28 พ.ค. 2553

การศึกษาไทยวันนี้

ชัยชนะที่ยิ่งใหญ่อาจไม่ใช่การสอบ ประสบความสำเร็จโดยไม่ต้องแข่งขัน
"ก้าวข้ามข้อสอบที่มีในใจคุณ"
สนามสอบนี้อาจสร้างผู้แพ้ มากกว่าผู้ชนะ
คู่มือเข้าใจปัญหาปวดตับเด็กยุคแอดมิดชั่น53
View more เด็กไทยยุคแอดมิดชั่น from ดูเอาขำขำ piti118.

ในอดีต เอดิสันเข้าเรียนในชั้นประถมขณะอายุ 8 ปี เป็นโรงเรียนเล็กๆในโบสถ์ มีนักเรียนเพียง 48 คน มีครูเพียงสองคนคือ นายเอ็งเกิล และนางเอ็งเกิล (Engle) แต่ด้วยความที่เอดิสันมีมีนิสัยสนใจในสิ่งรอบตัว ไม่ใช่เนื้อหาในตำราคร่ำครึ สิ่งที่เขาสนใจถามครูจึงไม่ใช่เรื่องที่ครูสอน แต่เป็นเรื่องนอกตำรา นายและนางเอ็งเกิล จึงมักเรียกเขาว่าเป็นเด็กที่หัวขี้เลื่อย เมื่อมารดาทราบเรื่อง จึงไปพูดคุยกับคุณครูที่โรงเรียน หลังการพูดคุย เอดิสันต้องออกจากโรงเรียน โดยมารดาของเขาจะเป็นผู้สอนเอดิสันด้วยตนเอง หลังจากเข้าโรงเรียนได้ 3 เดือนเท่านั้น

ครั้งหนึ่ง ครูซึ่งเป็น มาตรฐานของการเรียนรู้ ตีตราเขาว่าสมองทึบ โง่ หัวขี้เลื่อย แต่แม่ของเขาผู้เป็น มาตรฐานทางจิตวิญญาณ ชี้นำความคิดให้เขามีความเชื่อมั่น เชื่อว่าเป็นไปได้ศรัทธาในตัวเขาว่าเขาเป็นคนที่พัฒนาได้ ถึงแม้ว่าบางครั้ง ด้วยความเป็นนักคิดนักทดลองของเขาจนทำให้ยุุ้งข้าวของครอบครัวถูกไฟไหม้ก็ตาม

"คุณไม่สามารถเรียนรู้ได้ในโรงเรียน ว่าโลกกำลังจะทำอะไรในปีหน้า"

Henry Ford ผู้ก่อตั้งบริษัทฟอร์ดมอเตอร์

22 พ.ค. 2553

"คุณแม่" ที่ผมรัก ...


ตั้งแต่เราจำความได้จนเติบใหญ่ตั้งแต่เราอยู่กับอกของแม่...
จนจากมาอยู่กับอกของคู่ครองหรือขณะนี้เรายังเป็นเด็กอยู่ในความดูแลของแม่..
.

        เรารู้ว่าแม่ชื่ออะไรหน้าตาอย่างไรให้อะไรแก่เราบ้างพูดจาว่ากล่าวเราอย่างไร
เลี้ยงดูให้อาหารให้ความรัก ความเอื้ออาทรทะนุถนอมเราส่งเสียให้เราเล่าเรียนอย่างไร

        เราค่อยๆเรียนรู้ ค่อยๆจดจำ
        เราพอใจเมื่อแม่ให้เงินเราไปซื้อขนมให้เงินเราไปเที่ยวให้เงินเราไปซื้อสิ่งของที่เรา
อยากได้เราพอใจเมื่อแม่ไม่ดุด่าว่ากล่าวเราเมื่อเราทำในสิ่งที่ผิดพลาด

        เรามีความสุขเมื่อเราได้กินอาหารอร่อยในน้ำมือของแม่เรามีความสุข
เมื่อแม่ซื้อของที่เรารักเราชอบมาให้เรา เราได้ทุกอย่างจากแม่
        เมื่อเราเริ่มก่อตัวเป็นก้อนเนื้อน้อยๆในครรภ์แม่ เราได้มดลูกแม่เป็นที่อยู่อาศัย
เราได้เลือดแม่เป็นอาหารในการเจริญเติบโต

        เมื่อเราคลอดเป็นทารกน้อยๆ เราได้น้ำนมแม่ที่กลั่นมาจากเลือดทุกหยดของแม่
มา เป็นอาหารในการเจริญเติบโต

        เมื่อยังแบเบาะ เรายังกินอาหารเองไม่ได้ เรายังเดินเองไม่ได้เรายังล้างก้นเองไม่ได้

        แม่ต้องป้อนอาหารเราเมื่อหิวแล้วเราร้องโวยวาย แม่ต้องอุ้มเราไปไหนมาไหน
เมื่อเราเบื่อที่จะนอน

        แม่ต้องเช็ดล้างทำความสะอาดก้นของเราต้องซักผ้าห่มที่นอนของเรา
เมื่อเราถ่ายอุจจาระปัสสาวะเลอะเทอะ

        แม่ต้องอดหลับอดนอน ลุกขึ้นมากล่อมเราเมื่อเราร้องไห้โยเยยามดึกดื่น
แม่ต้องหายามาป้อนให้เมื่อเราป่วยไข้ไม่สบายและแม่ไม่ยอมนอนตลอดคืนหากเรา
ยังไม่หลับ

        เมื่อเราเริ่มหัดเดินแม่ต้องคอยทำที่เกาะให้เราหัดเดิน วันละก้าว วันละก้าว
แม่ต้องอดทน แม่ต้องคอยประคับประคองไม่ให้เราล้ม แม่ไม่เคยบ่นว่าเหนื่อย
ไม่เคยบ่นว่าเบื่อ

        เมื่อเราหัดพูดแม่คอยพูดนำว่า นี่ปาก นี่จมูก นี่ตา นี่หู ครั้งแล้วครั้งเล่า
วันแล้ววันเล่า จนเราเริ่มพูดเป็น แม่จึงบอกต่อว่า นี่พ่อ นี่แม่ นี่ตา นี่ยาย
ครั้งแล้วครั้ง จนเราเริ่มพูดชัดขึ้น

        แต่กว่าเราจะพูดชัดถ้อยชัดคำ เราก็แกล้งทำเสียงเพี้ยนๆบ่อยๆ แต่แม่ก็ไม่โกรธ
ยังหัวเราะร่าเริง ยิ้มแย้มให้เราเห็น

        เมื่อเราเติบโตจนเข้าโรงเรียนแม่ก็ตระเตรียมเสื้อผ้าอุปกรณ์การเรียนให้เรา
แม่ทำอาหารให้เรากินก่อนไปโรงเรียนทุกเช้าแม่ทำอาหารให้เรากินหลังกลับจาก
โรงเรียนทุกเย็น

        แม่ให้เงินเราไปโรงเรียนทุกวัน ทั้งที่เรายังหาเงินเองไม่ได้..
แม่ให้เงินเราไปซื้อขนม ซื้อของใช้ ซื้อเสื้อผ้า ซื้อโทรศัพท์มือถือ ไปเที่ยวกับเพื่อน
ไปเล่นเกม ไปดูหนัง ทั้งที่เรายังหาเงินเองไม่ได้..

        เมื่อเราเติบใหญ่เป็นหนุ่มเป็นสาว เราอยากมีครอบครัว แม่เป็นภาระในการจัดการ
เรื่องต่างๆให้เราได้มีครอบครัวที่สมบูรณ์พร้อม..

        เมื่อเรามีลูกแม่ก็ยังเลี้ยงลูกให้เรา ทั้งที่เราเป็นพ่อแม่คนแล้วก็ตาม
.
    
        เราได้ทุกอย่างจากแม่โดยที่แม่ไม่เคยขอคืนอะไรจากลูก..
        แต่ขณะที่แม่ให้เราได้ตลอดชีวิต นั้นเราได้ให้อะไรแก่แม่บ้าง..

        ในแต่ละวันเรามัวเที่ยวสนุกเพลิดเพลินเรามัวคิด มัวทำงาน มัวยุ่งกับเรื่องต่างๆ
ให้ความสำคัญกับเรื่องต่างๆมากมาย..

        มีสักครั้งไหมที่เราได้สบตาแม่แล้วมองให้ลึกลงไปในความรู้สึกว่า..
        แม่มีความสุขมีความทุกข์อย่างไรบ้าง แม่มีความรู้สึกอย่างไรกับเรา กับความเป็นอยู่
ของเรา กับการกระทำของเรา กับพฤติกรรมต่างๆของเรากับนิสัยของเรา..

        แล้วเรามองย้อนสักนิดไหมว่าเราดูแลใส่ใจแม่ได้สักครึ่งเหมือนที่แม่ดูแลใส่ใจเราไหม

        เราได้ให้อะไรแม่ในสิ่งที่แม่ต้องการสักครั้งไหม เราเป็นคนดีพอในความพยายาม
ของ แม่ที่อบรมสั่งสอนเรามาไหม..

        เราเคยถามแม่บ้างไหมว่า "แม่หิวไหมครับ..เดี๋ยวลูกจะหาอาหารอร่อยให้ทานนะครับ"

        เมื่อเราทำงานมีเงินใช้จ่ายอย่างสะดวกสบายเราเคยให้เงินแก่แม่บ้างไหม...
เรา ยอมเสียสละทุกสิ่งทุกอย่างให้กับคนที่เรารักเราชอบ แต่เราเคยเสียสละอะไรให้แม่บ้าง..

        เรามัวแต่แสวงหาความสุข ความสำราญให้กับตัวเอง ให้กับคนรัก ให้กับเพื่อนฝูง
        เรามัวทำความรู้จัก เรามัวทำความเข้าใจ กับคนอื่นๆ กับสิ่งอื่นๆ มากมายในช่วงชีวิต

           ลองเปลี่ยนความคิด...มอบความรักให้คุณแม่กันนะครับ..
        เราเคยทำความรู้จักทำความเข้าใจกับความรู้สึกในหัวใจของผู้เป็นแม่
ผู้ที่กำเนิดชีวิตให้เรา เลี้ยงดูเรา ให้ความรักแก่เรา ได้อย่างลึกซึ้งถ่องแท้แค่ไหน
เพื่อเป็นการตอบแทนบุญคุณแม่ เพื่อให้แม่มีความสุขและเพื่อให้เราได้เป็นลูก
ที่โลกสรรเสริญว่า เป็นลูกกตัญญู..

13 พ.ค. 2553

ปีศาจกินความโกรธ ...

   ผมชอบติดตามอ่านข่าวไทยรัฐเป็นประจำและผมก็มีนักเขียนคอลัมน์ข่าวที่ผมประทับใจและติดตามเสมอมา เขาก็คือกิเลน ประลองเชิง และมีคอลัมน์หนึ่งที่ผมชอบมากเป็นนิทานสอนสังคมไทย...ตอน "เจ้าปีศาจร้าย"   เรื่องโดย..อาจารย์พรหม..
ครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในวังใหญ่แห่งหนึ่งวันที่พระราชาเจ้าแห่งอาณาจักรไม่อยู่ เจ้าปีศาจตนหนึ่งก็ถือเป็นโอกาสเดินเข้าไปนั่งตรงไหนก็ไม่นั่งเลือกนั่งแหมะบนบัลลังก์
ปีศาจตนนี้น่าเกลียดมากตัวเหม็นอย่างร้ายกาจสิ่งที่มันสำรอกออกจากปากก็น่าขยะแขยงจนทหารน้อยใหญ่ที่รักษาวังไม่กล้ากระทั่งเข้าไปใกล้
พอตั้งสติได้ ทหารใหญ่ก็ตะโกนไล่..
"ที่นี่ไม่ใช่ที่ของเจ้าถ้าเจ้าไม่ขยับก้นไปข้าจะแล่เนื้อด้วยดาบเล่มนี้
ทหารยิ่งด่ายิ่งช่วยกันไล่ตัวของเจ้าปีศาจก็ยิ่งโตและโตขึ้นไปทุกทีหน้าตาก็ยิ่งหน้าเกลียดกลิ่นเหม็นยิ่งรุนแรงคำพูดคำจาที่ออกมาก็ยิ่งลามกสกปรก
อาจารย์พรหมบรรยายเหตุการณ์ตอนนี้ว่า..การเผชิญหน้าระหว่างทหารกับเจ้าปีศาจดำเนินต่อไป ทหารไม่เคยเห็นอะไรที่น่าเกลียดสุดๆอย่างนี้มาก่อนแม้กระทั่งในหนัง..
จนกระทั่งพระราชาเสด็จกลับมาถึงวังพระราชาองค์นี้ทรงมีสติปัญญาเหนือกว่าทหารไม่เช่นนั้นคงไม่เป็นถึงพระราชาเมื่อทรงเห็นปีศาจน่าเกลียดน่าชังตรงหน้า ก็ทรงรู้ดีว่าจะจัดการอย่างไร..
"ข้าพเจ้ายินดีต้อนรับท่าน" น้ำเสียงพระราชาอบอุ่น
"ต้องขอโทษที่ทหารพูดจาล่วงเกินท่าน และต้องขอโทษมาก ที่จนถึงบัดนี้ ทหารก็ยังไม่ได้หาเครื่องดื่มมาต้อนรับท่าน"
สิ้นเสียงสุภาพของพระ ราชา ตัวเจ้าปีศาจก็หดเล็กลง น่าเกลียดน้อยลง เหม็นน้อยลง..
เมื่อทหารถามปีศาจ "เรามีชาดีๆ หลายยี่ห้อ ดาร์จีลิง อิงลิชเบรกฟาสต์ หรือ เอิร์ลเกรย์ ถ้าท่านไม่ชอบ เราก็มีชาเปปเปอร์มินท์ ที่แสนอร่อย ดื่มแล้วมีผลดีต่อสุขภาพ ท่านจะเลือกดื่มแบบไหน"
น่าประหลาดคำพูดที่สุภาพการกระทำที่เอื้อเฟื้อทำให้ตัวเจ้าปีศาจเล็กลงไปอีกความน่ารังเกียจก็หายไปเรื่อยๆ..
จนกระทั่งเด็กส่งพิชซ่า เมนูอาหารที่เจ้าปีศาจออกปากเลือกเองมาถึงตัวเจ้าปีศาจก็หดลงเหลือเท่ากับที่นั่งบัลลังก์พระราชา..
ปีศาจกินพิซซ่าอิ่มทหารยื่นชาหอมกรุ่นให้ล้างคอตัวเจ้าปีศาจที่แสนจะน่าเกลียดน่าชังก็หายวับไปกับตาไม่เหลืออะไรไว้ให้พระราชาและทหารขุ่นเคืองใจอีกเลย..
เราเรียกเจ้าสัตว์ประหลาดตัวนี้ว่า..
.
"ปีศาจกินความโกรธ"

จากนิทานเรื่องนี้ประมาณว่า...
"คนทุกคนที่เรารู้จัก กระทั่งคนใกล้ตัว บางครั้งก็อาจเป็นปีศาจกินความโกรธได้ทุกคน ถ้าเราโกรธเขา เขาก็จะเลวลง น่าเกลียดขึ้น เหม็นขึ้น พูดจาน่ารำคาญยิ่งขึ้น ปัญหาจะบานปลายยิ่งขึ้น กระทั่งความเจ็บปวด ก็เป็นปีศาจกินความโกรธตัวหนึ่ง เมื่อเราคิดโกรธเจ้าความเจ็บปวด พยายามไล่ จงไปให้พ้น ที่นี่ไม่ใช่ที่ของเจ้า ความเจ็บปวดจะกลับรุนแรงขึ้น"

  

9 พ.ค. 2553

ชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ต้องแลกจึงได้มา



ชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ต้องแลกจึงได้มา

ต้องเจ็บปวด ท้อแท้ สิ้นหวัง หมดกำลังใจ
หนักหน่วงจนแทบจะทนรับไว้ไม่ไหว
สำคัญ คือ รู้ว่าต้องการทำอะไร
แล้วมุ่งมั่น บากบั่น ตั้งใจ
ที่เหลือมันจะเปลี่ยเป็นพลังขับเคลื่อนมหาศาล
พลังนี้มีอยู่จริง รอคุณได้สัมผัสมัน...
คุณจะรู้ว่าน้ำตา ไม่ได้มีไว้ให้ความเสียใจอย่างเดียว
แต่ยังแทนค่า...ความปิติที่ทุกคนสัมผัสได้

7 พ.ค. 2553

เด็กประถมคิด..คณิตศาสตร์ ...


      ในชั่วโมงสอนคณิตศาสตร์วันหนึ่ง ครูให้โจทย์บนหน้ากระดานแก่นักเรียนระดับประถมศึกษาด้วยตัวหนังสือตัวโตมากๆ 1 ข้อเต็มๆ ครับ
ครูถามนักเรียนว่า...
จงเลือกคำตอบข้อที่ถูกที่สุด
ก. ซื้อส้มโอ 5 ผล  ผลละ 10 บาท  จ่ายเงิน 60 บาท
ข. ซื้อส้มโอ 5 ผล  ผลละ 10 บาท  จ่ายเงิน 50 บาท
ค. ซื้อส้มโอ 5 ผล  ผลละ 10 บาท  จ่ายเงิน 45 บาท
ง. ถูกทุกข้อ


ด.ช.โบ้ : เลือกตอบข้อ ค.
ครู : อะไรกันโจทย์ง่ายๆอย่างนี้เธอยังตอบผิดอีก  อย่างนี้ครูคงให้เธอเลื่อนชั้นขึ้นกับเพื่อนๆ  ไม่ได้แล้วล่ะ
แล้วคุณหล่ะครับ เลือกตอบข้อไหน..
อยากรู้ใช่ไหมเป็นไงต่อ..
เลื่อนดูด้านล่างสิครับ..

VVV
VV
V

ด.ช.โบ้ :  ผมก็เลือกถูกแล้วนี่ฮะ  โจทย์ให้ตอบข้อที่ถูกที่สุด ซื้อ 5 ผล จ่ายแค่ 45 บาท ก็ถูกที่สุดแล้วนี่ฮะ ซึ่งข้ออื่นแพงกว่าทั้งนั้นเลย
       บางทีนะครับคำถามในคณิตศาสตร์เกือบทุกข้อไม่ได้มีคำตอบที่ถูกต้องเสมอเพียงคำตอบเดียว ผมมองอย่างนี้นะครับว่า..
“เด็กประถมเรียนคณิตศาสตร์เพื่อให้เขารู้ในการวิเคราะห์มองเห็นภาพคำตอบให้ชัดเจน แต่ที่แตกต่างของเด็กแต่ล่ะคนคือ วิธีคิดสู่คำตอบ”
ขนาด.. อัลเบริต ไอน์สไตน์  ยังเคยบอกไว้เลยครับว่า..
Imagination is more important than knowledge.
จินตนาการ สำคัญมากว่า ความรู้”

3 พ.ค. 2553

จิตตปัญญาศึกษา ...


จิตตปัญญาศึกษา เป็นการเรียนรู้เพื่อการเปลี่ยนแปลงแบบมีลักษณะพิเศษคือ มุ่งเน้นพัฒนาด้านในและการเปลี่ยนแปลงขั้นพื้นฐานในตัวเองอย่างลึกซึ้งเพื่อให้เกิดปัญญาที่เห็นความเชื่อมโยงของสรรพสิ่งและเกิดความรัก ความเมตตา ที่อยู่บนพื้นฐานของความเข้าใจอย่างลึกซึ้งทำให้เกิดสำนึกที่ดีงาม และตระหนักถึงภาระหน้าที่ของตนที่มีผลต่อมวลมนุษย์และสรรพสิ่งในธรรมชาติ โดยผ่านกระวิธีปฏิบัติแนวจิตปัญญา ในรูปแบบต่างๆ (ธนา นิลชัยโกวิทย์. 2551 : 142)
ตั้งอยู่บนปรัชญาพื้นฐาน 2 ประการ คือ..
1.           ความเชื่อมั่นในความเป็นมนุษย์(Humanistic Value) คือ ทัศนะที่เชื่อว่า มนุษย์มีศักยภาพที่สามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้อย่างต่อเนื่องมีความจริง ความดี และความงามอยู่ในตนเปรียบเสมือนเมล็ดพันธุ์พืชที่มีศักยภาพในการเจริญเติบโต เมื่อมีเงื่อนไขต่างๆ  พร้อมเมล็ดพันธุ์นั้นๆ ก็จะสามารถเจริญเติบโตได้การจัดกระบวนการเรียนรู้แนวจิตตปัญญาศึกษาจึงมิใช่การสอน  แต่เป็นการสร้างเงื่อนไขให้เกิดการเติบโตขึ้นจากภายใน
2.           กระบวนการทัศน์องค์รวม(Holistic Paradigm) คือ ทัศนะที่มองเห็นธรรมชาติของสรรพสิ่งคือการเชื่อมโยงเป็นหนึ่งเดียวกัน ทำให้ปฏิบัติต่อสรรพสิ่งอย่างไม่แยกส่วนจากชีวิต ด้วยทัศนะที่มองเห็นว่า มนุษย์เป็นส่วนหนึ่งของสรรพสิ่งและสรรพสิ่งก็เป็นส่วนหนึ่งของมนุษย์ จึงไม่ยึดตนเองเป็นศูนย์กลางของสรรพสิ่ง (ประเวช วะสี.2547 : 144) ทัศนะนี้เน้นความเป็นหนึ่งเดียวกันระหว่างการเปลี่ยนแปลงตนเองและเปลี่ยนแปลงโลก


หลักจิตปัญญา 7 หรือเรียกในชื่อย่อภาษาอังกฤษว่า 7C’S ได้แก่...
1.การพิจารณาด้วยใจอย่างใคร่ครวญ(Contemplation)
2.ความรักความเมตา(Compassion)
3.การเชื่อมโยงสัมพันธ์(Connectedness)
4.การเผชิญความจริง(Confrontations Reality)
5.ความต่อเนื่อง(Continuity)
6.ความมุ้งมั่น(Commitment)
7.ชุมชนแห่งการเรียนรู้(Community)