนักเรียน 30 คน มาพักค้างแรมที่นี่เป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ ก่อนจากไปท่านพูดกับผมว่า มอนตี้ สมัยครูเป็นครูของเธอ
ครูคงเป็น นักขโมยความฝัน ครูเสียใจนะที่ครูได้ขโมยความฝันของเด็ก ๆ ไปตั้งมากมาย แต่ครูก็ดีใจที่เธอไม่ยอมให้ครูขโมยความฝันของเธอ"

  เรื่องราวของมอนตี้เป็นเรื่องราวที่ทำให้ผม มีความเชื่อและศรัทธาในความฝันของตัวเองเพิ่มขึ้น และรักที่จะมีความฝัน
ยิ่งได้อ่านรู้เรื่องราวของบุคคลที่สร้างแรงบันดาลใจให้คนหลาย 100,000,000 คน ทั่วโลก
เพราะว่าเขาทั้ง 11 คนนี้ พวกมีความฝันและพวกเขาเชื่อว่าทุกคนเคยแพ้ เชื่อว่าทุกคนเคยล้มเหลว แต่คนแพ้ไม่ใช่คนที่ล้มเหลว คนล้มเหลวคือ...คนที่ล้มเลิกต่างหาก

 -1-
ชายคนหนึ่งเพิ่งจะมาพูดได้ ตอนอายุ 4 ขวบ
ชายคนนั้น...เพิ่งจะมาอ่านหนังสือออกตอนอายุ 8 ขวบ
ชายคนนั้น...เคยถูกไล่ออกจากโรงเรียน
ชายคนนั้น...เคยถูกปฎิเสธจากโรงเรียนอาชีวะแห่งซูริค
ชายคนนั้น...เคยถูกอาจารย์ระบุว่า "สมองช้า! ไม่ชอบสังคมและล่องลอยอยู่ในความฝันอันโง่เขลาของตัวเองตลอดเวลา"
ชายคนนั้น...ชื่อ "อัลเบิร์ต ไอสไตน์" บิดาแห่งปรมาณู


-2-
ชายคนหนึ่งเคยถูกปฎิเสธจากโรงเรียนเตรียมทหารเวสต์พอยต์
ชายคนนั้น... ลองสมัครใหม่ดูอีกที
ชายคนนั้น...ถูกปฎิเสธอีกครั้ง
ชายคนนั้น...พยายามเป็นครั้งที่สาม
ชายคนนั้น...ได้รับอนุญาตให้เข้าเรียน
ชายคนนั้น...ได้เป็นทหารสมใจ
ชายคนนั้น...เข้าไปอยู่ในหน้าประวัติศาสตร์สงครามโลกครั้งที่ 2 ได้สำเร็จ
ชายคนนั้น...ชื่อ "นายพล ดักลาส แมคอาเธอร์" ผู้พิชิตแปซิฟิคแห่งสงครามโลกครั้งที่สอง















-3-
ชายกลุ่มหนึ่งเป็นนักดนตรี
ชายกลุ่มนั้น...เคยถูกปฎิเสธจากผุ้บริหารคนหนึ่งจากบริษัทเดคคาเรคคอร์ต้ง
ชายกลุ่มนั้น...ถูกปฎิเสธด้วยเหตุผลที่ว่า "เราไม่ชอบเสียงเพลงของพวกเขาและกลุ่มนักดนตรีที่เล่นกีตาร์กำลังจะหมดสมัยแล้ว"
ชายกลุ่มนั้น...มีนามว่า "เดอะ บีเทิลส์" สี่เต่าทองแห่งตำนาน









-4-
ชายคนหนึ่ง...เป็นนักกีฬา
ชายคนนั้น...เล่นบาสเกตบอลให้กับทีมโรงเรียนมัธยม
ชายคนนั้น...เคยถูกคัดออกจากทีมโรงเรียน ชายคนนั้น...ชื่อ
"ไมเคิล จอร์แดน" หนึ่งในนักกีฬาบาสเกตบอลที่ทำเงินมากที่สุดในโลก










-5-
ชายคนหนึ่ง...เป็นนักแต่งเพลงชาวเยอรมัน
ชายคนนั้น...สูญเสียความสามารถ ในการฟังลงเรื่อยๆ
ชายคนนั้น...หูหนวกสนิทเมื่อมีอายุได้ 46 ปี
ชายคนนั้น...ได้ใช้ช่วงเวลาบั้นปลายชีวิตประพันธ์เพลงที่ยอดเยี่ยมที่สุด
ชายคนนั้น...ชื่อ "ลุดวิก ฟาน บีโธเฟน" นักประพันธ์เพลงชื่อก้องโลก










-6-
ชายคนหนึ่งสอบตกประถม 6
ชายคนนั้น...เคยมีชีวิตที่พ่ายแพ้และล้มเหลวมา ตลอด
ชายคนนั้น...ล้วนทำประโยชน์ครั้งใหญ่ๆเมื่อเขากลายเป็นผู้สูงอายุ แล้ว
ชายคนนั้น...ได้เป็นนายกรัฐมนตรีอังกฤษเมื่ออายุ 62 ปี
ชายคนนั้น...ชื่อ "วินสตัน เชอร์ชิล" อดีตนายกรัฐมนตรีอังกฤษ










-7-
ชายคนหนึ่งเรียนปริญญาตรี
ชายคนนั้น...เคยถูกจัดให้เป็นแค่นักศึกษา ระดับกลางเท่านั้น
ชายคนนั้น...เคยสอบได้อันดับที่ 15 จากนักศึกษา 22 คนใน วิชาเคมี
ชายคนนั้น...ชื่อ "หลุยส์ ปาสเตอร์" ผู้ค้นพบวัคซีนในการรักษาโรคพิษสุนัขบ้า











-8-
ชายคนหนึ่งเป็นนักร้อง
ชายคนนั้น...เคยถูกผู้จัดการของ แกรนด์โอเลโอ เพรย์ไล่ออก
ชายคนนั้น...เคยโดนดูถูกว่า "แกมันไปไม่ถึงไหนเลยแกควร กลับไปขับรถบรรทุกมากกว่า"
ชายคนนั้น...ชื่อ "เอลวิส เพรสลีย์" ตำนานนักร้อง ผู้ที่มีท่าเต้นเป็นตำนาน











-9-
หญิงคนหนึ่งเป็นนางแบบผู้เปี่ยมไปด้วยความหวัง
หญิงคนนั้น...ทำงานให้ กับบริษัทบลูบุ๊คโมเดลลิ่งเอเจนซี่
หญิงคนนั้น...เคยโดนผู้อำนวยการบริษัท
บลูบุ๊คโมเดลลิ่งเอเจนซี่ดูถูกว่า
"เธอควรไปเรียนด้านเลขาฯหรือไม่ ก็แต่งงานเสียดีกว่า"
หญิงคนนั้น...ชื่อ "นอร์มา จีน เบเกอร์" หรือที่รู้จัก กันในนาม "มาริลีนมอนโร" นั่นเอง










-10-
ชายคนหนึ่ง หลงใหลวิชาการเงินอย่างมาก
ชายคนนั้น...ยื่นใบสมัครกับมหาวิทยาลัยธุรกิจฮาวาร์ดอันเลื่องชื่อ
ชายคนนั้น...ถูกปฎิเสธในเวลาต่อมา
ชายคนนั้น...ไม่ยอมแพ้ เดินหน้าเข้าศึกษาที่มหาวิทยาลัยธุรกิจ โคลัมเบีย
ชายคนนั้น...สำเร็จการศึกษา
ชายคนนั้น...ปัจจุบันมีสินทรัพย์ รวมกว่า 44,000 ล้านเหรียญสหรัฐจากเงินลงทุนเพียง 100 เหรียญสหรัฐ
ชายคนนั้น...ชื่อ "วอเรน บัฟเฟตต์" นักลงทุนอัจฉริยะอภิมหาเศรษฐีอันดับสองของโลก










-11-
ชายคนหนึ่ง หลงใหลในคอมพิวเตอร์อย่างมาก
ชายคนนั้น...ชอบหมกตัวกับคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานๆ
ชายคนนั้น...ถูกเพื่อนมองว่า "สกปรก - บ้าคอมพิวเตอร์"
ชายคนนั้น...เคยเสนอซอฟแวร์ระบบให้กับแอปเปิ้ลคอมพิวเตอร์
ชายคนนั้น...ถูกปฎิเสธอย่างไม่ใยดี
ชายคนนั้น...ปัจจุบัน คือ ผู้ให้การช่วยเหลือด้านเงินทุนกับแอปเปิ้ลคอมพิวเตอร์
ชายคนนั้น...เคยถูก IBM มองว่า "แค่เด็ก"
ชายคนนั้น...ปัจจุบันเป็นผู้นำบริษัทซอฟแวร์ ที่ทรงอิทธิพลมากที่สุดในโลก
ชายคนนั้น...ชื่อ วิลเลี่ยม เฮนรี่ เกตส์ ที่ สาม หรือที่รู้จักกันในนาม "บิลล์ เกตส์" ผู้ก่อตั้งไมโครซอฟต์ มหาเศรษฐี อันดับหนึ่งของโลก ผู้ถือครองสินทรัพย์กว่า 46,000 ล้านเหรียญ







16 ธ.ค. 2554

'ปัญญา' ไม่ใช่ 'ความรู้'

-7-
ในทางพระพุทธศาสนา ได้แบ่งปัญญญาออกเป็น 3 ประเภท คือ..
สุตมยปัญญา คือ ปัญญาได้จากการฟัง ฟังมากๆ ก็รอบรู้มากเกิดปัญญามาก
จินตามยปัญญา คือ ปัญญาได้จากการขบคิดตรึกตรองมากๆ ก็เกิดปัญญา
ภาวนามยปัญญา คือ ปัญญาที่เกิดจากการเพ่งภาวนาอบรมให้มีขึ้น

-8-
มีชายผู้หนึ่งโง่เขลาเบาปัญญา มิหนำซ้ำฐานะยากจน ทว่าอยู่มาวันหนึ่งด้วยโชควาสนาที่พอมีอยู่ ขณะที่ชายผู้นี้กำลังซ่อมแซมรั้วในสวนหลังบ้านซึ่งพังลงมาเพราะพายุฝน ได้บังเอิญขุดพบทองคำก้อนโตที่ฝังอยู่ริมรั้ว จนทำให้เขากลายเป็นเศรษฐีในชั่วข้ามคืน แต่ด้วยความที่รู้ว่าสติปัญญาของตนเองค่อนข้างทื่อทึบ จึงเกรงว่าอาจจะถูกผู้อื่นมาหลอกลวงเอาเงินทองไป เขาจึงนำเรื่องไปปรึกษากับอาจารย์เซน
อาจารย์เซนแนะนำว่า "ในเมื่อตอนนี้ท่านมีเงิน ส่วนผู้อื่นมีปัญญา เหตุใดไม่นำเงินของท่านไปแลกปัญญาจากผู้อื่นเล่า?"
ชายผู้เป็นเศรษฐีใหม่ผู้นี้ จึงได้พกพาคำแนะนำของอาจารย์เซน ไปหาพระที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้ฉลาดปราดเปรื่องทรงภูมิรู้ผู้หนึ่ง จากนั้นเอ่ยปากว่า "ท่านสามารถขายปัญญาของท่านให้กับข้าได้หรือไม่?"
พระรูปนั้นตอบว่า "ปัญญาของเรามีราคาแพงมาก"
ชายผู้โง่เขลาจึงรีบตอบว่า "ขอเพียงสามารถซื้อปัญญามาประดับสมอง แพงเท่าไหร่ข้าก็พร้อมยอมจ่าย"
เมื่อได้ฟังดังนั้น พระจึงกล่าวว่า "อันว่าปัญญานั้น คือเมื่อท่านประสบปัญหาใดก็ตาม อย่าใจเร็วด่วนได้รีบร้อนแก้ไข จงค่อยๆ เดินหน้า 3 ก้าว จากนั้นถอยหลัง 3 ก้าว ทำเช่นนี้กลับไป-มาให้ครบ 3 รอบ เมื่อนั้นปัญญาจะเกิดขึ้น"
เมื่อชายผู้โง่เขลาฟังจบก็ได้แต่รำพึงในใจว่า "ที่แท้ "ปัญญา" ง่ายดายถึงเพียงนี้จริงหรือ?" เขาเชื่อครึ่งมิเชื่อครึ่ง ใจหนึ่งเกรงว่าจะโดนพระหลอกลวงเงินทอง ส่วนพระรูปนั้น เมื่อมองตาของชายผู้โง่เขลา ก็ล่วงรู้ถึงจิตเจตนาของอีกฝ่าย จึงได้กล่าวว่า "ท่านยังไม่จำเป็นต้องเชื่อเราตอนนี้ จงกลับไปก่อน หากทบทวนดูแล้วคิดว่าปัญญาของเราไม่คุ้มกับเงินทองก็จงอย่าได้กลับมา แต่หากคิดว่าคุ้มค่าก็ค่อยนำเงินมามอบให้เรา"
เศรษฐีใหม่ผู้โง่เขลากลับถึงบ้านยามค่ำ มองเห็นผู้เป็นภรรยากำลังนอนอยู่กับคนอีกผู้หนึ่งบนเตียงของตน แต่ในความมืดสลัวไม่ทราบว่าเป็นใคร เมื่อเห็นดังนั้นเขาจึงบันดาลโทสะเพราะเข้าใจว่าภรรยานอกใจ ฉวยมีดพร้าหวังบั่นคอคนผู้นั้น แต่ยังไม่ทันได้ลงมือ พลันนึกถึงคำกล่าวของพระที่ขายปัญญาให้กับเขาเมื่อตอนกลางวัน จึงได้ก้าวเดินไปข้างหน้า 3 ก้าว จากนั้นถอยหลัง 3 ก้าว กลับไป-มา 3 รอบ พอดีกับที่บุคคลนิรนามที่นอนอยู่บนเตียงเดียวกับภรรยาของเขาตื่นขึ้นมา และร้องถามว่า "ลูกเอ๋ย ดึกดื่นป่านนี้ เจ้าเดินทำอะไรอยู่?"
เมื่อได้ยินเศรษฐีใหม่ผู้โง่เขลาจึงค่อยทราบว่า ที่แท้ผู้ที่นอนอยู่บนเตียงกับภรรยาของเขาก็คือมารดาบังเกิดเกล้าของเขาเอง ในใจจึงได้คิดว่า "หากข้าไม่ซื้อปัญญามาเมื่อกลางวัน วันนี้คงได้สังหารมารดาของตนเองเป็นแน่"
เช้าวันรุ่งขึ้นเศรษฐีใหม่จึงนำเงินค่าปัญญาไปถวายพระด้วยความยอมรับนับถือ

-9-
ปัญญาในแก่นของศาสนาพุทธคือปัญญาในการละความไม่รู้ไม่เข้าใจและละความยึดถือในรูปนามทั้งหลายทั้งปวงได้หมดสิ้น
ปัญญาสูงสุดในทางพระพุทธศาสนาท่านจึงเรียกว่า 'ปรมัตถ์ปัญญา'
มิใช่เป็นปัญญาที่เกิดจากการคิดไตร่ตรอง แต่เป็นการเกิดขึ้นด้วยกำลังของสมาธิจิตที่สมบูรณ์พร้อมแล้ว
เบื่อหน่ายเต็มที่ในรูปนามทั้งหลายแล้ว เห็นแล้วว่าอุปาทานในรูป-นามทั้งหลายทั้งปวงไม่มีตัวตนที่แท้จริงแต่อย่างใด กำลังของสายสัมพันธ์ความยึดมั่น ในรูปนามหมดลงเพราะเบื่อหน่ายเต็มที่ หมดกำลังที่จะยึดมั่นถือมั่นอีกต่อไป
อุปมาเหมือนกับคนที่ทำงานมาเหนื่อยเต็มที่ พอถึงบ้านหมดแรง อยากนอนอย่างเดียวแม้เสื้อผ้าก็ไม่ยอมถอด ทิ้งตัวลงนอนเลยไม่สนใจร่างกายใดๆทั้งสิ้นแล้วขอนอนอย่างเดียว เพราะความเหนื่อยเพลียเต็มที่นั่นเอง
ดังนั้นปัญญาที่แท้จริงจะเกิดขึ้นได้นักธรรมต้องพิจารณาในรูปนามให้เห็นว่าเป็น ของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่น่ายึดถือไม่มีตัวตนที่แท้จริง เมื่อพิจารณาบ่อยๆมากๆจนจิตเหนื่อยเบื่อในงานเต็มที่แล้วจิตจะปล่อยวางได้เองโดยที่ไม่ต้องอยากให้มันปล่อยวางแต่อย่างใด
นักธรรมท่านใดที่เอาแต่ความสงบของสมาธิจิต เอาแต่อารมณ์สุขของสมาธิย่อมหาความเหนื่อย ความเบื่อและความปล่อยวางแบบปรมัตถ์ต่อรูปนามไม่ได้ อุปมาเหมือนกับพนักงานมาทำงานแต่ไม่ยอมทำงานจริง มานั่งมองโน่นมองนี่สุขสบายไปวันๆ ใครๆถามก็บอกกล่าวว่าตนเองเบื่อแล้วเหนื่อยแล้วแต่ในความเป็นจริงความเหนื่อยความเบื่อในงาน(รูปนาม) ยังไม่ได้เกิดกับจิตตนเองเลย เพราะตนเองยังไม่ได้ทำงานจะเอาความเหนื่อยความเบื่อมาจากไหน
ท่านจึงสอนให้นักธรรมพิจารณาความเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
ของรูปและนามให้มาก เหนื่อย-พัก,เหนื่อย-พัก(สมาธิ-พิจารณา,สมาธิ-พิจารณา)ทำอยู่แบบนี้เมื่อจิตปุถุชนเบื่อเต็มที่หมดกำลังที่จะยึด ในรูปนามแล้วมันจะทิ้งในรูปนามเอง เห็นเองว่ารูปนามที่แท้จริงโดยปรมัตถ์มันเป็นอย่างไร อนัตตาของจริงมันเป็นอย่างไร

-10-
ศรีธนญชัย ขุนนางเจ้าปัญญา มีหน้าที่รับใช้ใกล้ชิดพระเจ้าเจษฎา พระเจ้าแผ่นดินสมัยอยุธยา มีภรรยาชื่อศรีนวล ดังที่ทราบกันดีว่าศรีธนญชัยเป็นคนที่ขึ้นชื่อในทางใช้
ปัญญาไปในทางไม่ค่อย ดี หาเงินหาทองได้ง่ายๆ แต่ก็หมดไปกับการพนัน
วันหนึ่งนางศรีนวลบ่นเข้าหู “ทั้งบ้านไม่มีข้าวสารจะกรอกหม้อ” ศรีธนญชัยหัวเราะแล้วสั่งบ่าวไพร่ถือถุงเงินเปล่าพากันเข้าวัง!
วันนั้นพระเจ้าเจษฎาประชุมสภาขุนนางเรื่องสำคัญ ถกกันเป็นนาน แต่ทุกปัญหาก็ผ่านไป
ทำท่าจะจบลงด้วยดีศรีธนญชัยได้ทีกราบทูลขอท้าพนันเดิมพันทายใจขุนนาง
“เจ้าจะมาเล่นมุกอะไรของเจ้าอีกเล่า” พระเจ้าเจษฎาดักคอ
“ไม่มีกติกาอะไรมาก พระเจ้าข้า” ศรีธนญชัยกราบทูล “ ข้าพเจ้าเพียงแต่จะขอทายใจ ถ้าขุนนางท่านใด บอกว่าไม่จริง กล้าเดิมพันเท่าไหร่ ข้าพเจ้ายินดีจะจ่ายให้เท่านั้นแต่ถ้าข้าพเจ้าทายถูก ก็ขอเดิมพันนั้นกลับบ้าน”
พระเจ้าเจษฎาไม่ทรงถือสาเห็นว่าขุนนางเครียดกับปัญหาการบ้านการเมืองมามาก น่าที่จะได้ผ่อนคลายกับศรีธนญชัยบ้างก็ทรงอนุญาต
พวกขุนนางไม่เชื่อว่าศรีธนญชัยจะทายใจตัวเองได้ถูกต้อง “มันไม่ใช่เทวดา จะมารู้ใจเราทุกคนได้ยังไง “ แล้วทุกคนควักเดิมพันกองตรงหน้า ใครมีเงินทองมาน้อยก็ขอหยิบยืมกัน เพราะเชื่อว่าเดิมพันงานนี้ ไม่มีเสีย มีแต่ได้กับได้ กองเงินเดิมพันมากพอ ศรีธนญชัยก็เริ่มเกมทายใจ
“ผมเชื่อทุกท่านที่รับราชการสนองพระเดชพระคุณ มีความจงรักภักดีต่อสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทุกคนพร้อมทุ่มเทแรงกายแรงใจและสติปัญญา รับราชการให้สมกับที่ทรงชุบเลี้ยงพระราชทานเบี้ยหวัดเงินตรา เพราะฉะนั้นทุกท่านในที่นี้จึงไม่มีใครคิดทรยศ กบฏต่อแผ่นดิน”
เกริ่นนำท่ามกลางความพิศวงงงวยของเหล่าขุนนางทั้งหลายแล้ว ศรีธนญชัยก็เข้าสู่เป้าหมาย
“ถ้า ท่านผู้ใดเห็นว่า ทุกคำที่ข้าพเจ้ากล่าวเป็นความจริงก็จงนิ่งเสียแต่ถ้าเห็นว่า ไม่ใช่ความจริง ก็ขอให้กราบทูลต่อเบื้องบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว”
เจอมุกนี้เข้าที่ประชุมขุนนางมีแต่ความเงียบ ไร้เสียงสำเนียงของผู้ใดกล้ากราบทูลว่าไม่จงรักภักดี
ถึงเวลานั้น ศรีธนญชัยเรียกบ่าวที่ถือถุงเงินเปล่าเข้าไปโกยเอาเงินเดิมพันใส่ถุงกลับบ้านไปให้นางศรีนวล

-11-
ดร.โฮเวิร์ด การ์ดเนอร์ (Howard Gardner) แห่งมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ประเทศสหรัฐอเมริกา ผู้ก่อตั้งทฤษฎีพหุปัญญา (Theory of Multiple Intelligences) ให้คำจำกัดความของคำว่า “ปัญญา” ไว้ดังนี้ “ปัญญา คือ ความสามารถที่จะค้นหาและแก้ปัญหาและสร้างผลผลิตที่มีคุณค่าเป็นที่ยอมรับใน สังคม”

-12-
มีชายสองคนมาจากหมู่บ้านเดียวกัน เข้ามารับใช้พระราชาในพระราชวังพร้อมๆ กัน คนหนึ่งได้เป็นมหาดเล็ก แต่อีกคนหนึ่งได้เป็นแค่นายแบบเกี๊ยว วันหนึ่งพระราชาทรงออกประพาสป่าโดยนั่งเไป เมื่อเดินทางมาถึงกลางทาง นายแบบเกี้ยวก็รู้สึกเหนื่อยมากและน้อยใจว่าทำไมตนต้องเป็นนายแบบกเกี้ยว จึงพูดด้วยเสียงประชดประชันว่า "คนเหมือนกันแต่ไม่เหมือนกัน" พูดแบบนี้ซ้ำไปซ้ำมาตลอดทาง
เมื่อเดินทางไปถึงจุดพัก พระราชาก็เรียกนายแบกเกี้ยวเข้าพบ
พระราชา "นายแบกเกี้ยวเจ้าลงไปดูที่ใต้ถุนซิว่ามีอะไรเกิดขึ้น"
นายแบกเกี้ยวรู้สึกดีใจมากที่พระราชาไว้วางพระทัยใช้ตัวเอง นายแบกเกี้ยวก็รีบวิ่งไปดู แล้วก็วิ่งกลับมาทูลว่า
นายแบกเกี้ยว "มีแมวกำลังออกลูกอยู่ พะยะค่ะ"
พระราชา "แล้วมีลูกแมวกี่ตัวล่ะ"
นายแบกเกี้ยวก็วิ่งลงไปดูใต้ถุน แล้วก็วิ่งกลับมาทูลว่า
นายแบกเกี้ยว "มี 7 ตัว พะยะค่ะ"
พระราชา "แล้วมีตัวผู้ ตัวเมีย กี่ตัวล่ะ"
นายแบกเกี้ยวก็วิ่งลงไปดูที่ใต้ถุนอีก แล้วก็วิ่งกลับมาทูลว่า
นายแบกเกี้ยว "มีตัวเมีย 3 ตัว และตัวผู้อีก 4 ตัว พะยะค่ะ"
พระราชา "แล้วมีสีอะไรบ้างล่ะ"
นายแบกเกี้ยววิ่งลงไปดูอีกครั้งด้วยความเหน็ดเหนื่อย แล้ววิ่งกลับมาทูลว่า
นายแบกเกี้ยว "มีสีดำ 5 ตัว และสีขาวอีก 2 ตัว พะยะค่ะ"
สักพักหนึ่งมหาดเล็กกลับมาจากการไปตักน้ำที่ลำธาร พระราชาจึกรับสั่งมหาดเล็กว่า
พระราชา "มหาดเล็ก เจ้าลงไปดูที่ใต้ถุนข้างล่างซิว่ามีอะไรเกิดขึ้น"
มหาดเล็กเิดินลงไปดูสักพักหนึ่ง แล้วกลับมาทูลพระราชาว่า
มหาดเล็ก "มีแมวออกลูกอยู่ พะยะค่ะ ลูกแมวน่ารักทุกตัวเลย มีทั้งหมด 7 ตัว มีตัวเมีย 3 ตัว และตัวผู้อีก 4 ตัว มีลูกแมวสีดำอยู่ 5 ตัว อีก 2 ตัวเป็นสีขาว ซึ่งสวยมาก พะยะค่ะ"
พระราชาก็หันไปพูดกับนายแบกเกี้ยวว่า
พระราชา "ทีนี้เจ้ารู้แล้วหรือยัง 'คนเหมือนกันแต่ไม่เหมือนกัน' เป็นยังไง!"

24 พ.ย. 2554

จิตสำนึก(Conscious Mind)และจิตใต้สำนึก(Subconscious Mind)

ทำไมบางคนมีเงินทองมากมาย แต่กลับหาความสุขไม่ได้
แล้วทำไมบางคนดูจะขาดแคลนเงินทองทรัพย์สมบัติ แต่เขากลับมีความพึงพอใจและหาความสุขได้ง่ายๆ จากสิ่งแวดล้อมรอบตัว
แล้วอะไรล่ะ..ที่เป็นตัวกำหนดความสุขของตัวเรากันแน่?
ในทางศาสนาบอกไว้ว่า จิตของมนุษย์นี่เองที่เป็นตัวกำหนดความสุขและความทุกข์ในชีวิต
บางคนมีมุมองความคิดเชิงบวก(Positive Thinking) คนเหล่านี้จะรู้วิธีสร้างความสุขให้กับตนเองได้ง่าย และรู้จักวิธีการควบคุมจิตของตนเองได้ คนที่มองโลกในแง่ดีร่างกายก็จะเกิดหลั่งสารเคมีที่ชื่อ 'เอนโดรฟิน' ซึ่งสารตัวนี้จะออกฤทธิ์คล้ายกับฝิ่น คือทำให้เรารู้สึกเบาสบายตัว ผ่อนคลาย อารมณ์ดี หรือถ้าร่างกายอยู่ในสถานการณ์ตื่นเต้น ต้องเอาตัวรอด เช่น เวลาเกิดไฟไหม้ ร่างกายก็จะเกิดการหลั่งสารอะดรินาลีน ซึ่งมีฤทธิ์คล้ายกับแอมเฟตามีนในยาบ้าทำให้บางคนสามารถแบกตุ่มน้ำหนักๆ ออกจากบ้านได้หรือสามารถกระโดดข้ามรั่วบ้านที่มีความสูงราวเกือบ 2 เมตรข้ามได้ ซึ่งเทียบเท่าความสูงของนักกีฬากระโดดข้ามรั่วของความสูงที่สถิติโอลิมปิก กำหนดไว้เลยทีเดียว(สารแห่งความสุขจะหลั่งออกมาก็ต่อเมื่อความคิดถูกกระตุ้น สมองส่วนหน้าหรือซีรีบรัมจะได้รับสัญญาณนั้นทัสมองส่วนหน้าหรือซีรีบรัมจะได้รับสัญญาณนั้นทันทีสมองส่วนหน้าหรือซีรีบรัมจะได้รับสัญญาณนั้นทันทีนที) 
แต่ถ้าหากเราเจอเรื่องทุกข์ เรื่องที่เศร้า เรื่องร้ายๆ ร่างกายก็จะได้รับสัญญาณความเครียดและจะหลั่งสารเคมีที่มีชื่อว่า 'คอร์ติซอล'นที่มีแต่ความเครียดคิกหมกหมุ่นอยู่แต่กับปัญหา ฮอร์โมน คอร์ติซอลถูกผลิตส่งออกมาจากต่อมหมวกไตในขณะที่ร่างกายของเราเกิดความตกใจ เกิดความเครียด เกิดความกังวล และอารมณ์ความคิดต่างๆ ที่เป็นด้านลบ(Negative Thinking)
การทำให้ฮอร์โมนแห่งความสุขหลั่ง ออกมา ผลที่จะตามมาก็คือหัวใจจะเต้นช้าลง หายใจช้าลง ความดันเลือดลดลงและภูมิต้านทานจะสูงขึ้น ศัพท์ทางการแพทย์เรียกคำสั่งที่จิตใจส่งออกมานี้ว่าสัญญาณชีวิต คนที่เรียนรู้และหมั่นฝึกฝนจิตใจให้สามารถคิดแต่เรื่องดีๆ แม้ในยามวิกฤตก็จะมองเห็นมุมมองใหม่ๆ แม้ในวันที่เจอเรื่องเลวร้าย ร่างกายก็จะได้รับสัญญาณของการอยู่รอดจนเกิดพลังกายกล้าแข้งและพลังใจที่จะเอาชนะอุปสรรคใดๆ ให้ผ่านพ้นไปได้เสมอ
จิตใจมีอิทธิพลเหนือกว่าร่างกายและโรคร้ายทั้งมวล
แลนซ์ อาร์มสตรอง(Lance Armstrong) นักปั่นจักรยานชาวอเมริกัน อดีตแชมป์โลก UCI Road World Cham pionships ที่ครั้งหนึ่งเขาเคยป่วยเป็นมะเร็งในต่อมลูกหมาก ต้องเข้าทำการบำบัดด้วยคีโม จนผมร่วงหมดหัว ร่างกายอ่อนแอจะเดินยังแทบไม่ไหวใครๆ ก็คิดว่าเขาคงต้องรอวันตายแน่ๆ และไอ้เสียร้ายบนหลังอานก็คงจะเป็นเพียงสมญานามในอดีตที่ไม่มีวันหวนคืนมา ได้อีก แต่แลนซ์มีจิตใจที่มุ่งมั่น เขาสั่งตัวเองทุกวันว่าต้องสู้ จนเขาสามารถลุกขึ้นมาปั่นจักรยานวันละนิดๆ หลังจากนั้นอีก 4 ปี เขาไม่เพียงเอาชนะมะเร็งที่หมอบอกว่าไม่มีทางรักษาได้แล้ว แต่เขายังได้พิสูจน์ให้โลกเห็นด้วยการคว้าแชมป์รายการตูร์ เดอ ฟรองซ์(Tour de France) ติดต่อกันถึง 7 สมัยซ้อน.
 อัลเบิร์ต ไอสไตน์(Albert Einstein) นักวิทยาศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่ ซึ่งเขาเป็นผู้ประดิษฐ์คิดค้นและเป็นเจ้าของทฤษฏีสำคัญๆ ที่โลกต้องจำก็คือ ทฤษฏีสัมพันธภาพ E = mcที่ คนรุ่นหลังยังเรียนรู้ได้ไม่จบจนถึงทุกวันนี้ เขาเคยกล่าวเอาไว้ว่า 'จินตนาการสำคัญกว่าความรู้(imagination is more important than knowledge)' ทำไมนักวิทยาศาสตร์ท่านนี้จึงยกย่องให้ความคิดเป็นพลังอำนาจสร้างสรรค์ที่ ยิ่งใหญ่ที่สุดในจักรวาล โดยไม่เคยให้สาระสำคัญกับการศึกษา เงินทอง สูตรเคมี ฟิสิกส์หรือโชควาสนา เลยแม้สักครั้งเดียวย

  แค่เปลี่ยนวิธีคิด ชีวิตก็เปลี่ยน : ความคิดนำพาสู่ความเชื่อ..
มนุษย์รับรู้เรื่องต่างๆ รอบตัว ผ่าน 2 ช่องทาง
ทางแรกระดับจิตสำนึก คือ การรับรู้ตัวอยู่ว่าได้รับรู้ ได้ฟัง ได้เห็น ได้ยิน และทางที่สองระดับจิตใต้สำนึก คือ การรับรู้ในขณะที่ไม่รู้สึกตัว
ทฤษฎีก้อนน้ำแข็ง ได้เขียนไว้ว่า..
จิตสำนึกและจิตใต้สำนึกของเรานั้น เปรียบเสมือนกับก้อนภูเขาน้ำแข็งก้อนหนึ่ง ที่ลอยอยู่ในน้ำ ส่วนที่ลอยอยู่เหนือน้ำให้เรามองเห็นได้นั้นคือส่วนของจิตสำนึก ซึ่งจะว่าไปแล้วก็เป็นเพียงส่วนน้อยของจิตเราเท่านั้น ในขณะที่จิตใต้สำนึกก็คือส่วนของภูเขาน้ำแข็งที่จมอยู่ใต้น้ำ ทำให้โดยทั่วไปเราไม่ได้นึกถึงจิตส่วนนี้เท่าใดนัก แต่เนื่องจากจิตส่วนนี้เป็นจิตใจส่วนที่มีปริมาณมากกว่า จึงเป็นจิตที่ทรงพลังมากกว่าจิตสำนึกของเรา ซึ่งบางครั้งที่โอกาสเอื้ออำนวย จิตใต้สำนึกก็จะออกมาสั่งการทำงานของร่างกายเราแทน โดยที่เราไม่อาจบังคับหรือระงับคำสั่งจากจิตใต้สำนึกได้
มนุษย์เรา ใช้จิตสำนึกเพียงไม่ถึง 10% เพื่อการดำเนินชีวิตประจำวัน แต่อีก 90% ของจิตใต้สำนึกเป็นแรงผลักดันให้เราทำกิจกรรมต่างๆ โดยที่ไม่รู้ตัว ก่อให้เกิดพฤติกรรมทั้งทางบวกและทางลบ ทำอะไรโดยอัตโนมัติไม่ต้องนึกคิดตัดสินใจไปตามสัญชาติญาณหรือฝังใจในอดีตที่ บางครั้งเจ้าตัวเองก็ลืมไปแล้วเสียด้วยซ้ำ เป็นจิตใจที่อยู่เหนือเหตุผล
มีคนเปรียบเทียบลักษณะการทำงานของจิตสำนึกและจิตใต้สำนึกไว้ว่า เหมือนกับคนขี่ม้า(จิตสำนึก)กับม้าที่ถูกขี่(จิตใต้สำนึก) เพราะม้านั้นมีกำลังมหาศาล เหนือกว่าคนขี่หลายเท่าตัว โดยม้านั้นจะมีหน้าที่วิ่งไปข้างหน้าเท่านั้นไม่รู้จุดหมายอยู่ที่ไหน และกำลังจะวิ่งไปทางใด คนขี่ม้าเท่านั้นจะต้องชักนำควบคุมให้ม้าไปในทิศทางที่เหมาะสม(ถ้าคนไหนมีกำลังของจิตสำนึกที่ไม่กล้าแข้งพอ ก็จะสามารถชักนำจิตใต้สำนึกไปในทางที่ดีได้)
สมองของคนเรานั้น แบ่งออกเป็น 3 ชั้น ได้แก่ ชั้นใน ชั้นกลาง และชั้นนอก
สมองชั้นในทำหน้าที่เกี่ยวกับการหายใจและความอยู่รอด ส่วนสมองชั้นกลางจะทำหน้าที่ดูแลเกี่ยวกับเรื่องของอารมณ์ และสมองส่วนหน้าหรือสมองส่วนนอกจะเป็นส่วนที่ทำให้เกิดการเรียนรู้
สอง มองของมนุษย์เราแบ่งในแง่การทำงาน โดยการแบ่งสมองออกเป็นสองซีก คือ สมองซีกซ้ายกับสมองซีกขวา การทำงานของสมองทั้ง 2 ซีก สมองซีกซ้ายทำหน้าที่ควบคุมร่างกายซีกขวาและชำนาญการในการคิดเรื่องที่เป็น เหตุผลเรื่องการวิเคราะห์ การประมวลภาษา ความเป็นระเบียบเป็นขั้นเป็นตอน คิดเกี่ยวโยงกับเรื่องของตรรกะที่ว่าด้วยองค์ความรู้หรือเหตุผล ส่วนสมองซีกขวาทำหน้าที่ควบคุมร่างกายซีกซ้ายชำนาญการในเรื่องความคิดสร้างสรรค์ เรื่องภาพรวม ความไม่แน่นอนไม่มีระเบียบแบบแผน เรื่องของอารมณ์ความสุขความทุกข์ใจ การชื่นชมความงามธรรมชาติ เรื่องของสัญชาตญาณ เป็นสมองศิลปะ อารมณ์และแรงกระตุ้น คนที่มีความถนัดสมองซีกใดก็จะถูกแสดงออกมาในความสามารถหรือทักษะด้านนั้นๆ เด่นกว่าอีกด้านอย่างเห็นได้ชัดเจน

มีผลงานวิจัยพบว่าต่อให้คนเรามีอำนาจในการซื้อพุ่งขึ้นมาอยู่ที่ประมาณ 400,000 บาทต่อปี การซื้อวัตถุข้าวของมาปรนเปรอความต้องการของตนเอง ก็จะก่อให้เกิดความสุขได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น

การใช้ชีวิตอยู่กับปัจจุบันจะเป็นความคิดที่สามารถเพิ่มพลังให้กับชีวิตได้เป็นอย่างดี ถ้าคนคนนั้นครองสติไม่ให้ตกอยู่ใต้ภาวะอารมณ์ที่ผันผวน ไม่ขยายขอบเขตของความทุกข์ ปล่อยให้ไปตามอารมณ์ที่ฟุ้งซ่าน ด้วยการยอมรับที่รู้เท่านทันและปล่อยให้ปัญหาคลี่คลาย จากหนักเป็นเบา ความกังวลจะค่อยๆ ลดความเข้มข้นลงตามเวลาที่ผ่านไปอย่างช้าๆ
ท่านติช นัท ฮันห์ พระเซนชาวเวียดนาม ที่ได้รับการยอมรับเป็นผู้นำด้านจิตวิญญาณ 1 ใน 2 ของโลก ครั้งหนึ่งท่านเคยตอบคำถามยากๆ ของนักข่าวที่ถามว่า "ทำอย่างไรมนุษย์ถึงจะมีชีวิตอยู่อย่างมีความสุข" ท่าน ก็ไม่ได้พูดถึงปรัชญาชีวิตอะไรที่ยุ่งยากซับซ้อนเลยสักนิด เพราะคำตอบของท่านดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่ใครก็มีความสุขได้ง่ายๆ แค่เพียง "ใช้ชีวิตอยู่กับปัจจุบัน ไม่ต้องโหยหาอดีตที่ผ่านไปแล้ว ไม่ต้องไขว่คว้าหาอนาคตที่ยังมาไม่ถึง"
ความสุขของคนส่วนใหญ่ไม่ได้อยู่ที่มีการศึกษาดีๆ มีฐานะ ไอคิวสูง แต่กลับขึ้นอยู่กลับ 'ความพึงพอใจ' ในชีวิตของตนเองในแต่ละคนต่างหาก

12 พ.ย. 2554

จาก 'ครอบครัว' สู่ 'โรงเรียน'

-0-
พอ.นพ.พงษ์ศักดิ์ ตั้งคณา วิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิและมีชื่อเสียง คุณหมอได้เล่าเปรียบเทียบเกี่ยวกับ 2 ครอบครัวที่มีมุมคิดต่างกัน ไว้อย่างน่าฟังว่า
ครอบครัวที่ 1 ; พ่อ แม่ นั่งอยู่ที่โต๊ะอาหารรอลูกมากินข้าวพร้อมกัน ลูกกลับจากโรงเรียนมาถึงบ้านส่งซองจากโรงเรียนให้แม่ 'เป็นประกาศผลสอบของโรงเรียน'
พออ่านผลสอบปรากฎว่าสอบได้ที่ 2 ทุกคนในบ้านเครียดหมดเลยครับ "ไอ้ ลูกไม่รักดี พ่อ แม่ อุส่าห์เอาใจทุกอย่างซื้อหนังสือให้ พาไปเรียนพิเศษ พาไปกวดวิชาที่ดังๆ ทำไมยังโง่ยังงี้ แค่สอบให้ได้ที่ 1 แค่นี้ทำไมทำไม่ได้" นั่งด่าลูก!! ข้าวปลาไม่ต้องกิน บรรยากาศในโต๊ะอาหารเครียดมาก..
ครอบครัวที่ 2 ; ข้างบ้านเป็นชั่วคราวของคนงานก่อสร้าง พอเปิดซองผลการสอบของลูก เฮกันลั่นบ้านเลยครับ ปรบมือดีใจหัวเราะกันสนั่นหวั่นไหว..
ครอบครัวที่ 1 สงสัยเดินเข้าไปถาม
"ลูกคุณสอบได้ที่ 1 หรือครับ ถึงได้ดีใจกันขนาดนี้?"
"เปล่าหรอกครับ"
"อ้าว! แล้วได้ที่เท่าไรล่ะ?"
"ได้ที่ 29 ครับ"
"สอบได้ที่ 29 ทำไมถึงต้องดีใจกันขนาดนี้ล่ะ!!"
"อ๋อ..ปกติมันสอบได้ที่ 30 ครับ.."
ความแตกต่างทางด้านความคิด นี่คือคนที่คิดเป็นกับคนที่คิดไม่เป็น
คนหนึ่งทั้งชั้นเขาแพ้แค่คนเดียว เครียดแทบตาย! ส่วนอีกคนทั้งชั้นเขาชนะแค่คนเดียว ดีใจกันทั้งบ้าน
ตอนท้ายเรื่องนี้ นพ.พงษ์ศักดิ์ ท่านยังได้เปรียบเปรยครอบครัวทั้ง 2 ว่า
ครอบครัวที่ 1 'คิดในแง่ลบ'
คิดเรื่องแพ้ แพ้คนเดียว แต่ชนะ 28 คน เครียด
ครอบครัวที่ 2 'คิดในแง่บวก'
คิดเรื่องชนะ ชนะแค่คนเดียว แต่แพ้ 28 คน มีความสุข

-1-
พ่อแม่ที่ชอบดุด่าประจานเด็กอยู่เป็นประจำ จะทำให้เด็กมองคุณค่าในตัวเองต่ำ เกลียดชังตัวเอง และรักใครไม่เป็น มองไม่เห็นคุณค่าของการมีชีวิตอยู่ ไม่อยากทำอะไรกับชีวิต และจะมีคำจำกัดความของชีวิตว่าเป็น ‘ผู้แพ้’
ในทางกลับกัน ถ้าพ่อแม่พูดจาชื่นชมยกย่องและให้กำลังใจเด็ก เด็กจะเติบโตด้วยความรู้สึกมั่นใจในตนเอง เชื่อมั่น มองโลกแง่ดี กล้าคิด กล้าพูด และมองคุณค่าในตัวเองสูง ข้อสำคัญคือ เขาจะรักตัวเองเพราะคำจำกัดความของชีวิตของเขาคือ ‘ผู้ชนะ’
จะเห็นได้ว่า การเลี้ยงดูของพ่อแม่ จะเป็นเหตุสำคัญที่จะทำให้เด็กเล็กๆ ที่ไร้เดียงสาเติบโตเป็นผู้ใหญ่ลักษณะใดก็ได้

-2-
ดร.เออ์วิน ไฮมาน ผู้เขียนหนังสือ 'Reading, Writing, and the Hickory Stick' กล่าวไว้ว่า วิธีการลงโทษทุกแบบทำให้เกิดผลกระทบร้ายแรงในระยะยาวต่อเด็ก งานวิจัยของเขาแสดงให้เห็นว่า แม้แต่ประสบการณ์ความเกรี้ยวกราดเพียงครั้งเดียว สามารถทำให้เกิดอาการเครียดหลายอย่าง เด็กจะหมดความสนใจในงานที่โรงเรียน เลิกทำการบ้าน และเริ่มประพฤติตัสก้าวร้าว จนเขาอาจมีความรู้สึกกังวลใจหรือหดหู่หรือหมดความเชื่อใจผู้ใหญ่

-3-
นพ.สุกมล วิภาวีพลกุล จิตแพทย์ เคยพูดเรื่องเกี่ยวกับครับครอบครัวหนึ่งไว้ว่า..
คุณ แม่นั่งรอลูกสาววัยรุ่นซึ่งไปงานเลี้ยงวันเกิดของเพื่อน ด้วยความหงุดหงิด กระวนกระวายใจ เป็นห่วงว่าลูกจะเป็นอันตรายจนกินไม่ได้นอนไม่หลับ เดินวนเวียนมองดูประตูบ้านตลอดเวลา
พอเที่ยงคืนลูกเปิดประตูบ้านเข้ามา คุณแม่พอเจอหน้าลูกสาวที่กลับมาจากเที่ยวก็พูดด้วยอารมณ์ที่ฉุนเฉียวใส่ ทันทีว่า “นี่เอ็งรู้ไหม? ทำไมเพิ่งกลับเอามาป่านนี้! แล้วใครมาส่ง? นี่เพิ่งจะเที่ยงคืนเองรีบกลับมาทำไม? ทำไมไม่กลับมาตอนเช้าเลยล่ะ! ตกลงเอ็งจะเรียนหรือจะมีสามีกันแน่?”
คุณแม่รอลูกด้วยความรักและความห่วงใย ลูกไม่กลับบ้าน แม่เหมือนใจจะขาด
แต่คำพูดที่แม่พูดออกไป ไม่สามารถสื่อสารให้ลูกสาวรับรู้ได้เลยว่า ‘คุณแม่รักและห่วงใยลูกสาว?’
ซึ่งคำพูดที่แม่สื่อออกไปนั้น กลับทำให้ลูกสาวเข้าใจผิดตรงกันข้าม
ด้วย ความโมโห! ลูกสาวจึงตอบสวนไปว่า “เรียนไปมีสามีไป มีอะไรรึเปล่า! สนุกดีออก” พูดเสร็จก็ปิดประตูใส่หน้าแม่ดังปัง ทั้งสองคนแม่ลูกแทบไม่เหลือความสุขอยู่เลย ไม่ต้องนอนกันทั้งคู่ มีปัญหากันทั้งคืน เพราะทั้งสองไม่ได้สื่อสารให้อีกฝ่ายหนึ่งทราบว่า ‘เรารัก เราปรารถนา และห่วงใย’
ลองเปลี่ยนวิธีการพูกสื่อสารกับลูกดูใหม่ครับ
สื่อสาร ให้ตรงกับที่ใจเราคิด ให้ตรงกับความรู้สึกที่มีต่อเขา ดูว่าผลจะแตกต่างกันอย่างไร? พอลูกสาวกลับมาถึงบ้าน ถ้าคุณแม่วิ่งเข้าไปกอด แล้วพูดว่า “กลับมาแล้วหรือลูก แม่ห่วงแทบแย่ หนาวไหม? รีบขึ้นไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วลงมาทานข้าวนะลูก แม่ทำอาหารโปรดไว้ให้ทาน เร็วๆ นะลูกนะ แม่รอ คราวหน้าถ้าลูกจะกลับดึกก็โทรบอกแม่ด้วยนะ แม่จะได้ไม่ห่วงและนอนหลับ”
พอคนฟังจะรู้สึกดีและรับรู้ถึงความรัก ความห่วงใยลูก
ลูกก็จะตอบว่า “กราบขอโทษคุณแม่ค่ะ ที่หนูทำให้แม่ไม่สบายใจ ต่อไปหนูจะไม่กลับดึกอีกแล้ว หนูรักแม่”
แล้วหอมแก้มกันฟอดใหญ่ ก่อนจะวิ่งไปอาบน้ำ

-4-
ถ้าพ่อแม่สอนเขาอย่างหนึ่ง แต่ทำตัวอีกอย่างหนึ่ง เด็กจะสับสน ไม่รู้ว่าอะไรควรทำไม่ควรทำ และเมื่อเขาทำเลียนแบบบ้าง เช่น ถ้าเห็นพ่อแม่กินเหล้า สูบบุรี่ และหากเขาทดลองดูบ้างกลับจะได้รับการลงโทษที่รุนแรง เด็กจะไม่เข้าใจและงงในความไม่อยู่กับร่องกับรอยของการกระทำของพ่อแม่ คุณค่าในตัวเองของเขาก็จะได้รับผลกระทบ เพราะไม่รู้ว่าทำอะไรลงไปแล้วผลจะเป็นอย่างไร ความไม่แน่นอนทำให้ความรู้สึกที่มีต่อตัวเอง และคุณค่าของเขาออกมาเป็นติดลบด้วย

-5-
เป็นธรรมดาที่พ่อแม่ทุกคนอยากตั้งความหวังไว้กับลูก แต่ถ้าความคาดหวังนั้นไม่อยู่บนพื้นฐานที่เป็นจริง เด็กก็ทำไม่ได้ เมื่อเด็กทำไม่ได้ เด็กก็จะเป็นทุกข์ และเนื่องจากเด็กอยากให้พ่อแม่รักตน เด็กก็จะพยายามทำทุกอย่างที่จะเป็นไปตามความต้องการของพ่อแม่ เพื่อให้ตัวเองได้เป็นที่รักของพ่อแม่ แต่เมื่อพบว่าตนเองทำไม่ได้ ก็รู้สึกไม่ได้รับความรัก และหมดคุณค่าในตนเองลงไป
ครอบครัวของเพื่อนรักของผมคนหนึ่งเป็นครอบครัวที่มีพ่อแม่รับราชการระดับสูง ซึ่งพ่อกับแม่ตั้งความคาดหวังกับลูกคนโต(พี่ชายของเพื่อผม)ไว้อย่างเลิศลอย และเด็กชายก็พยายามจะทำทุกอย่างให้พ่อแม่ไม่ให้ผิดหวังในตัวเขา แต่ปรากฏว่า ในครั้งหนึ่งเพียงแค่เขาสอบได้เกรดเฉลี่ยอับดับที่ 2 ในระดับชั้น เด็กชายผู้ไม่เคยทำความผิดหวังให้ใครก็รับกับสภาพพ่ายแพ้นี้ไม่ได้(เขาแพ้ เพียง 1 คน แต่เขาชนะเพื่อนๆในระดับชั้นทั้ง 9 ห้อง อีกตั้ง 1,300 กว่าคน) และเมื่อเด็กชายกลับบ้านในวันทราบเกรดเฉลี่ยวันนั้น เขาก็ตัดสินใจเก็บตัวเงียบในห้องเรื่อยๆ มา
การตั้งความหวังสูงเลิศลอยให้แก่ลูก จึงเป็นสิ่งที่พ่อแม่ทุกคนต้องระวังให้มาก เพราะถ้ามันไม่อยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริงแล้ว คนที่ทุกข์ที่สุดก็คือตัวพ่อแม่นั่นเอง

8 พ.ย. 2554

1 ในเรื่องเล่าของกิจกรรมจิตศึกษา..เรื่องของเท็ดดี้.

   วันที่ 16 ตุลาคม  2554 คณะครูจากโรงเรียนเทศบาลบ้านหนองใหญ่ จ.ขอนแก่น ได้เข้ามาอบรมที่โรงเรียนลำปลายมาศพัฒนา วันนั้นเป็นวันสุดท้ายของการอบรม ก่อนที่ทางคณะครูจะเดินทางกลับ
ครูใหญ่วิเชียร ไชยบัง ได้สรุปภาพรวมของกิจกรรมทั้ง 2 วัน จากนั้นครูใหญ่ได้อ่านเรื่องราวของเท็ดดี้ให้คุณครูทั้งหมดที่อยู่ห้องประชุมในวันนั้น(ครูนอกกะลา+ครูจากขอนแก่น)รวมแล้วก็ประมาณ 100 กว่าคนเห็นจะได้ครับ


เรื่องของเท็ดดี้
ในวันแรกของการเรียน คุณครูทอมป์สันโกหกนักเรียนชั้น ป.5 ของครูทั้งชั้นซะแล้ว คุณครูบอกกับนักเรียนว่า ครูรักเด็กๆ เท่ากันหมดเลย แต่ในความเป็นจริง มันกลับไม่ได้เป็นเช่นนั้น เพราะว่ามีเด็กตัวเล็กๆ ท่าทางขี้เกียจคนหนึ่ง ชื่อ 'เท็ดดี้ สต๊อดดารด์' ซึ่งครูทอมป์สันได้จับตาดูเท็ดดี้มาปีหนึ่ง และ สังเกตว่าเขาท่าทางขี้เกียจไม่ร่าเริงไม่เล่าหัวเราะกับใคร เสื้อผ้าของเขาสกปรกและตัวเหม็นหึ่งอยู่ตลอดเวลา แถมบางทีเท็ดดี้ก็เกเรเสียด้วย ถึงขั้นที่ว่าครูทอมป์สันสนุกกับการตรวจงานของเท็ดดี้ ด้วยหมึกสีแดง กากบาทไปหนาๆ และใส่ตัว 'F' ตัวใหญ่ๆ ลงไปบนหัวกระดาษ เธอรู้สึกสะใจที่ได้ทำเช่นนั้นด้วยซ้ำไป
  ในโรงเรียนที่คุณครูทอมป์สันสอนนั้น คุณครูมีหน้าที่ที่จะต้องทบทวนประวัติของเด็กแต่ละคนจากระเบียนสะสมประจำตัวและครูก็ผัดผ่อนไม่ยอมตรวจประวัติของเท็ดดี้ เธอเก็บแฟ้มของเท็ดดี้ไว้ท้ายสุด แต่เมื่อคุณครูเปิดแฟ้มอ่าน ครูทอมป์สันก็แปลกใจมาก เมื่อพบว่า ครูชั้น ป.1 ของเท็ดดี้เขียนว่า 'น้องเท็ดดี้เป็นเด็กที่ฉลาดและร่าเริง ทำงานเรียบร้อย มารยาทดี เป็นเด็กที่น่ารักมากทีเดียว' คุณครูที่สอนเท็ดดี้ตอน ป.2 เขียนว่า 'เท็ดดี้เป็นเด็กที่เรียนเก่งมาก เพื่อนๆ ชอบกันทุกคน แต่กำลังมีปัญหา เพราะแม่ของเท็ดกำลังป่วยหนักและชีวิตทางบ้านต้องลำบากมาก แน่ๆ ถ้าไม่ได้รับการการเยียวยาทางจิตใจให้ถูกต้อง' คุณครูที่สอนเท็ดดี้ตอน ป.3 เขียนว่า 'เขาเสียใจมากที่เสียแม่ไป เขาพยายามเต็มที่แล้ว แต่คุณพ่อก็ไม่ค่อยให้ความรัก ความสนใจเขาเท่าไหร่นักและชีวิตที่บ้านเขาต้องส่งผลกระทบต่อเขาแน่ๆ ถ้าไม่มีคนยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ'
   คุณครูที่สอนเท็ดดี้ตอน ป.4 เขียนว่า 'เท็ดดี้ไม่ยอมเข้าสังคมและไม่ค่อยสนใจการเรียนเท่าที่ควร ไม่ค่อยมีเพื่อนและชอบหลับในห้องเรียนเป็นประจำ'
  ตอนนี้คุณครูทอมป์สันรู้ถึงปัญหาแล้วและละอายใจตัวเองมากที่ตัดสินเกี่ยวกับเท็ดดี้ไปผิดๆ ก่อนหน้านี้ และครูรู้สึกแย่ยิ่งกว่าเดิมอีก ในวันคริสต์มาส เมื่อนักเรียนในห้องซื้อของขวัญมาให้ แต่ละคนห่อด้วยกระดาษสีสดๆ พร้อมผูกโบว์อย่างดี ยกเว้นแต่ของเท็ดดี้ ของขวัญของเท็ดดี้ถูกห่ออย่างหยาบๆ ในกระดาษลูกฟูกหนาๆ ที่ได้มาจากถุงใส่กับข้าว ครูทอมป์สันกัดฟันเปิดกล่องของเท็ดดี้กลางกองของขวัญอื่นๆ เด็กบางคนเริ่มหัวเราะเมื่อเห็นว่าเท็ดดี้ ให้กำไลลูกปัดที่ไม่ครบเส้นและขวดน้ำหอมที่เหลือน้ำอยู่เพียงก้นขวดแก่เธอ แต่ครูก็หยุดเสียงหัวเราะของเด็กๆ เมื่อครูเอ่ยขึ้นว่า 'กำไลเส้นนั้นสวยเหลือเกิน' ครูนำมันมาสวมใส่ไว้ที่ข้อมือทันที พร้อมกับฉีดน้ำหอมไปบนข้อมือด้วย
  เย็นวันนั้น เท็ดดี้ สต๊อดดารด์ อยู่รอจนเย็นหลังเลิกเรียน เพื่อที่จะพูดกับคุณครูว่า 'ครูทอมป์สันครับ วันนี้ครูตัวหอมเหมือนที่แม่ผมเคยหอมเลยครับ'
หลังจากที่นักเรียนทุกคนกลับบ้าน ครูทอมป์สันก็ร้องไห้เป็นชั่วโมงๆ ในวันนั้นเอง ที่คุณครูเลิกสอนหนังสือ เลิกสอนการเขียนและเลิกสอนเลขคณิต แต่คุณครูเริ่มหันมาสอนเด็กๆ แทน
นับแต่วันนั้นเป็นต้นมา คุณครูทอมป์สันก็เอาใจใส่เท็ดดี้เป็นพิเศษ เมื่อครูพยายามช่วยเขา จิตใจของเขาก็กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง ยิ่งครูให้กำลังใจเท็ดดี้เท่าไหร่ เขาก็ยิ่งตอบรับเร็วขึ้นเท่านั้น ภายในสิ้นปีนั้น เท็ดดี้ได้กลายเป็นเด็กที่ฉลาดที่สุดในห้อง! และแม้ว่าคุณครูจะบอกว่าครูรักเด็กทุกคนเท่ากัน แต่เท็ดดี้ก็ได้กลายไปเป็น 'ศิษย์โปรด' ของครูไป
  หนึ่งปีต่อมา คุณครูพบจดหมายอยู่ใต้ประตู จดหมายนั้นมาจากเท็ดดี้บอกครูว่า คุณครูยังเป็นครูที่ดีที่สุดที่เขาเคยมี หกปีต่อมาครูก็ได้จดหมายจากเท็ดดี้อีก บอกว่าเขาเรียนจบมัธยมปลายแล้ว สอบได้ที่สามในชั้นและคุณครูยังคงเป็นครูที่ดีที่สุดที่เขาเคยเจอมาในชีวิต
สี่ปีหลังจากนั้น คุณครูก็ได้จดหมายอีกบอกว่าแม้ว่าชีวิตเขาจะลำบาก เขาก็ไม่ได้เลิกเรียนหนังสือและจะจบปริญญาตรีในเร็วๆ นี้ ด้วยเกียรตินิยมอันดับหนึ่งและยังย้ำกับครูทอมป์สันว่า คุณครูยังคงเป็นครูที่ดีที่สุดและเป็นครูคนโปรดในชีวิตเขา
จากนั้นสี่ปีผ่านไป จดหมายอีกฉบับหนึ่งก็ถูกส่งมา ครั้งนี้เขาอธิบายว่าหลังจากที่เขาได้รับปริญญาตรีแล้ว เขาตัดสินใจที่จะเรียนต่ออีกนิด จดหมายนั้นอธิบายว่าคุณครูยังเป็นครูคนที่ดีที่สุดที่เขาเคยมี แต่ตอนนี้ชื่อของเขายาวขึ้นอีกหน่อยแล้ว จดหมายนั้นลงชื่อว่า 'นพ. ทีโอดอร์ เอฟ สต๊อดดารด์'
   เรื่องยังไม่จบแค่นี้นะ..
ฤดูใบไม้ผลินั้น ก็ยังมีจดหมายมาอีก เท็ดดี้บอกว่า เขาได้เจอผู้หญิงที่ดีคนหนึ่ง แล้วก็กำลังจะแต่งงานกัน เขาเล่าว่าพ่อของเขาได้เสียชีวิตไปแล้วเมื่อ 2-3 ปีก่อน และไม่แน่ใจว่าคุณครูทอมป์สันจะตกลงมานั่งในที่นั่งสำหรับพ่อแม่เจ้าบ่าวในงานแต่งงานได้หรือไม่?
แน่นอนที่สุดครูทอมป์สันตอบตกลงมาร่วมงานแต่งงาน และทายซิว่าเกิดอะไรขึ้น! ในวันนั้น
คุณครูใส่กำไลข้อมือเส้นนั้นมาร่วมในงานแต่งงานของเท็ดดี้ กำไลเส้นที่มีลูกปัดหายไปหลายลูกและ ฉีดน้ำหอมขวดที่เท็ดดี้ให้ เมื่อพบกันครั้งนี้ ทั้งครูกับศิษย์ก็โผเข้ากอดกันกลมเลยและคุณหมอเท็ดก็กระซิบข้างหูของคุณครูทอมป์สันว่า
  'ขอบคุณมากนะครับ ที่คุณครูเชื่อในตัวผม ขอบคุณมากที่ทำให้ผมรู้สึกเป็นคนสำคัญ และแสดงให้ผมเห็นว่า ผมสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิตให้ดีงามได้จริงๆ'
  ครูทอมป์สันกระซิบตอบพร้อมน้ำตานองหน้าว่า 'หมอเท็ด เธอเข้าใจผิดแล้ว เธอต่างหากที่สอนครูว่า ครูสามารถเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆ ได้ ครูไม่เคยรู้จักการสอนที่แท้จริง จนกระทั่งครูได้พบได้รู้จักเธอนั่นแหละ'
(จากหนังสือ Chicken Soup for the soul)

  นี่ก็เป็นอีกหนึ่งในกิจกรรมจิตศึกษาที่ครูสามารถอ่านถ่ายทอดเรื่องราวให้ผู้เข้าร่วมกิจกรรมรับฟังได้ พร้อมกับให้ผู้เข้าร่วมกิจกรรมรู้สึกมีอารมณ์ร่วมหลังจากได้ฟังจบลง
ในขั้นนำก่อนสอนคณิตศาสตร์ผมนำเรื่องของเท็ดดี้ ไปเล่าให้เด็ก ป.5 ฟัง เด็กทุกคนรู้สึกมีอารมณ์ร่วมมาก ค่อยติดตามเรื่องราวของเท็ดดี้ทีละฉากๆ เพราะตอนนั้นเป็นช่วงอายุเดียวกันพอดี การที่เด็กคนหนึ่งเกิดความงอกงามในตัวเองได้เพียงนี้ เช่นดังคุณหมดเท็ดดี้นี้ นี่ก็ยังเป็น 'ปาฏิหาริย์การเปลี่ยนแปลง' อีกด้วยครับ
การที่เห็นผู้ฟัง มีความรู้สึกร่วม ผู้ดำเนินกิจกรรมก็จะมีความเชื่อมั่น และกิจกรรมนั้นก็จะดำเนินไปอย่างลื่นไหล แถมยังมีประโยชน์ทั้งสองฝ่ายเช่นกัน.

4 พ.ย. 2554

ทุกๆ วิกฤติการณ์นั้น ย่อมจะมีโอกาสซ่อนอยู่เสมอ

  โกไลแอทเป็นยักษ์ที่เข้ามาทำร้ายและคุกคามเด็กๆ ในหมู่บ้าน คนทั้งหมูบ้านล้วนกลัวยักษ์ตนนี้ทั้งสิ้น นอกจากเด็กวัยรุ่นอายุ 17 ปี ชื่อว่า 'เดวิด' ซึ่งเป็นเด็กเลี้ยงแกะที่แวะมาเยี่ยมญาติและเมื่อเดวิดรู้เรื่องยักษ์ เขาก็บอกกับชาวบ้านว่า"ทำไมพวกเราไม่ลุกขึ้นมาสู้กับยักษ์ตนี้ล่ะ"
ชาวบ้านตอบด้วยความหวาดกลัวว่า"ใครจะไปสู้ได้ ตัวมันใหญ๋จะตาย มันใหญ่เกินกว่าที่จะสู้กับมันได้"
เมื่อฟังดังนั้น เดวิดก็บอกกับทุกคนว่า "มันตัวใหญ่สิดี! เพราะมันใหญ่เราจึงไม่พลาดยังไงล่ะ"
 ว่าแล้วเดวิดก็ไปสู้กับยักษ์ โดยใช้หนังสติ๊กง้างและยิงเขาไปที่ตายักษ์ ทำให้เจ้ายักษ์ตนนี้ล้มลงและเดวิดก็สามารถฆ่ายักษ์ได้.

  ผมเคยเล่าเรื่องนี้ให้เด็กๆ นักเรียน ชั้น ป.2 และชั้น ป.3 ฟังก่อนสอนวิชาคณิตศาสตร์ เด็กๆ หลายคนบอกว่าประทับเรื่องนี้มาก และตัวละครอย่างเจ้าเด็กหนุ่มเดวิดผู้นี้ เขาก็เป็นเพียงเด็กเลี้ยงแกะธรรมดาคนหนึ่ง แต่เขากลับมีความคิดเชื่อ ความคิดและเห็นต่างมุมมองที่แตกต่างจากหลายๆ คนที่เห็นยักษ์ตนนี้
หลายคนเห็นยักษ์ตัวใหญ่โตน่ากลัว เราสู้ยักษ์ตนนี้ไม่ได้หรอก! อย่างเพียงริที่จะคิดสู้กับมันเสียเลย เสียเวลาเปล่าๆ แต่เด็กหนุ่มเดวิดบอกว่า ตัวใหญ่สิดี เราจะได้เปรียบเป้ามันใหญ่ชัดเจนดี เราจะไม่พลาด
  ฮีโร่(Hero) : หลายคนปรารถนาจะเป็นฮีโร่ แต่คนส่วนใหญ่ได้เพียงแต่จะคิดและเพียงจินตนาการไปเองทุกครั้ง มากกว่าที่จะกล้าลงมือทำเลย โดยไม่ต้องรีรอแต่ 'โอกาส'
  มีเรื่องเกี่ยวกับโอกาสที่ผมเคยเขียนลงในบันทึกเก็บเรื่องราวเอาไว้ว่า ที่เมืองหนึ่งของประเทศกรีก เคยมีรูปปั้นแกะสลักตั้งอยู่ใจกลางเมือง ปัจจุบันรูปปั้นนี้ไม่เหลือแม้แต่ซาก แต่แผ่นจารึกที่บรรยายเกี่ยวกับรูปปั้นยังคงเหลืออยู่ คำบรรยายเขียนไว้ในรูปแบบการสนทนาระหว่างรูปปั้นกับคนที่เดินผ่านไปมา..
"รูปปั้นเอ๋ย ท่านชื่ออะไร"
"ฉันชื่อ..โอกาส"

"ใครเป็นคนสร้างท่านขึ้นมา"
"ช่างแกะสลักชื่อ ลีซีปัส"

"เหตุใดท่านจึงยืนเขย่งเท้า?"
"เพื่อบ่งบอกว่าฉันอยู่เพียงชั่วครู่ชั่วยาม"

"แล้วทำไมที่เท้าของท่านจึงมีปีก"
"เพื่อแสดงให้เห็นว่าฉันจะผ่านไปอย่างรวดเร็ว"

"แต่ทำไมผมด้านหน้าของท่านจึงยาวอย่างนี้"
"ก็เพื่อให้คนที่พบฉัน จะได้จับฉวยไว้ได้ง่าย"

"แล้วทำไมหัวด้านหลังของท่านจึงล้าน ไม่มีผมแม้แต่เส้นเดียว"
"ก็เพื่อแสดงให้เห็นว่า เมื่อฉันผ่านไปแล้ว ก็ยากที่จะจับฉันได้ใหม่"

จริงด้วยทางด้านหน้าของ "โอกาส" มีผมยาวแต่ด้านหลังล้านเกลี้ยง เพราะเมื่อปล่อยให้ "โอกาส" ผ่านไปแล้วก็ยากที่จะจับยึดมันกลับมาได้อีก..

"โอกาส" จึงเร้าเตือนเราทุกคนว่า.. "อย่ามาต่อว่าฉัน ว่าฉันไม่เคยมาเยี่ยมกราย เพราะบ่อยครั้งเหลือเกินที่ฉันมาเคาะประตู แต่เธอกลับไม่อยู่บ้านทุกวัน ฉันยืนรออยู่ที่หน้าบ้านเธอ เรียกให้เธอตื่น ให้ขยันขันแข็ง ให้รีบตัดสินใจ ให้ลงมือทำ ให้ออกแรง ให้สู้ เพื่อจะได้มาซึ่งชัยชนะและความสำเร็จ จงอย่าปล่อยให้ฉันผ่านไป เธอจะได้ไม่ต้องมานั่งเสียใจในภายหลังที่ฉัน "โอกาส" ผ่านมา แต่เธอไม่รู้จักจับฉวย"

โอกาสถ้าหากเราจับฉวยได้ทัน ก็สามารถเปลี่ยนเป็นความสำเร็จได้ แต่หากเราไม่จับฉวยโอกาส ไม่สนใจ ก็คือเหตุการณ์ที่ผ่านไป ส่วนวิกฤติถ้าเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่างในเวลาที่เหมาะสม ก็สามารถเปลี่ยนเป็นความสำเร็จได้ ถ้าหากเราเพิกเฉยในวิกฤติ ไม่คิดเปลี่ยนแปลงภายในเวลาที่เหมาะสมก็คือ 'หายนะ'
ดังเช่นตัวอย่างเรื่องเล่านี้ครับ ในหมู่บ้านแห่งหนึ่งที่ประเทศอินเดียชาวสวนส่วนใหญ่มักจะมีปัญหากับลิงเข้ามาขโมยผลไม้กินเป็นประจำ พวกชาวบ้านก็อยากจะหาวิธีเพื่อจะจับลิง และพวกชาวบ้านก็เลยทำได้โดยการใช้กล่องไม้ที่มีฝาด้านหนึ่งเจาะรูเล็กๆ ขนาดพอที่มือของลิงจะสอดเขาไปได้ ในกล่องนี้เขาก็ใส่ถั่วซึ่งเป็นของโปรดของลิงเอาไว้เป็นเหยื่อล่อ เมื่อลิงเห็นถั่วในกล่อง มันก็เอามือล้วงลงไป พอจะดึงมือออกก็ติดฝากล่อง เพราะกำมือของลิงใหญ่กว่าฝากล่องที่เจาะไว้ ลิงก็พยายามดึกเท่าไรก็ไม่สำเร็จ
ชาวบ้านจึงสามารถจับลิงได้ เพราะมันไม่สามารถปีนต้นไม้หนีได้ด้วยมือเพียงข้างเดียวที่อยู่นอกกล่อง ลิงไม่ตระหนักเลยว่าถ้าหากเพียงมันคลายมือออก มันก็จะเอาตัวรอดได้ แต่เพราะมันกำยึดถั่วเอาไว้แน่นไม่ย่อมปล่อย มันจึงต้องเอาชีวิตเข้าแลกด้วยชีวิตของมันเอง!
  ลิงตัวนี้ได้รับโอกาส ได้กินถั่วที่มันชอบ แต่ในโอกาสนั้นลิงทำตัวมันเองให้กลายเป็นวิกฤติขึ้นมา นำไปสู่ความหายนะของชีวิตของเสียเองจนได้
โอกาสเป็นของทุกๆ สรรพสัตว์และวิกฤติก็เป็นของทุกๆ สรรพสัตว์ที่จะต้องพบเจอเช่นเดียวกันเสมอ ไม่ช้าหรือเร็วเราก็จะต้องพบเจอ
แต่จะเห็นโอกาสหรือวิกฤตินั้นมันขึ้นอยู่กับมุมมองของแต่ละสรรพสัตว์ ขอเพียงใช้ใจมองให้เห็นความเป็นจริง ใช้สมองครุ่นคิดในเชิงบวกกับทุกๆ สรรพสิ่งที่พบเห็น ทุกๆ อย่างล้วนเข้ามา แล้วมันก็จะผ่านไป

 เราไม่รู้หรอกว่าหากเราคลายสิ่งหนึ่งสิ่งใดลงได้ ปัญหาที่ดูสลับซับซ้อนทั้งหลายก็อาจจะคลี่คลายได้ แต่หากเรามักจะไม่ยอม ยอมไม่ได้ ยอมแล้วกลัวเสียศักดิ์ศรีจึงยึดไว้ถือไว้ จนหน้ามืดตามัว
เมื่อเรายึดไว้ขนาดนั้นทางแก้ก็ไม่มี เพราะเมื่อเวลาที่มีตัวตน(อัตตา)เข้ามาเกี่ยวข้องด้วยทีไรปัญญาก็มักจะดับ การแก้ปัญหาจึงเกิดขึ้นไม่ได้.
 
อีกกรณีที่สามารถนำมาปรับประยุกต์เป็นบทเรียนอันมีคุณค่าของชีวิตเราได้ การเห็นโอกาสทองในวิกฤติ ดังนิทานิทานอีสปเรื่องนี้ครับ
 มีชาวนาคนหนึ่งเลี้ยงลาไว้ตัวหนึ่งซึ่งแก่มากแล้ว ด้วยความโง่ของมันดันเดินซุ่มซ่ามไปตกบ่แห่งหนึ่ง มันร้องครวญคราง อยู่เป็นเวลานาน ชาวนาเองก็พยายามใคร่ครวญหาวิธีที่จะช่วยมันขึ้นมา ในที่สุดชาวนาหวนคิดขึ้นมาได้ว่า เจ้าลาก็แก่เกินไปแล้ว อีกอย่างบ่อนี้ก็ต้องกลบไม่คุ้มที่จะช่วยเจ้าลา ชาวนาจึงไปขอแรงชาวบ้านเพื่อมาช่วยกลบบ่อ ทุกคนใช้พลั่วตักดินสาดลงไปในบ่อ
  ครั้งแรกเมื่อดินถูกหลังลา มันตกใจและรู้ชะตากรรมของตนเองทันที มันร้องโหยหวน สักพักหนึ่ง
ทุกคนก็แปลกใจที่เจ้าลาเงียบไป หลังจากชาวนาตักดินใส่บ่อได้สักสองสามพลั่ว เมื่อเหลือบมองลงไปในบ่อ ก็พบกับความประหลาดใจที่ลามันจะสะบัดดินออกจาก หลังทุกครั้งที่มีผู้สาดดินลงไป แล้วก้าวขึ้นไป
เหยียบบนดินเหล่านั้น ยิ่งทุกคนพยายามเร่งระดมสาดดินลงไปมากเท่าไร มันก็ก้าวขึ้นมาเร็วได้มากยิ่งขึ้น
ในไม่ช้าทุกคนต่างประหลาดใจในที่สุด เจ้าลาสามารถหลุดพ้นจากปากบ่อดังกล่าวได้

ในภาษาจีนคำว่า "เหวย-จี" แปลว่า "วิกฤติการณ์"
ซึ่งมาจากการผสมของคำ 2 คำ ระหว่าง "เหวย" กับ "จี"
ซึ่ง "เหวย" แปลว่า วิกฤติการณ์ ส่วน "จี" เปลว่า โอกาส

"เหวย-จี" จึงสะท้อนปรัชญาชาวจีน ที่เชื่อว่าทุกๆ วิกฤติการณ์นั้นมีโอกาสซ่อนอยู่
ดังนั้น..ผู้ที่จะประสบความสำเร็จในชีวิตคือ ผู้ที่พร้อมรับวิกฤติการณ์...

27 ต.ค. 2554

ประสบการณ์เดิม ที่ผมประสบพบอีกหน(ความสุข ความอดทน ใจของเรานี่เอง)

  สองสามสัปดาห์ที่ผ่านมานี้ผมนั่งอ่านทบทวนหนังสือเล่มก่อนๆที่เคยอ่านมา พร้อมกับนั่งเคลียร์งานเอกสารต่างๆ ในชั้นเรียน เพื่อเตรียมตัวเตรียมการสอนก่อนเปิดเรียนในภาคเรียนที่ 2/2554  โรงเรียนลำปลายมาศพัฒนา จ.บุรีรัมย์
การอ่านหนังสือทบทวนอีกหน มันเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง ทำให้ผมได้เห็นมุมมองใหม่ๆ จากหนังสือเล่มเดิม
- มุมมองที่เห็นหลากหลายด้าน ข้อคิด สิ่งที่นำมาปรับใช้
- มุมมองที่เห็นหัวใจของเรื่องเดิมมากขึ้น เห็นการเชื่อมโยงจากความรู้เดิมที่สั่งสมมา จากระยะเวลาหนึ่ง
- มุมมองใหม่ที่เห็นความปราณีตของการเขียน การใช้คำ การเชื่องโยง

เวลาที่ผมมีความสุข ความสบาย ความโล่งจากภายใน..
ขณะเวลานั้น มองเห็นอะไรก็ใจก็จะเป็นสุข พอมานั่งเขียนงานคีบอร์ดนุ่มเหมือนปุยนุ่น มองเห็นอักษรที่เขียนลงในบทความ เหมือนตัวเองมองเห็นว่าเราจะเขียนออกมารูปแบบใด ที่ทำให้ท่านผู้อ่านคล้อยตาม มีอารมณ์มีความรู้สึกร่วมกับงานเขียนของเรา
ความคิดบวก(Positive Thinking) มักทำให้เราเกิดจินตนาการเชิงลึกและสร้างสรรค์บ่อยครั้ง
ยิ่งถ้าเราเห็นมุมมองของตัวอย่างที่เราพบเจอด้วยตัวเอง อ่านเจอจากเรื่องราวที่เราประทับใจ เราก็มักจะเชื่อมโยงความรู้สึกนั้นมาเสริมกับความรู้เดิมของเราที่เราคิดบวกไว้ แล้วมันก็มักจะกลายเป็นจิตนาการอันบรรเจิด

  วันที่ 24 ตุลาคม 2554 เวลาประมาณ 3 ทุ่มกว่าๆ ผมหยิบบันทึกของผมขึ้นมาเขียนเรื่องหนึ่งที่ผมเคยอ่านเจอมาก่อนเมื่อหลายปีที่แล้ว สมัยเรียนอยู่มัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนนาแกสามัคคี จ.นครพนม ตอนนั้นเองผมค้นหาคำว่า 'พระไพศาล วิสาโล' ใน youtube.com จากนั้นผมก็เลือกเรื่องการบรรยายธรรมะของพระอาจารย์ท่าน
  ท่านพูดสอนเรื่อง 'ทุกข์แท้แก้ที่ใจของเรา' ซึ่งเป็นเรื่องเดียวกับที่ผมเคยอ่านเจอในหนังสือมงคลชีวิต : มงคลที่ 27(พระสมชาย ฐานวุฑฺโฒ : 246-247) เรื่องที่ได้ฟัง/ได้อ่านมานั้น เรื่องมีอยู่ว่า..
   พระปุณณะเดิมเป็นชาวสุนาปรันตะ ไปค้าขายที่เมืองสาวัตถีได้ฟังเทศน์จากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เกิดความเลื่อมใสศรัทธาจึงออกบวช
ครั้นบวชแล้วการทำสมาธิภาวนาไม่ได้ผล เพราะไม่คุ้นกับสถานที่ ท่านคิดว่าภูมิอากาศที่บ้านเดิมของท่านเหมาะกับตัวท่านมากกว่า จึงทูลลาพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
พระสัมมาสัมพุทธเจ้า รับสั่งถามว่า
"เธอแน่ใจหรือ ปุณณะ, คนชาวสุนาปรันตะนั้นดุร้ายมากนักทั้งหยาบคายด้วย เธอจะทนไหวหรือ"
"ไหวพระเจ้าข้า"
"นี่ปุณณะ ถ้าคนพวกนั้นเขาด่าเธอ เธอจะมีอุบายอย่างไร"
"ข้าพเจ้าก็จะคิดว่าถึงเขาจะด่าก็ยังดีกว่าเขาตบต่อยด้วยมือพระเจ้าข้า"
"ถ้าเผื่อเขาต่อยเอาล่ะ ปุณณะ"
"ก็ยังดีพระเจ้าข้า ดีกว่าเขาเอาก้อนดินข้วางเอา"
"ก็ถ้าเขาเอาก้อนดินขว้างเอาล่ะ"
"ข้าพระองค์ก็จะคิดว่า ก็ยังดีพระเจ้าข้า ดีกว่าเขาเอาไม้ตะพดตีเอา"
"เออ ถ้าเผื่อเขาหวดด้วยตะพดล่ะ"
"ก็ยังดีพระเจ้าค่ะ ดีกว่าถูกเขาแทงหรือฟันด้วยหอกดาบ"
"เอาล่ะ ถ้าเผื่อคนพวกนั้นเขาจะฆ่าเธอด้วยหอกด้วยดาบล่ะ ปุณณะ"
"ข้าพระองค์ก็จะคิดว่า มันก็เป็นการดีเหมือนกัน พระเจ้าข้า"
"ดีอย่างไร ปุณณะ"
"ก็คนบางพวกที่คิดอยากตาย ยังต้องเสียเวลาเที่ยวแสวงหาศัสตราวุธมาฆ่าตัวเอง แต่ข้าพระองค์ มีโชคดีกว่าคนพวกนั้น ไม่ต้องเสียเวลาไปเที่ยวหาศัสตราวุธอย่างเขา"
"ดีมาก ปุณณะ เธอคิดได้ดีมาก เป็นอันตกลง เราอนุญาตให้เธอไปพำนักทำความเพียร ที่ตำบลสุนาปรันตะได้"
   พระปุณณะกลับไปเมืองสุนาปรันตะแล้ว ทำความเพียร ในไม่ช้าใจก็หยุดนิ่ง เข้าถึงพระธรรมกายไปตามลำดับ จนได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์
นี่คือเรื่องของพระปุณณะ นักอดทนตัวอย่าง ซึ่งอดทนได้โดยวิธีเชิดอารมณ์ที่มากระทบนั้นให้สูงขึ้น.

  เรื่องของพระปุณณะผมเคยนำไปเล่าให้นักเรียนฟังหลายชั้นที่ผมสอน เล่าสอดแทรกแง่คิดเรื่องความอดทนและการยกระดับของอารมณ์

  อีกเรื่องหนึ่งที่ผมประทับใจมากๆ ทุกครั้งที่นึกถึงเรื่องความอดทน ความเพียร ที่ท่านทำได้ยาวนานเป็นเวลาหลายต่อหลายปี ท่านก็คือ 'พระเตมีย์'
ผมมีโอกาสได้สอนคณิตศาสตร์ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ใน Quarter 2 นักเรียนชั้น ป.6 เรียนเรื่องนิทาน ทศชาติ 10 ชาติ ในรายวิชาภาษาไทย และผมก็ได้มีโอกาสฟังเรื่องราวจากครูสังข์(นายนิคม ศาลาทอง)และนักเรียนชั้น ป.6 บางคนเล่าให้ฟังถึงความมานะ อดทน ที่ต้องยอมบำเพ็ญเพียรของพระเตมีย์ เรื่องมีอยู่ว่า..
   เมื่อครั้งพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังทรงบำเพ็ญบารมีเป็นพระโพธิสัตว์อยู่ มีอยู่ชาติหนึ่ง
พระองค์เกิดเป็นโอรสกษัตริย์นามว่าพระเตมีย์ ขณะอายุได้ ๖-๗ ขวบ ได้เห็นพระราชบิดาสั่งประหารโจรโดยใช้ไฟครอกให้ตาย ด้วยบุญบารมีที่ทำมาดีแล้ว ทำให้พระเตมีย์ระลึกชาติได้ว่าภพในอดีตพระองค์ก็เคยเป็นกษัตริย์ และก็เคยสั่งประหารโจร ทำให้ต้องตกนรกอยู่ช้านาน จึงคิดว่า ถ้าชาตินี้เราต้องเป็นกษัตริย์อีก ก็ต้องฆ่าโจรอีก แล้วก็จะตกนรกอีก
   ตั้งแต่วันนั้นมา พระเตมีย์จึงแกล้งทำเป็นใบ้ ทำเป็นอ่อนเปลี้ยเสียขาไม่ขยับเขื้อนร่างกายพระราชบิดาจะเอาขนมเอาของเล่นมาล่อ ก็ไม่สนใจ จะเอามดมาไต่ ไรมากัด เอาไฟมาเผารอบตัวให้ร้อน เอาช้างมาทำท่าจะแทงก็เฉย ครั้งถึงวัยหนุ่ม จะเอาสาวๆ สวยๆ มาล่อ ก็เฉยเพราะคำนึงถึงภัยในนรก หิริโอตตัปปะเกิดขึ้นเต็มที่ จึงมีความอดทนอยู่ได้
  นานวันเข้าพระราชบิดาเห็นว่า ถ้าเอาพระเตมีย์ไว้ก็จะเป็นกาลกิณีแก่บ้านเมือง จึงสั่งให้คนนำไปประหารเสียนอกเมือง เมื่อออกมาพ้นเมืองแล้ว พระเตมีย์ก็แสดงตัวว่าไม่ได้พิการแต่อย่างใด มีพละกำลังสมบูรณ์พร้อม แล้วก็ออกบวช ต่อมาพระราชบิดา ญาติพี่น้อง ประชาชนก็ได้ออกบวชตามไปด้วยและได้สำเร็จฌานสมาบัติกันเป็นจำนวนมาก.

หลายครั้งที่ผมนั่งตั้งจิตภาวนาให้จิตใจผ่อนคลาย สงบลง เยือกเย็นให้ทุกขณะจิต
หลายครั้งที่หยิบหนังสือธรรมะขึ้นมาอ่าน สอนใจ แล้วบ่อยครั้งก็จะเขียนเก็บเรื่องราวต่างๆ ที่ประทับใจเก็บเอาไว้ เอามาเขียนเล่าต่อให้ผู้ที่เข้ามาอ่านได้รับรู้สึกดีๆ ที่น่าประทับใจนั้นกลับไปด้วยความปิติ
หลายครั้งที่ผมเปิดคอมฯ เข้าไปฟังธรรมะตามเว็บต่างๆ หรือปรัชญาชีวิต
หลายครั้งที่ผมขับรถไปฟังธรรมะที่วัดหรือสถานที่สำคัญเกี่ยวกับศาสนา
หลายครั้งเวลาประจวบเหมาะพอดีที่ได้ฟังธรรมะ ไม่ว่าจะเป็นจากพระหรือผู้ที่มีความรู้ ความเชี่ยวชาญ ทางด้านศาสนา

มีเหตุการณ์ครั้งหนึ่งที่ผมนอนลงแล้วรู้สึกว่าตัวเองนอนหลับอย่างมีความสุขมากในค่ำคืนนั้น เพราาะก่อนนอนวันนั้นผมนั่งสมาธิ สวดมนต์ภาวนา แล้วก็แผ่เมตตา เสร็จแล้วก็นอนลงอย่างช้าๆ อย่างปิติสุขใจ
พอผมตื่นขึ้นมารู้สึกว่าตัวเราเบาสบาย รู้สึกดีและมีความสุขอยู่ภายใน
หลังจากวันนั้นเป็นต้นมา
ผมก็ทำเป็นกิจวัตรมาจนถึงทุกวันนี้..
ทุกวันก่อนนอนและหลังจากตื่นนอน ให้ท่านลองบอกตัวเองว่า..

...ฉันเบาสบาย...ฉันผ่อนคลาย...และฉันจะมีความสุข...

19 ต.ค. 2554

ปรัชญาชีวิต ข้อคิดให้ตื่นรู้ ใช้ชีวิตที่มีอยู่อย่างมีความหมาย

  ผมบอกตัวเองทุกครั้งที่ลืมตาตื่นขึ้นมา ว่าตัวของผมโชคดีขนาดไหนแล้ว ที่ตื่นขึ้นมาเรายังมีลมหายใจ ได้มีโอกาสใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่ากับทุกสรรพสิ่งที่รายรอบตัวอีกวัน
มีคนเคยบอกผมไว้ว่า การตื่นนอนครั้งแรกเป็นการตื่นรู้ ถ้าหากเราตื่นขึ้นมาแล้ว อันดับแรกที่เราควรทำคือ ให้เราลุกขึ้นมาจากเตียงนอนอย่างปิติสุขใจ ถ้าหากเราตื่นแล้วพยายามนอนต่อ การตื่นนอนอีกครั้งนั้นร่างกายเราจะรู้สึกอ่อนเพลียไม่อยากลุก ไม่กระปรี้กระเปร่า ขาดความสดชื่น เพราะร่างกายของเราพักนานเกินความต้องการของร่างกายเรา พอตื่นนอนให้เดินออกไปยืนอยู่ตรงหน้ากระจก แล้วส่งยิ้มให้ตัวเองด้วยใจสานใจ(ถ้าไม่ได้ก็ต้องพยายามฝืนมันให้ยิ้มให้ได้!) วันนั้นจะเป็นวันที่สดใสของเราอีกวันหนึ่ง หรืออีกกรณีหนึ่งผมได้ฟังมาจากท่าน ว.วชิรเมธี ทุกครั้งที่เราตื่นนอนรู้สึกตัว ให้บอกตัวเองว่า 'วันนี้เป็นวันสุดท้ายของชีวิต' ให้เรารู้จักความตาย นำด้านดีของความตายมาเป็นแรงพลักให้ชีวิตเราขับเคลื่อนไปด้วยความหมาย ให้ระลึกเสมอว่าชีวตเราคุ้มค่าขนาดไหนที่ได้มีลมหายใจ
  ตอนนี้ผมอายุ 25 ปี ผมเริ่มสนใจการอ่านหนังสือมาเกือบ 2 ปี ช่วงชีวิตที่ผ่านมา 23 ปี ผมไม่ได้สูญเสียโอกาสในการอ่านหนังสือเลย แต่ผมกลับคิดว่าตัวของผมโชคดีที่ได้ผ่านอุปสรรคมามากมาย ได้เรียนรู้เพื่อก้าวผ่านมัน จนกระทั่งได้พานพบเจอความสำเร็จมากมาย และผมก็ได้เรียนรู้เพื่อก้าวผ่านมัน
  ผมอ่านหนังสือแล้วเจอประโยคดลใจ จากบุคคลของโลกในอดีตหรือยังมีชีวิตดำรงอยู่ ผมจะเขียนประโยคที่ชอบ แล้วสรุปสิ่งที่ได้เก็บไว้ในสมุดบันทึกของผม เพื่อนำมาทบทวนมาปรับใช้ นำมาสานต่อให้เกิดประโยชน์
'การแสวงหาความสุขให้ตนเอง คือ การค้นพบหาทนทางอันมีคุณค่ายิ่งให้กับตัวเอง ถ้าเรามีความสุขเป็นต้นเหตุของความสุขหรือการทำให้คนอื่นเชื่อว่าตัวเขาเอง เป็นต้นเห็ตุของความสุข นั่นแหละคือ เคล็ดลับของความสุข'
ทุกประโยคดลใจเหล่านี้ มีคุณค่ายิ่งที่หลายๆคนอ่านแล้ว อาจจะเป็นประโยคคลิ๊กหรือปลดล็อก ให้ชีวิตเกิดการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่งอกงาม..

     ลีโอ ตอลสตอย หรือ Count Leo Nikolayevich Tolstoy นักเขียนที่ได้รับการขนานนามว่าเป็นเพชรน้ำเอกแห่งวรรณกรรมโลก มีผลงานอันเป็นอมตะ คือ สงครามและสันติภาพ (War & Peace) แอนนา คาเรนินา (Anna Karenina) คนกับนาย : (Master And Man) ความตายของอีวาน อิลลิช (The Death of Ivan Ilyich)
 ตอลสตอย เคยเขียนตั้งคำถามให้คิดไว้ว่า..
'ใคร คือ คนสำคัญที่สุด
งานใด คือ งานสำคัญที่สุด
เวลาใด คือ เวลาที่ดีที่สุด'
  ตอลสตอย ตั้งคำถามนี้ผ่านเรื่องสั้นเรื่องหนึ่งและตอนท้ายสุดเขาก็เฉลยไว้ว่า..
"คนสำคัญที่สุด คือ คนที่อยู่เบื้องหน้าเรา
งานสำคัญที่สุด คือ งานที่เรากำลังทำอยู่ขณะนี้
เวลาสำคัญที่สุด คือ เวลาปัจจุบันขณะ"

   หลายครั้งที่ผมได้มีโอกาสไปนั่ง วงสนทนากับผู้รู้มากมายหลายท่านล้วนแล้วแต่เกิดประโยชน์มากมายเกินกว่าที่ผม จะไปแสวงหาอ่านจากหนังสือหรืออินเตอร์เน็ตได้..

     วันนั้นในวงสนทนาผมได้ฟังเรื่องนั่งวิ่งมาราธอนคนหนึ่งซึ่งเราไม่มีใครทราบ ชื่อเขาแน่ชัดกันเลย แต่รู้ว่าเขาไม่ใช่ผู้ชนะเลิศและเขาก็ไม่ได้ทำลายสถิติใดๆ เลยในการแข่งขัน เขามาถึงเส้นชัยเป็นคนสุดท้ายด้วยซ้ำและเพราะเหตุนั้นโลกถึงต้องจารึกเขาไว้ ในประวัติศาสตร์
    พอผมกลับมาถึงห้องผมก็เปิดอ่านหนังสือเล่มหนึ่งอ่าน ผู้เขียนคือ 'พระไฟศาล วิสาโล' เขียนเกี่ยวกับนักวิ่งคนนี้พอดี เขาคือ 'จอห์น สตีเฟน อัควารี' เขาเป็นตัวแทนประเทศแทนซาเนีย เขาวิ่งฝ่าความมืดมายังสนามกีฬาอย่างกะโผลกกระแผลก ขาข้างขวาของเขาอาบนองไปด้วยเลือดและพันด้วยผ้าพันแผล
    เขาเป็นนักวิ่งมาราธอน แต่เหรียญทองโอลิมปิกปี พ.ศ.2511 ได้มอบแก่ผู้ชนะไปกว่าครึ่งชั่วโมงแล้ว ผู้ชมเริ่มทยอยกลับบ้านกันไปเกือบหมดจนสนามแทบร้าง แต่เขาก็ยังอุตส่าห์พาสังขารมาถึงเส้นชัยในที่สุด..

ต่อมาได้มีผู้สื่อข่าวเข้ามาถามเขาว่า เหตุใดเขาจึงไม่หยุดวิ่งทั้งๆ ที่ไม่มีโอกาสที่จะชนะแล้ว
เขาวิ่งมาเหนื่อยๆ งุนงงสักพัก แล้วตอบไปว่า
"ประเทศของผมไม่ได้ส่งผมมาเพื่อออกสตาร์ท แต่ส่งผมมาเพื่อวิ่งให้สำเร็จ"


โทมัส เอดิสัน นักวิทยาศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่
เคยกล่าวเาไว้ว่า..
"ข้าพเจ้าไม่เคยทำสิ่งใดที่มีค่าได้สำเร็จ โดยเหตุบังเอิญเลยแม้สักชิ้นเดียว เมื่อข้าพเจ้าตัดสินใจเด็ดขาดว่าจะทำสิ่งใดที่จะได้รับผลสำเร็จที่มีค่าแล้ว ข้าพเจ้าจะตั้งหน้าตั้งตาทำในสิ่งนั้น ทดลองแล้วทดลองเล่า จนประสบผลสำเร็จในที่สุด"
 ครั้งหนึ่งผู้ช่วยของเอดิสัน 2 คน พากันตัดสินใจเดินเข้ามาบอกเอดิสันด้วยความท้อใจว่า..
"เราทดลองมาครั้งนี้เป็นครั้งที่ 700 แล้ว เราก็ยังไม่ประสบความสำเร็จกันเลย เราน่าจะหยุดทดลองต่อกันได้แล้ว"
เมื่อได้ฟังดังนั้น เอดิสันก็ตอบผู้ช่วยทั้ง 2 คน นั้นไปว่า
"ยัง! เรายังไม่ได้ล้มเหลว เพราะเราได้เรียนรู้แล้วว่าอะไรผิด ภ้าเราทำครั้งใหม่ เราจะไม่ทำซ้ำกับ 700 ครั้งที่เราล้มเหลว เรากำลังจะถึงเป้าหมายของการทำงานของเราแล้ว" และอีกไม่นานโทมัส เอดิสัน กับผู้ช่วยก็พากันทดลองจนประสบผลสำเร็จในการค้นคว้าของเขา


โรเจอร์ แบนนิสเตอร์ นักวิ่งชาวอังกฤษ..
  เขาเป็นคนแรกในโลกที่วิ่งระยะทางหนึ่งไมล์ ด้วยเวลา 3.59 นาที ความสำเร็จของเขามีไม่มากไม่น้อยไปกว่านี้ เดี๋ยวนี้มีนักวิ่งมากมายที่ใช้เวลาน้อยกว่าเขาเสียอีก แม้กระทั่งชัยชนะของเขาเมื่อกว่า 50 ปีที่แล้ว ก็ยังควรค่าแก่การจารึกในประวัติศาสตร์ ทั้งนี้เพราะเขาได้ทำลาย 'กำแพง' ที่ขวางกั้นมนุษย์มาช้านาน
 เป็นเวลาหลายพันปีที่ผู้คนเพียรพยายามวิ่ง 1 ไมล์ โดยใช้เวลาน้อยกว่า 4 นาที แต่ไม่เคยมีใครทำสำเร็จ จนเกิดเป็นความเชื่อฝังใจว่ามนุษย์เรามีขีดจำกัดเพียงแค่นี้ ไม่มีทางที่เราจะข้ามพ้นกำแพงดังกล่าวได้ แต่แบนนิสเตอร์ได้พิสูจน์ว่า มนุษย์เรามีศักยภาพมากกว่านั้นและกำแพงดังกล่าวที่แท้จริงเป็นสิ่งที่เราสร้างขึ้นเอง หลังจากกำแพงดังกล่าวถูกแบนนิสเตอร์ทำลายลงไป นักกีฬาคนแล้วคนเล่าก็ทยอยทำลายสถิติการวิ่ง จนดูราวกับว่าศักยภาพของมนุษย์เราจะไม่มีขีดจำกัด ขอเพียงแต่ไม่สยบยอมต่อกำแพงในใจเท่านั้น
  ความสำเร็จอันยิ่งใหญ่นั้นไม่ได้อยู่ที่การเนรมิตประดิษฐกรรมอันน่าอัศจรรย์ หรือการกู้ชาติสร้างประเทศเสมอไป การบันดาลใจให้ผู้คนก้าวข้ามพ้นขีดจำกัดของตนเอง ก็เป็นคุณูปการสำคัญต่อโลกเช่นกัน
 นี่แหละคือผลงานอันทรงคุณค่าของ แบนนิสเตอร์ ที่ประวัติศาสตร์ต้องจารึกไว้ 
ปิดท้ายในตอน 'ชัยชนะที่ยิ่งใหญ่' ตอนสุดท้ายแบนนิสเตอร์กล่าวไว้งดงามมากครับ..
มนุษย์ทุกคนมีศักยภาพมากมายเหลือประมาณ
แถมยังพัฒนาให้เพิ่มพูนขึ้นได้
แต่ศักยภาพดังกล่าวไม่ค่อยถูกนำมาใช้อย่างเต็มที่
เพียงเพราะความเชื่อว่า 'ฉันทำไม่ได้'
 
 
 อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ นักวิทยาศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่ของโลก..
       ไอน์สไตน์เป็นคนไม่หลงใหลไปกับคำสรรเสริญเยินยอ ชื่อเสียงเกียรติยศ ไม่สนใจทัรพย์สินเงินทอง ไม่รู้สึกทุกข์ร้อนอะไรที่ทรัพย์สินในเยอรมนีที่ถูกพวกนาซียึดไปจนหมด
    วันที่เขาย้ายไปดำรงตำแหน่งศาสตราจารย์ในสหรัฐฯ จำนวนเงินเดือนที่เขาเรียกร้องในแบบฟอร์มน้อยกว่าเงินเดือนของนักการภารโรงที่นั่นเสียอีก..
เขาเคยเขียนไว้ว่า..
'ที่ผมมีความสุขอยู่ทุกวันนี้ ก็เพราะผมไม่เคยอยากได้อะไร ไม่สนใจเงินทอง ตำแหน่ง คำยกย่อ เหรียญประดับหรืออำนาจเกียรติยศใดๆ สิ่งที่ทำให้ผมมีความสุข คือ การได้ทำงาน การสีไวโอลิน และการเล่นเรือใบ'

กิอาดีนี นักไวโอลีนที่ยิ่งใหญ่
ครั้งหนึ่งมีคนถามเขาว่า..
"คุณใช้เวลาฝึกไวโอลินนานแค่ไหน จึงสามารถเล่นไวโอลินได้ดีถึงเพียงนี้"
เขาตอบว่า..
"ข้าพเจ้าฝึกวันละ 12 ชั่วโมง เป็นเวลา 20 ปี"

 
คริสโตเฟอร์ รีฟ 
เขาเป็นผู้ชายที่ชาวโลกรู้จักดีที่สุดในบท 'ซุปเปอร์แมน' บนจอจอเงิน ประสบอุบัติเหตุจากหลังม้า ทำให้เขากลายเป็นอัมพาตตั้งแต่ลำคอลงมา เขาเคยกล่าวไว้ว่า..
"ความฝันของเรามากมายดูเป็นไปไม่ได้ในทีแรก แล้วมันดูเหมือนไม่น่าจะเกิดขึ้น และแล้วเมื่อเรามุ่งมั่นแน่วแน่ ในมิช้ามักก็กลายเป็นสิ่งที่หนีไม่พ้นที่จะกลายเป็นจริง"
 
มหาตะมะ คานที นักต่อสู้ผู้ยิ่งใหญ่ชาวอินเดีย 
เคยกล่าวเอาไว้ว่า..
"ความสำเร็จของคนเรา ไม่ได้อยู่เมื่อเราไปถึงเป้าหมาย แต่อยู่ระหว่างความพยายามที่จะไปให้ถึงเป้าหมาย ยิ่งความพยายามทุ่มเทลงไปมากเท่าไร ความยิ่งใหญ่ยิ่งมากเท่านั้น"

   วินเลียม เจมส์ นักปรัชญาเอกผู้ยิ่งใหญ่..
เคยกล่าวประโยคหนึ่งที่งดงามมาก ไว้ว่า..
"มนุษย์ส่วนใหญ่ ถูกโปรแกรมให้รู้สึกเหนื่อย เมื่อถึงเวลาเหนื่อย มนุษย์เราใช้พลังน้อยกว่าที่มีอยู่จริง หากคุณผลักความเหนื่อยออกไปสักนิด คุณจะได้งานมากกว่าเดิมอย่างไม่น่าเชื่อ"

   ความยากลำบากของอุปสรรคเป็นด่านที่ขวางทางเราทุกคน ช้าหรือเร็วก็ต้องพานพบมัน มนุษย์เราพานพบอุปสรรคทุกวัน คนที่พ่ายแพ้ คือ คนที่ใจยอมแพ้ก่อนที่จะสู้กับความเจ็บปวด ความขมขื่น ถ้าหากเรามองอุปสรรคเห็นคุณค่าของมัน เป็นพลังนำมาล่อเลี้ยงหัวใจ ให้เป็นพลังขับเคลื่อนของชีวิต คนชนะไม่ได้ชนะเพราะเก่งกว่า แต่เพราะเขาไม่ยอมแพ้ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม..
   คนทุกคนย่อมมีวิถีชีวิตที่แตกต่างกัน เราจึงไม่ควรสร้างปมด้อยให้กับตัวเอง ด้วยการเปรียบเทียบชีวิตของตนเองกับชีวิตของผู้อื่น ให้เราคิดเสมอว่าตัวเรานี่แหละคือ ของจริง
  จงมองโลกตามสภาพความเป็นจริงที่มีทั้งความดีและความเลว มีนักบุญและคนบาป
ถ้าหากเรามองทุกสิ่งชัดเจน เราจะเข้าใจธรรมชาติที่แท้จริงของสรรพสิ่ง...

5 ต.ค. 2554

อย่า! ลดคุณค่าและหมดศรัทธา กับความสามารถในตัวของคุณเอง...

  หลายครั้งที่ผมเคยรอคอยความหวัง รอคอยความหวังนั้นซึ่งก็ยังไม่รู้ว่ามันจะมาถึงเมื่อไหร่ 
บางครั้ง เรื่องบางอย่าง ตัวของผมเองสามารถช่วยตัวเองได้อยู่แล้ว แต่ก็ยังรอคอยความหวังนั้น 
มีเหตุการณ์อยู่ครั้งหนึ่ง สมัผมอายุ 7 ขวบ ผมไปอยู่ที่ทุ่งนากับครอบครัว ผมอยากกลับบ้านเพื่อไปดูการ์ตูนโดราเอมอล ผมไม่กล้าเดินกลับบ้านคนเดียว(เพราะผมกลัวผีมาก คุณตาของผมชอบเล่าให้ผมฟังตอนเป็นเด็กบ่อยครั้ง)
แต่วันนั้นพ่อ แม่ พี่สาว และญาติพี่น้อง ทุกคนต้องลงนา เพื่อทำนาช่วยกันในช่วงเช้าหลังทานข้าวเสร็จ ผมจึงตัดสินใจเดินกลับบ้านคนเดียว โดยที่ไม่รอใครเพื่อที่จะให้ไปส่งผม และผมก็ผ่านมันมาได้
เป็นเหตุการณ์ที่ผมมีความภาคภูมิใจในตัวเองมาก ที่ผมสามารถเผชิญเดินผ่านถนนสายนั้นที่ผมไม่กล้าที่จะย่างก้าวเดินผ่านมาก่อนหน้านั้นเลย แล้วผมเดินผ่านมันได้ด้วยตัวของผมเอง โดยไม่ต้องรอใครมาช่วยผม
ครั้งนั้น..ก็เป็นบทเรียนชีวิตหนึ่งของผม ที่ผมไม่เคยลืมเลือนมาจนถึงทุกวันนี้..
   ผมเคยนำเหตการณ์ครั้งหนึ่งมาเล่าให้นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6/2553 โรงเรียนลำปลายมาศพัฒนา ฟังก่อนกลับบ้านในช่วงเย็นของวันนั้น เรื่องมีอยู่ว่า..
   ชายชราคนหนึ่งนับถือพระเจ้ามากๆ อยู่มาวันหนึ่งเกิดน้ำท่วมในหมู่บ้านฉับพลัน ชาวบ้านต่างพากันอพยพออกจากหมู่บ้านกันอย่างกลาหล เพื่อนบ้านตะโกนให้ชายชราผู้นี้หนีน้ำท่วมไปด้วยกัน
ชายชราตะโกนแล้วก็ตอบไปว่า 'ไม่ไปหรอก! เดี๋ยวพระเจ้าก็มาช่วยข้า'
  น้ำท่วมสูงขึ้นเรื่อยๆ จนถึงคอชายชรา มีชาวบ้านกลุ่มหนึ่งพายเรือมาดูว่ายังมีใครติดอยู่ในหมู่บ้านหรือไม่ ก็มาเจอชายชราจึงชวนขึ้นเรือไปด้วยกัน
ชายชราก็เลยตะโกนตอบไปอีกว่า 'ข้าไม่เป็นไรหรอก! เดี๋ยวพระเจ้าก็มาช่วย'
  น้ำเริ่มท่วมสูงขึ้นๆ จนมิดตัว บ้านเหลือเพียงหลังคาบ้าน ชายชราก็ต้องขึ้นมาอยู่บนหลังคาบ้าน
มีเฮลิคอปเตอร์ผ่านมาสำรวจดูว่ายังมีใครหลงเหลืออยู่ในหมู่บ้านบ้าง ก็มาเจอชายชราติดน้ำท่วมอยู่บนหลังคาเจ้าหน้าที่บนเฮลิคอปเตอร์ปล่อยบันไดลงมาให้ชายชรา และพูดผ่านโทรโข่ง ท่านรีบเกาะบันไดขึ้นมาเร็ว ชาวบ้านหนีออกจากหมูบ้านกันไปหมดแล้ว เหลือท่านคนเดียว
ชายชราตะโกนตอบไปว่า 'ข้าไม่เป็นไรหรอก! เดี๋ยวพระเจ้าก็มาช่วยข้า' ทันทีที่ตอบเสร็จ น้ำที่เชี่ยวกราดก็พัดพาร่างของชายชราจมน้ำหายไป
  เมื่อชายชราเสียชีวิต ได้ขึ้นสวรรค์ และได้พบกับพระเจ้า ชายชราก็ตัดพ้อต่อว่าพระเจ้าเป็นการใหญ่ว่า 'ข้าอุตส่าห์ยึดมั่นถือในคุณงามความดี และเชื่อถือท่านอย่างเคร่งครัดตลอดมา เวลาข้าเดือดร้อนรอความช่วยเหลือช่วยเหลือจากท่าน ทำไมท่านไม่มาช่วยเหลือข้าเลย ปล่อยให้ข้าตายได้ เสียแรงที่นับถือท่านมาตลอดชีวิต'
  พระเจ้าได้ดังนั้น จึงตอบกลับไปว่า 'ทำไมเราจะไม่ช่วยเล่ะเราส่งคนไปช่วย ท่านก็ไม่ไป ส่งเรือไปรับ ท่านก็ไม่ไป 
สุดท้ายส่งเฮลิคอปเตอร์ไปช่วย ท่านก็ไม่ไปอีก แล้วท่านจะให้เราช่วยท่านอย่างไรอีก'

  เรื่องบางอย่างเราอาจจะเคยลดคุณค่าในตัวเราเองลง โดยที่เราไม่รู้
ความสามารถในตัวเรามีอยู่มากมาย แต่บางทีเราอาจจะรอคอยเพียงความหวังบางอย่าง ที่เราคิดว่ามันจะเข้ามาช่วยเราได้ บางทีก็ได้แต่เพียงรอๆ ไปจนตาย เช่นดังชายชราผู้นี้นะครับ..

  ครั้งหนึ่งผมรู้สึกท้อมากๆ จนหมดพลัง หมดความหวังทุกอย่าง ผมบอกตัวเองว่า 'ตัวเราทำไมถึงไร้ค่าอย่างนี้!'พอผมได้เปิดเมลดูวันนั้น ผมได้รับข้อความหนึ่งจากเพื่อนๆ คนที่รู้กัน ผมสรุปข้อความที่เป็นกำลังใจให้ผมรู้สึกว่าตัวผมเองยังไม่หมดคุณค่า ดังนี้..
   มีนักกระบวนกรท่านหนึ่งได้เริ่มกิจกรรมจัดอบรมของเขา โดยการหยิบแบงค์ 1,000 บาท ขึ้นมาในห้องที่มีผู้เข้าร่วมอบรมประมาณ 60 คน แล้วเขาก็พูดว่า 'ใครอยากได้แบงค์ 1,000 บาท นี้บ้างครับ?' ผู้เข้าร่วมรับฟังยกขึ้นเป็นจำนวนมากและเขาก็พูดต่อว่า 'ผมจะให้เงินแบงค์ 1,000 บาท นี้แก่หนึ่งในพวกท่าน แต่ครั้งแรกนี้ผมจะทำอย่างนี้!'
เขาเริ่มที่จะขยำๆ เงินนั้นแล้วเขาก็ถามอีกว่า 'ใครจะยังต้องการมันอีก' ยังคงมีมือที่ยกขึ้นอีก
'ดีครับ!' เขาตอบ 'แล้วถ้าผมทำอย่างนี้ล่ะ' และเขาก็ทิ้งมันลงที่พื้นและเริ่มที่เหยียบย่ำมันด้วยรองเท้าของเขา
แล้วเขาก็เก็บขึ้นมา ขณะนี้มันทั้งยับยู่ยี่และสกปรก 'ตอนนี้ใครยังต้องการมันอีกไหมครับ?' ก็ยังคงมีคนยกมืออีก
เขาก็เลยบอกกับผู้เข้าร่วมอบรมว่า.. พวกท่านได้เรียนรู้บทเรียนที่มีคุณค่ามากที่สุดบทหนึ่งแล้วว่า ไม่ว่าฉผมจะทำอะไรกับเงิน ท่านก็ยังต้องการมันอยู่ดี เพราะว่ามันไม่ได้ลดคุณค่าในตัวมันลงเลย มันก็ยังคงมีค่า 1,000 บาท อยู่เช่นเคย
เหมือนกับหลายๆ ครั้งในชีวิตของพวกเราที่ถูกทิ้ง ถูกเหยียบย่ำและถูกทำให้สกปรก
โดยสิ่งที่เราตัดสินใจทำมันและสภาพแวดล้อมที่เราเจอ ทำให้เรารู้สึกว่าคุณค่าของเราลดน้อยลง แต่ไม่ว่าอะไรที่ได้เกิดขึ้น หรืออะไรที่จะเกิดขึ้น ท่านไม่เคยสูญเสียคุณค่าของคุณ คุณเป็นคนพิเศษ อย่าลืมมันตลอดไป! อย่านำความผิดหวังของเมื่อวานมาบดบังความฝันในวันพรุ่งนี้...

  ทุกอย่างล้วนมีประโยชน์และคุณค่าในสิ่งๆนั้นเสมอ ของที่คุณมีค่าที่สุด อาจจะไม่มีคุณค่าอะไรเลยก็ได้สำหรับบางคนบางเหตุการณ์
แต่..ของที่คุณตัดสินมันว่าไรค่า อาจจะมีคุณค่ามากมายกับอีกหลายๆคนในห้วงเวลาหนึ่งนั้นก็เป็นไปได้ครับ...

25 ก.ย. 2554

ทุกอย่างล้วนชั่วคราว มาแล้วก็ไป..

   ครั้งหนึ่งมีประชุมพูดคุยกันของคณะครูโรงเรียนลำปลายมาศพัฒนา 
 ครูใหญ่ได้ถามครูทุกกคนว่า 'ครูแต่ละคนมีกระบวกการ/หนทางสร้างความสุข ให้ตัวเองอย่างไรบ้าง?'
คุณครูแต่ละคนก็บอก วิธีการที่ครูแต่ละคนนำมาใช้ในยามท้อ เช่น ไปทำสิ่งที่ตัวเองอย่างทำ , อ่านหนังสือ , ขับรถออกไปข้างนอกคนเดียวให้ไกลๆ , โทรหาแม่/พ่อ , หาคนคุยด้วย ฯลฯ
แต่มีคุณครูแสง ที่ตอบกระบวนการที่ตนเองใช้ แล้วเข้มแข็งผ่านปัญหาที่ตัวเองพบเจอมาได้ ยืนอยู่ตรงนี้
ครูแสง ตอบว่า.. 'คิดเสมอว่า ทุกๆอย่าง(ความสุข/ความทุกข์) เดี๋ยวมันก็จะผ่านไป!'
เป็นประโยคสั้นๆ แต่มีความหมายซ่อนอยู่ลุ่มลึก และน่าจดจำมากๆครับ

  ในอดีตกาลมีพระราชาผู้ยิ่งใหญ่แห่งอาณาจักรฮีบรู นามว่า 'โซโลมอน' 
พระราชาได้สั่งให้เจ้าเมืองทุกเมืองทำของวิเศษให้อย่างหนึ่ง โดยของสิ่งนั้นจะต้องมีคุณสมบัติพเศษ คือ ของสิ่งนั้นจะต้องสามารถเปลี่ยนอารมณ์ความรู้สึกของพระราชาได้
"หากมีความทุกข์อยู่ ก็จะหายจากทุกข์ หากมีความสุขอยู่ก็จะคลายสุขลง ไม่ว่ากำลังร้องไห้อยู่หรือหัวเราะอยู่ก็จะสามารถหยุดอารมณ์ทั้งสองอย่างนั้นได้"
เมื่อครบกำหนด ก็ไม่สามารถมีเจ้าเมืองคนใดสามารถหาของมาให้พระราชาได้ตามต้องการ แต่มีเมืองเล็กๆ อยู่เมืองหนึ่งที่บอกว่ามีของวิเศษจะมาถวายยตามมที่ต้องการ
  พระราชาจึงให้นำมาเข้าเฝ้า ปรากฏว่าของวิเศษที่ว่าเป็นเพียงแหวนธรรมดาเรียบๆ วงหนึ่งเท่านั้น แต่เมื่อพระราชานำมันขึ้นมาสวมใส่ มันสามารถเปลี่ยนอารมณ์ของพระราชาได้จริงๆ เพราะว่าไม่ว่าพระราชากำลังมีความทุกข์หรือสุขอยู่ก็ตาม อารมณ์ของพระราชาจะเปลี่ยนได้จริง เพราะแหวนวงนั้นมีข้อความสั้นๆ สลักไว้ว่า
'แ ล้ ว สิ่ ง นั้ น จ ะ ผ่ า น ไ ป'
  ในยามที่พระองค์มีความทุกข์ ก็จะมองไปที่แหวนวงนั้น ซึ่งจะเตือนสติพระองค์ว่า ทุกสิ่งจะไม่อยู่นาน มันจะผ่านพ้นไปในไม่ช้า
นับแต่นั้นเป็นต้นมา พระราชาก็ไม่คิดจะนำความทุกข์มาเป็นกังวลเวลามีความสุข ก็ไม่ยึดติดในความสุขนั้น ทำให้พระราชาสามารถตัดสินเรื่องราวต่างๆ ได้อย่างถูกต้อง เป็นพระราชาที่ยิ่งใหญ่ เป็นพระราชาที่รักและเคารพของประชาชน..

  การหมักหม่มความทุกข์นั้นจะทวีคูณความทุกข์เกิดขึ้นทุกขณะ สะสมไว้นานวันเข้าก็จะบานปลายกลายเป็นปัญหาเรื้อรัง ใหญ่ขึ้นๆ จนเรา อาจจะไม่สามารถก้าวข้ามผ่านมรสุมของปัญหานั้นๆ ที่เรากำลังก่อสร้างมันขึ้นมาเองได้
  หลายคนพยายามสะสมความสุข ยิ่งสะสมไว้นานก็ยิ่งก่อตัวเป็นความสุขกองที่ใหญ่ขึ้นๆ แต่ความสุขนั้นไม่บานปลายกลายเป็นความสุขเรื้อรัง เช่นดังความทุกข์ ทุกขณะที่ความทุกข์เข้ามาแทรกแซงกำแพงความสุขที่เราสร้างขึ้นมา กำแพงนั้นจะอ่อนตัว ปล่อยให้ความทุกข์ผ่านกำแพงเข้ากลืนกินความสุขให้จางหายไปทีละน้อยๆ จนกระทั่งไม่เหลือความสุขอยู่เลย..

เรื่องบางเรื่องที่ทำให้เราเครียด ถ้าเราไม่จำเป็นต้องไปจุดประเด็น(ให้ความสนใจ มันมากจนเกินไป) แต่ให้เรามีสติระลึกรู้เพียงว่าทุกสิ่งทุกอย่างล้วนอยู้เพียงชั่วคราว มาแล้วก็ไป เราก็จะมองทุกๆสรรพสิ่งต่างที่เห็นด้วยการมีสติ คิดใคร่ครวญที่สิ่งที่ตัวเองกำจะเผชิญหรือเกิดขึ้นแล้วทุกขณะ และจะไม่กระทำไปด้วยอารมณ์ ใจของเราจะเบาลง มีความเป็นกลางมากขึ้น เราจะเข้าใจความทุกข์มากขึ้นแล้วมันก็จะน้อยลงๆ
เราจะเข้าใจชีวิตมากขึ้น แล้วชีวิตเราก็จะมีความสุขเกิดขึ้น ทุกๆขณะ...

18 ก.ย. 2554

ที่สุดของความต้องการของคนแล้ว ก็คือ 'ความธรรมดา'

   บางครั้งผมเคยทดสอบการแก้ปัญหาบางอย่างด้วยการอยู่คนเดียว ทำตัวเองให้กลับคืนมาเป็นตัวเองด้วยการอยู่คนเดียว คิดคนเดียว ใคร่ครวญอะไรบางอย่างด้วยตัวเราเองเพียงคนเดียว
ผลที่ได้รับจากการอยู่คนเดียว คือ การสะสมความความกลัดกลุ้ม หมักหมมปัญหาเล็กๆน้อยๆ นานวันเข้ากลับกลายเป็นกองใหญ่เกินจะพังทะลาย ปัญหาบางอย่างกับคลี่คลาย ปัญหาใหม่บางอย่างย้อนกับเข้ามาแทนที่
แล้ววันหนึ่งผมก็ได้ค้นพบสิ่งที่มาเป็นจุดเปลี่ยนห้วงของความคิดในสภาวะนั้น ให้เรากลับมาเป็นตัวของเราเองอีกครั้ง
ผมเชื่อว่าคนเราทุกคนต้องมีประโยคโดนใจหรือคติพจน์ประจำตัว หลายคนเกิดในสภาพแวดล้อมแตกต่างกัน หลายคนต้องได้พบเผชิญกับโอกาสที่แตกต่างกัน คนอยู่ใกล้นักปราชญ์ก็จะได้สะสมแง่คิดเชิงด้านบวก ส่วนคนที่อยู่ใกล้คนพาลก็จะได้สะสมแง่คิดเชิงด้านลบ
ผมอ่านประโยคเหล่านี้แล้ว.. ผมมีความสุข.. ผมอยู่ในสภาวะที่พึงพอใจ ตัวของผมเบา ผ่อนคลาย สบายและมีความสุข..

'ณ ขณะนี้ฉันกำลังมีความสุขกับการทำงาน'

'ความสุข คือ การได้พบว่ายังมีเหตุผลอีกมากมาย ให้เราลืมตาตื่นขึ้นทุกวัน แทนที่จะนอนนิ่งปิดตามืดอยู่อย่างนั้น'

'รุ้งที่สวยงามประกอบไปด้วยสีที่แตกต่างกันหลายๆสี เรียนรู้ที่จะชื่นชมกับความแตกต่างของคนเพื่อเห็นความงดงามของการมีชีวิตอยู่ ในโลกนี้ร่วมกัน'

'ชีวิตเราสั้นเกินกว่า จะหมดเปลืองไปกับความกังวล'

'หนึ่งวินาทีที่ผ่านไปก็คือ อดีตไปแล้ว ทำทุกนาที ณ ตอนนี้ ให้เป็นปัจจุบันที่ดีที่สุด'

'การมอบความปรารถนาดีต่อกัน ล้วนเป็นสิ่งที่งดงามประเสริฐสุด
การให้ด้วยใจ ให้แล้วเราอิ่มใจ มีความสุข ไม่เป็นทุกข์ คือ ที่สุดของการให้
การทำดี เพราะทำไปแล้วรู้ว่ามันดี..นั่นล่ะคือ การทำความดี..
การมอบความรัก เป็นสิ่งที่ดีงดงามเสมอ..ไม่ว่าจะมอบให้กับอะไร สิ่งไหนก็ตาม..'

  การแสวงหาความสุข คนที่ตามหาความสุขจะพบความสุขช้ากว่าคนที่ ไม่รอค่อยความสุข แต่เขากำลังจะสร้างความสุขให้ตัวของเขาเอง
คนที่รู้ตัวเองว่าตอนนี้ว่าสิ่งที่ตัวเองทำมันจะมีความทุกข์ คนนั้นจะเห็นวิธีทางเดินหาความสุข
ที่สุดของคนเรา คนทุกคนต้องการความธรรมดา คนที่แสวงหาความสุข คือ คนที่กำลังทำให้ตัวเองกลับกลายมาเป็นคนธรรมดา

เจ้าสัวเศรษฐีอายุมากๆคนหนึ่ง แกซึ่งมีทรัพย์สินมากมายมั่งคั่ง มั่งมี มีความสุขกับตระกูล แล้ววันหนึ่งตระกูลนั้นลูกหลานแก่งแย่งทรัพย์สมบัติของตระกูลเพื่อมาครอบครองเพียงคนเดียว ความสามัคคีแตกแยก ลูกหลานเศรษฐีต่างก็แก่งแย่งทรัพย์สมบัติ
เจ้าสัวหมดรอยยิ้ม หมดความหวัง หมดแรงใจที่จะเห็นหน้าลูกหลายในตระกูล 
จึงตัดสินใจให้ทนายประจำตระกูล นำทรัพย์สินส่วนใหญ่(ส่วนน้อยนิด ให้ทนายมอบให้ลูกๆ เท่าๆกัน) ที่เหลือส่วนใหญ่ เจ้าสัวนำทรัพย์สินไปมอบบริจาคทั้งหมด ตามองค์กร ตามมูลนิธิต่างๆ สร้างโรงเรียน สร้างโรงพยาบาล ฯลฯ..
สุดท้ายแล้วเจ้าสัวท่านนี้ไม่เหลือทรัพย์สินอะไรเลย เหลือเพียงแต่ความธรรมดา แต่เจ้าสัวท่านนี้ มีรอยยิ้ม มีความหวัง มีพลังใจในวันสุดท้าย ก่อนตายอย่างสงบ ณ วันป่าแห่งหนึ่ง อย่างสู่สุขติ...

9 ก.ย. 2554

หากขาด..'ความเข้าใจ'

   การที่เรามั่นใจในสิ่งที่เรากำลังลงมือทำและกำลังเป็นอยู่ เรามักจะผูกโยงการคาดหวังและมักตั้งมาตรฐานสูงกว่าตัวเราเอง ซึ่งเกิดจากการขาดความเข้าใจและยอมรับต่อสิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ถ้าหากว่าเราคิดว่าเราต้องทำงานให้ดีกว่านี้ ก็หมายความว่า ณ วันนี้เรายังอยู่ในสภาวะที่ยังไม่พอใจ
สิ่งที่กำลังเป็นอยู่ ขัดแย้งกับสิ่งที่เราคาดหวังอยากจะเป็น..
ยิ่งความอยากมีอยากเป็นห่างไกลจากความเป็นจริงมากเท่าใด เราก็ยิ่งมักเกิดความขัดแย้งใจมากเท่านั้น
ฉันขาดความสุข..
ขาดความเชื่อมั่นในตัวเอง...
ขลาดกลัวที่จะโบยบินไปข้างหน้า....

  คนเราทุกคนไม่ว่าเขาจะดีหรือร้ายกับเราล้วนช่วยให้เราพัฒนาตัวเองขึ้นมาทั้งสิ้น คนที่ดีกับเรา จะรักและสนับสนุนเรา ส่วนคนที่ร้ายก็ช่วยสร้างความเข้มแข็งให้เรา..
ถ้าหากเรามองโลกในแง่นี้แล้ว..'เราก็จะได้พลังจากทุกชีวิตที่เราสัมผัส และใจเราก็สบายอีกด้วย'
หลายสิ่งที่มันเกิดขึ้นเมื่อกี้ เมื่อวาน เมื่อหลายๆปีก่อนหน้านี้ มันได้ผ่านไปหมดทั้งสิ้นแล้วจริงๆ มันเป็นความฝันที่สิ้นสุดไปโดยตัวของมันเอง สิ่งที่ฝันมาไม่ถึงก็ยังเป็นเพียงภาพมายาที่ยังไม่เกิดหรืออาจจะไม่มีโอกาสเกิดขึ้นเลย
ทั้งสองกรณีจะมีโอกาสได้เกิดก็แต่ในความรู้สึกนึกคิดของบุคคลที่ลืมปัจจุบันเท่านั้น...

3 ก.ย. 2554

ยิ้ม..แล้วกล้าที่จะทำตาม 'ความฝัน'

   วันนี้ผมได้มีโอกาสได้เดินทางไปยังจุดหมายที่ใจผมปรารถนา แถมยังได้ทำในสิ่งที่คิดว่าเราอยากทำ อยากสัมผัสสิ่งนั้นโดยไม่รู้ตัว
ผมได้อ่านหนังสือ 2 เล่มนี้จบลง รู้สึกว่าตัวเองเบาขึ้นเยอะมากเลย ผมจึงขอนำเสนอหนังสือที่เสริมกำลังใจ และเปลี่ยนมุมมองบางห้วงความคิดของผม
 โอกาสน้อยมากที่คนบางคนจะได้มีโอกาสทำและได้เดินสู่จุดๆนั้นที่ใจหมายปอง พอผมนึกถึงคนๆนี้ทีไร ผมจะบอกตัวเองทุกครั้งในสิ่งใจเราอยากทำ เขาคือ ริชาร์ด พี. ฟายน์แมน เขาเป็นนักฟิสิกส์ราวัลโนเบล ผู้ที่สวมบทบาทเป็นทั้งครู นักเขียน จิตรกร ฯลฯ เขาเคยกล่าวไว้ว่า "ชีวิตคนคนหนึ่งจะคุ้มค่า ก็ต่อเมื่อ เขากล้าท้าทายและลงมือทำตามความฝัน" ซึ่งตัวของเขาเองก็เป็นแบบอย่างที่ดีของคำพูดนั้น
ฟายน์มีความฝันว่าอยากเป็นนักดนตรี เขาก็ลงมือฝึกเล่นดนตรี และมีอยู่ครั้งหนึ่งเมื่อจิตรกรไม่สามารถวาดภาพองค์ความรู้ทางฟิสิกส์ลงบนผืนผ้าใบได้ตามที่ใจเขาต้องการ เขาก็ลงทุนศึกษาเรื่องการวาดภาพเสียเอง
เพื่อต่อยอดความฝันนั้น ฟายน์แมนไม่รีรอที่จะกระโดดเข้าหาสิ่งที่เขาเรียกมันว่าความท้าทานและเขาก็สนุกกับมัน
   ผมดีใจและมีความสุขที่ผมยังมีสองแขน สองขา กับสุขภาวะที่ดีพร้อม ได้รับฟังเสียงของหัวใจตัวเอง เป็นเรื่องธรรมดาที่เราทุกคนมักมีสิ่งที่ตัวเองเฝ้ามองหและไขว่คว้า เพื่อให้มันเป็นจริง ขอเพียงค่อยบอกตัวเองทุกครั้งที่จะคิดลงมือทำอะไร จงอยู่กับปัจจุบันขณะ เบิกรอยยิ้มให้กับทุกสิ่ง รับกับทุกเงื่อนไขชีวิตที่เกิดขึ้นทุกวันที่ลืมตาตื่นขึ้นมา..
แรงบันดาลใจ..ให้ชีวิตก้าวต่ออย่างมิไรซึ่งความหมาย...
จงเชื่อเสมอว่า ทุกสิ่งเป็นไปได้เสมอ ไม่มีข้อจำกัดใดๆ มาหยุดคุณ ถ้าคุณไม่ยินยอมเสียอย่าง..

19 ส.ค. 2554

Show and Share (จำนวน AxB มีค่าเท่าไร?)..

   การเรียนการสอนคณิตศาสตร์ชั้น ป.3 โรงเรียนลำปลายมาศพัฒนา
วันนั้นผมสอนเรื่อง 'ความสัมพันธ์ของตัวเลขในสามเหลี่ยมแสนกล' คุณครูก็เลยขออาสาตัวแทนเพื่อนๆ นักเรียนที่จะออกมานำเสนอความเข้าใจของตัวเอง ให้เพื่อนๆและคุณครูรับชมร่วมกันในชั่วโมงนั้นครับ

เด็กหญิงชลิตา นาดี(พี่แพรว) ยกมือก่อนใครขออาสาเป็นตัวแทนเพื่อนๆออกมาอธิบายนำเสนอความเข้าใจของตนเองให้รับชม
ผมก็เลยเก็บคลิปภาพบรรยากาศการเรียนการสอนคณิตศาสตร์ชั้น ป.3 ชั่วโมงนั้นไว้ ดังนี้ครับ..

13 ส.ค. 2554

คณิศาสตร์กับแป้น ภาค1

    ผลงานของ ด.ช.ธนเดช นพสันเทียะ(พี่ปุ๊ก) โรงเรียนลำปลายมาศพัฒนา
พี่ปุ๊กทำชุดความรู้เกี่ยวก​ับคณิตศาสตร์ชั้น ป.6/2553 เป็นการ์ตูนช่อง ออกแบบแนวนิทานดำเนินเรื่อง​ได้อย่างน่าสนใจครับ.. ทำเป็น 3 ตอน ดังนี้ครับ...
- กำเนิดเรื่อง
- ในความฝัน
- ทะลุมิติ จ้า..