29 พ.ย. 2552

นิทานสระ อี เรื่อง ชะนีผู้อวดดี

นิทาน สระอี เรื่อง ชะนีผู้อวดดี

ณ ป่าใหญ่ใกล้วารีขจีเขียว
ลำนำเชี่ยวหมู่ไพรีเปรมปรีดิ์สันต์

เหล่าผองสัตว์ต่างปรีดามาเนิ่นนาน
ทุกสิ่งอันล้วนสมัครสมาน สามัคคี

ราชสีห์ ร่างอ้วนพี ป้องป่าใหญ่
รู้ถึงภัย ใกล้มาเยือน ไม่สุขขี

แจ้งบรรดา พี่น้องสัตว์ ไม่รอรี
เจ้าอินทรีย์ เลาะทิวเขา ส่งข่าวพลัน

พบอีกา เก็บผักชี ที่สวนผัก
แวะทายทัก ดูท่าที ขมีขมัน

อีกาให้ ลิ้นจี่ อินทรีย์พลัน
อีกแบ่งปัน สาลี่ สี่ลูกงาม

รีบส่งข่าว จากเจ้าป่า อีการู้
แต่เช้าตรู่ วันพรุ่งนี้ ที่สนาม

ร่วมหารือ ปรึกษากัน วันฟ้าคราม
เพื่อติดตาม ป้องกันภัย ไกลไพรี

เจ้าอินทรีย์ บินเร็วรี่ ดังขี่ม้า
แจ้งบรรดา เหล่าสัตว์ครบพบสุขศรี

เกาะกิ่งไม้ เด็ดดมชม จามจุรี
เก็บจำปี เสียบปีกใหญ่ ใจเบิกบาน

พบชะนี ผู้อวดดี เป่าปี่ก้อง
อยู่ริมหนอง นทีใส ใจสุขสันต์

บอกอินทรีย์ไม่ใยดี ไม่เกี่ยวกัน
ปัญหานั้น หน้าที่ใคร ให้ไขเอง

ชะนีบอก ตอนนี้ ข้ามีสุข
ไม่มีทุกข์ ฤดีฉ่ำ ทุกค่ำเช้า

อีนทรีย์บอก แต่ป่านี้ ป่าของเรา
ชะนีบอก ไม่เอา ไม่อยากสนใจ

ถึงเวลา ต่างพร้อมหน้า บรรดาสัตว์
ราชสีห์ เร่งรีบจัดแจง แถลงไข

เล่าเรื่องราว ความแห้งแล้ง อุทุกภัย
ผืนป่าใหญ่ อาจแห้งขอดไม่รอดกัน

อาจโชคดี หากเรามี วิธีแก้
ไม่มัวแต่ รอรีพร จากสวรรค์

คนละไม้ คนละมือ เราช่วยกัน
ดงไพรวัณฑ์ ไม่แห้งขอด เรารอดตาย

ราชสีห์ ดูแผนที่ ตรงนี้เหมาะ
เราจะเจาะ หาวารี ที่ดีได้

ดูดีดี ที่ตรงนี้ ที่ของใคร
เอ๊ะ!! นั่นไง เจ้าชะนี ชี้ดูพลัน

เจ้าชะนี ผู้อวดดี ปฏิเสธ
นี่ เป็นเขต บ้านข้า อย่ามาถาม

ถีบเก้าอี้ ไล่ราชสีห์ ดูไม่งาม
ปีนข้ามผ่าน ศรีษะ ผละหนีพลัน

ราชสีห์ ไม่รอรี หาที่อื่น
ผ่านวันคืน ผืนป่า ไม่สุขสัจนต์

ตรงนี้ดี ข้างดอกจำปี รีบเอ่ยพลัน
คงจะทันป้องกันภัย ป่าใหญ่เรา

เช้าวันหนึ่งบ้านชะนี วารีหมด
ถามเจ้ามด หาวารี ได้ที่ใหน

มดส่ายหน้า ไม่พูดคุย เดินผ่านไป
เริ่มร้อนใจ หิวกระหาย ใครช่วยที

ผ่านทุ่งข้าวสาลี ชะนีเหนื่อย
แขนขาเมื่อยปากหิวกล้วยสวยสักหวี

ขออีกา เจ้าของสวน บอก"ไม่มี"
ขออินทรีย์ "บอกไม่ใช่หน้าที่เรา" เจ้าต้องหาเอง

บรรดาสัตว์ไม่อารี ชะนีป่า
หมดปัญญา แก้ไขใจ เศร้าหมอง

นึกหวนคิดถึงเวลา เฝ้าตรึกตรอง
หนึ่งเราหยิ่งผยอง สองเราอวดดี

พบอาศรม ฤาษี ชะนีแจ้ง
ฤาษีแจงหากเจ้าเปลี่ยนก็สุขขี

เปลี่ยนเป็นโอบอ้อม และแบ่งปัน ไม่อวดดี
เจ้าชะนี ให้สัญญา ไม่ล้าลัง

เจ้าชะนีขออภัย บรรดาสัตว์
ไม่ขอผลัดรีบเปลี่ยนทิศทางวิถี

สัตว์ทั้งป่าชื่นชมว่า เป็นสิ่งดี
เพราะชะนีคิดได้ ไม่สายเกิน

ฟังเรื่องราวเจ้าชะนีนี้ต้องคิด
อย่าหลงผิดทั้งอวดดี หยิ่งผยอง

เปลี่ยนความคิด เปลี่ยนตัวเอง ฝึกตรึกตรอง
ไม่หม่นหมอง เหมือนชะนี ผู้อวดดีเอย

28 พ.ย. 2552

เด็กหญิงดอกรัก ตอนแรกเริ่ม

.......ความรักที่เบ่งบาน.............

บ้านหลังน้อยชั้นเดี่ยวสีฟ้าขาวหลังคาสีน้ำเงิน
ในพื้นที่ 10 ไร่ ที่เต็มไปด้วยสวนผลไม้และ
แปลงผักสวนครัว เช่น มะม่วง,ลำใย,มะขาม,
ส้มโอ และอื่น ๆ ถูกปลูกเป็นแถวต้นสูงแค่ไหล่
หากจะมีผลออกมาบ้างแต่ก็เพียงน้อยนิดเนื่องจาก
ยังไม่โตเต็มทีพอจะให้ผลผลิตอย่างต้องการ
แต่อนาคตมันต้องโตขึ้นและโตขึ้นตามกาลเวลา
เช่นเดียวกับความรักของสามีภรรยาเจ้าของบ้าน
ที่แต่งงานอยู่กินกันมาเป็นเวลา 1 ปีกว่าๆแล้ว
ครอบครัวของเขาก็เริ่มเติบโตเช่นเดี่ยวกัน
จากสองกลายเป็นสาม

.....จุดเริ่มต้นของสมาชิกใหม่.........

อาการหน้ามืดและเป็นลมบ่อยครั้งของดอกอ้อ
ทำให้รักชาติไม่ค่อยจะพอใจด้วยความเป็นห่วง
หญิงสาวอันเป็นที่รักและดูแลประคับประคองเสมอมา
เฝ้าดูแลทีขอบเตียงนอนจองมองดูใบหน้าอันอ่อนล่า
แลเหมือนคนป่วยทีหายจากพิษไข้ ไร้เรียวแรง
แต่ต่างจากดอกอ้อคนร่าเริง แข็งแรงและแจ่มใส่
รักชาติได้แต่คิด และคิดอยู่ในใจไม่กล้าส่งเสียง
ที่จะเป็นการรบกวน คิดทบทวนหาสาเหตุจนทำให้
ตัวของรักชาตินอนไม่เต็มที่ ตื่นเช้ามาจึงมีอาการมึนๆ
และปวดหัวนิดๆ แต่ด้วยความเป็นห่วงรักชาติตื่นแต่เช้า
เข้าครัวทำข้าวต้มเพื่อสุดที่รักของเขา ใส่หมูสับ
ที่ลงมือสับด้วยตัวเองใส่หอมเจียวหอมกุลและต้นหอม
โรยหน้าแต่คนกินไม่ได้หอมด้วยแล้วละสิ เพียงแค่สูดกลิ่น
ดอกอ้อก็อยากอวกขึ้นมาวิ่งเข้าห้องน้ำแทบไม่ทัน
คนตกใจคือรักชาติที่ตามมาติดๆ พร้อมมือลูบที่หลังเบาๆ
ไม่ไหวแล้วเขาทนดูไม่ได้แล้วจริงๆ ดอกอ้อต้องไปหาหมอ
วันนี้และต้องเดียวนี้ด้วยรักชาติคิด พอดอกอ้อหยุดอวก
พร้อมอาการอ่อนเพลียอย่างเห็นได้ชัด
เพื่อค้นหาคำตอบรักชาติจึงพาดอกอ้อไปที่โรงพยาบาล
การรอค่อยชักทรมานและจบสิ้นเมื่อคุณหมอบอกสาเหตุของอาการ
สีหน้าที่เป็นกังวนกลับเป็นสีหน้าที่ดีใจสุดๆ กับคำพูด 1 ประโยค
"ยินดีด้วยครับภรรยาของคุณกำลังตั้งครรภ์" ขอบคุณครับคุณหมอ
ในที่สุดครอบครัวก็สมบูรณ์

25 พ.ย. 2552

คณิตศิลป์..เกิดเรื่องเหลือเชื่อ...

    วันนี้ผมของดข่าววิภากษ์ข่าวการเมืองไว้ก่อนสัก 1-2 สัปดาห์ เพราะใกล้ถึงวันสำคัญของปวงชนชาวไทยแล้ว ผมจะมาเล่าเรื่องที่แปลกน่าประทับใจเกิดขึ้นในห้อง 6 เหลี่ยมเล็กๆ ของโรงเรียนนอกกะลา ..
     เมื่อพูดวิชาคณิตศาสตร์คนส่วนใหญ่ในสังคมมนุษย์เราชอบมองกันว่าเป็นวิชาที่ ยุ่งยากและไม่รู้จะเรียนไปทำไม มีหลากหลายคำถามที่ถามผมประจำตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัยจนถึงทุกวันนี้ ผมก็ได้ตอบทุกคำถามเกี่ยวกับคณิตศาสตร์ว่าเรียนไปเพื่ออะไร ใช้ประโยชน์จากตรงไหน....
    มีเรื่องที่แปลกมากเกิดขึ้นในชั่วโมงสอนคณิตศาสตร์ช่วงชั้นที่ 2 ในสัปดาห์ที่ 5 และสัปดาห์ที่ 6 ของ Qaurter 3 ของโรงเรียนนอกกะลา จ.บุรีรัมย์ อาจจะเป็นเรื่องที่บอกว่าประทับใจของครูผู้สอนหรือเรื่องการหาจุดเด่นในบางเรื่องตัวผู้เรียนพบก็ว่าได้..
     นักเรียนทุกคนล้วนแล้วแต่มีขีดความสามารถในตัวมากน้อยแตกต่างกัน แต่ครูทำอย่างไรให้เด็กคนนั้นที่คิดว่าเขามีขีดความสามารถเท่านั้นให้เข้า โชว์ความสามารถของเข้าออกมาได้อย่างเต็มที่...
     นี้คือชิ้นงานบางงานที่ผมประทับใจ และนักเรียนทุกคนล้วนตั้งใจทำตามจินตนาการของเขา และนักเรียนทุกคนล้วนแล้วแต่มีศักยภาพต่างกันของแต่ละชั้นครับ...

ผลงานบางส่วนของนักเรียนชั้น ป.4 - ป.6
โรงเรียนลำปลายมาศพัฒนา ปีการศึกษา 2552


งานกลุ่มนักเรียนชั้น ป.4 พี่บุ๋มบิ๋ม , พี่บีม(อ) , พี่หมวย
    3 สาวน้อยห้อง ป.4 ที่มีความสนในในเรื่องการสร้างสรรค์ผลงาน เกิดจากความคิดที่งอกงานของเด็กๆ


พี่บีม(อ) ป.4
     ขอกระดาษสักแผ่นจากคุณครูกลับไปทำต่อที่บ้านจนเสร็จ สวยงานดังประจักษ์

พี่พิม ป.6
     พิมบอกว่าหนูชอบมาก เพราะเป็นรูปที่หนูคิดว่าไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ หนูขอไปทำต่อที่ย้านนะคะ


พี่กาย ป.4
     ที่ผ่านมาพี่กายจะทำงานได้ช้า แต่รอบนี้ผมทำเสร็จอวดเพื่อนได้และภูมิใจมากยิ่งนัก


พี่ซีตรอง ป.6
      วันที่ให้ทำงานพี่ซีตรองทำเสร็จคนแรกของห้อง ป.6 ผมชมเขาว่าซีตรองเก่งมากครับ เขาขอกระดาษเปล่าจากผมกลับไปทำต่อที่บ้าน ซึ่งทำตามจินตนาการของเขาซึ่งผลงานออกมาดีมากเลยครับ...



พี่เก่ง ป.6
      ผลงานติดโชว์ผมนำผลงานพี่เก่งขึ้นด้านหน้าของเพื่อน ซึ่งผมก็ไม่ได้ตั้งใจ ซึ่งดูจากแววตาและความปลื้มปิติในตัวเขา เก่งถามผมว่า คุณครูเอางานผมขึ้นหน้าเหรอครับ คำพูดนี้มันฝั่งในใจคนสอนเรื่อยมา...


พี่เก่ง ป.5
      พี่เก่งเป็นนักเรียนตัวเล็กๆ ผิวคร่ำๆ ชอบทำหน้าตายอกล้อผมเสมอ เวลาสอนเขาก็จะคุยแข่งกับครูระหว่างผมสอนประจำ ซึ่งในวันทำงานชิ้นนี้ผมไม่ได้บอกวิธีการสร้างมากมายแต่ผมบอกแค่ว่าให้นักเรียนคิดรูปขึ้นเองแล้วสร้างตามจินตนาการ ซึ่งพี่เก่งทำเสร็จคนที่ 13 ของห้อง เพราะเขาประณีต ก่อนทำพี่เก่งบอกผมว่า ผมจะทำให้สวยที่สุด และงานที่ทำออกมาก็สวยมากครับ


ความสุขจากการชื่นชมผลงานตัวเอง พี่ต่อ ป.4 และเหล่าลูกน้องในบริวาล...

    งานทุกชิ้นล้วนเกิดจากเส้นตรงล้วนๆ นักเรียนทุกคนใช้แค่ดินสอ ปากกา และไม้บรรทัด เท่านี้ก็ทำงานได้ทุกคนครับ ...

... ดีใจที่เห็นนักเรียนเรียนอย่างมีความสุข ...

24 พ.ย. 2552

เจ้าชายอึ่ง..........(ชั่วโมงสอนครูองอาจ)





........ ชั่วโมงการคิดที่ผ่านมาครูองอาจให้เด้ก ๆ ไปคิดกิจกรรมมา....เพื่อนำเสนอเพื่อนในชั่วโมงนี้...ซึ่งวันนี้เป็นวันที่กลุ่มของต่อจะได้นำเสนอ....เขาทั้งดีใจและตื่นเต้นที่จะได้ทำให้ครูและเพื่อนๆ ให้ฉงนคืนบ้าง....


ครูองอาจ : สวัสดีครับ พี่ ป.4 วันนี้ถึงคิวกลุ่มไหน...นำเสนอแล้วนาาา

ต่อ : กลุ่มผมนี่แหละครับ

ครูองอาจ :พร้อมแล้วเชิญครับ....เอ้า...เพื่อนปรบมือให้กลุ่มของพี่ต่อหน่อยครับ

..... เด้ก ๆ ปรบมือให้กำลังใจเพื่อนกันทุกคน.......


ต่อ : วันนี้เสนอนิทานหรรษาเรื่อง...เจ้าชายอึ่ง..อึ่ง..อึ่ง (ทำเสียงแอคโครเสียด้วยซิครับ..เพื่อนยิ้มให้กับนักเล่าจอมลีลา ).

ณ ดินแดนแสนไกล..มีเมืองอยู่เมืองหนึ่ง..เป็นเมืองของเจ้าชายอึ่ง...

วันหนึ่งเจ้าชายอึ่งออกไปเที่ยวเล่นจนหลงเข้าไปในดินแดน.. ของยักขมีขู...โอ๊ะ...ขมูขี...(เพื่อน ๆ พากันหัวเราะมุกเล้ก ๆ น้อย ๆ ของต่อ)..


โอม : แล้วเป็นยังไงต่อล่ะ ...หลังจากนั้น

ต่อ : เจ้าชายอึ่งแสนซนได้ไต่ขึ้นไปบนตัวของยักษ์ขมูขีซึ่งกำลังหลับโดยไม่รู้ตัว...แล้วก็กระโดดโหรเถาวัลเล่น....อ้าว...มันไม่ใช่เถาวัลนิ..มันคือขนจั๊กแร้เจ้ายักษ์ต่างหาก ..(เพื่อน ๆ หัวเราะฮา )...เจ้ายักษ์ตื่นขึ้นมาวิ่งไล่เจ้าชายอึ่งจนหลงเข้าไปในถ้ำข้ามมิติ


...........มาถึงตอนนี้เพื่อนๆ นั่งฟังชนิดไม่กระพริบตาเลยครับ...



ครูองอาจ : หลังจากนั้นเป็นยังไงอีกครับ

ต่อ : ในถ้ำมีรหัสข้ามมิติกลับไปยังเมืองของเจ้าชายอึ่ง...แต่เวลาไขรหัสปริศนานี่ซิมีเพียง 10 นาทีเท่านั้น...เอ..เจ้าชายจะกลับเมืองได้ไหมนาาา

โอม : ตัวเองก็รีบบอกมาซิ...เราจะได้รีบคิด

ต่อ : มีจุดอยู่ 9 จุด ให้ลากเส้นตรงต่อกันเพียง 4 เส้น

ให้เชื่อมต่อกันทุกจุด โดยไม่ยกปากกา




...........ทั้งเด็ก ๆ และครูองอาจต่างพากันออกแบบ Model ใหญ่เลยครับ....5 นาทีผ่านไปเริ่มมีคนได้ 2 - 3 คน...

..........เอ้ย..ค่อยยังชั่วครับ....ในที่สุดเราก็พากันช่วยเจ้าชายได้ครับ...



คุณผู้อ่านช่ายเจ้าชายอึ่งได้ไหมครับ


English is fun...(ชั่วโมงสอนครูองอาจ)




....T-Sally เป็นคุณครูคนใหม่ของเด็ก ๆ มาจากประเทศฟิลิปปินส์....นอกจากจะหน้าตาบ้องแบ้วน่ารักแล้วยังคุยสนุกสาน...ชอบเล่นกับเด้ก ๆ ทุกห้องเรียน......

ครูองอาจ : สวัสดีครับพี่ ป.3 ตอนเที่ยงเห็นพวกเราไปคุยอะไรกับ T-Sally เหรอครับ


ใบเตย : อ๋อ....พวกเราเข้าไปคุยเรื่องกินข้าวกับ T-Sally ค่ะ... ก็มี หนู ฝน ไข่มุก และ นัปการ ค่ะ ...(ในจำนวนนั้นมีนัปการคนเดียวที่เป็นผู็ชาย)..

ฝน : แต่วันนี้ T-Sally พูดไม่เพระเลยค่ะ

...........เอ๊ะ...แปลกจังเลยครับท่านผู้อ่าน...ร้อยวันพันปีไม่เคยเห็นเด้ก ๆ พูดแบบนี้เลย....เอ..มันต้องมีอะไรซักอย่างแน่เลยครับ.

ครูองอาจ : ลองเล่าเหตุการณ์ให้คุณครูฟังหน่อยซิครับ

ฝน : ช่วงกินข้าวนะค่ะ...นัปเขาเอาส้มไปใส่ถาดข้าวให้ T-Sally แต่ T-Sallัััy กลับโบกมือแล้วก็ส่ายหัวไปเหมือนจะไม่เอา.....แล้วก็พูดว่า อีนับ อีนัป พูดไม่สุภาพเลยค่ะ แต่ก็แปลกนะค่ะนัปเป็นผู้ชาย ทำไมเรียก อี แต่ยังไงก็ไม่สุภาพค่ะ

........นัปการซึ่งนั่งฟังอยู่...น้ำใสใสเริ่มหยดติ่ง ๆ ลงมาอาบแก้วด้วยความเสียใจ...สักครูหนึ่งก็ปล่อยโฮออกมาพร้อมเสียงสะอื้น.......

........ครูองอาจฟังเหตุการณ์แล้วรู้สึกทะแม่ง ๆ ชอบกล....นิ่งคิดสักครู่..............แล้วก็.....แล้วก็....

....ก๊าก.....ฮ่ะ....ฮ่ะ....ฮ่ะ.....ขออนุญาตหัวเราะครับ...เพราะขำจริง ๆ ....ทำเอาเด้ก ๆ นั่งงงกันทั้งชั้นเรียน...

ครูองอาจ : ....คืออย่างนี้ครับเด็ก ๆ ....ที่จริงแล้ว T-Sally ไม่ได้พูดไม่สุภาพ...และ ไม่ได้ว่านัปเลย...พวกเรานะเข้าใจ T-Sally ผิดไป .....T-Sallัััy พูดว่า Enough แปลว่า พอแล้ว อิ่มแล้ว ...แต่พวกเรากลับเข้าใจว่า อีนัป ..

.......อ๋อ......ฮ่ะ....ฮ่ะ....ฮ่ะ.....เด้ก ๆหัวเราะกันยกใหม่...ไม่เว้นแม้นัปกาที่มีน้ำตานอง.....

ครูองอาจ : ภาษาก็ยังนี้แหละครับ...ชวนให้เข้าใจผิดอยู่เรื่อยๆ ...คุณครูก็มีเรื่องของภาษากับคณิตศาสตร์เหมือนกัน...ฉง๊น..ฉงน ..งงงวย ครับ

..............หลายคนเริ่มอยากรู้...............

ฝน : ยังไงค่ะครู

ครูองอาจ : A B C D E เป็นเลขโดด(0-9) ที่ต่างกัน

A B C D E คือจำนวนใด ถ้าหากว่า


.............ติ๊ก ตอก.....ติ๊ก ตอก......ติ๊ก ตอก......คิดยังไงก็คิดไม่ออก.......


คุณผู้อ่าน
คิดช่วยเด็ก ๆ ด้วยครับ


23 พ.ย. 2552

ปริศนา 5 ห่วง.......(ชั่วโมงสอนครูองอาจ)


.........วันนี้มีผู้ใหญ่ใจดีมาที่โรงเรียน....ซึ่งได้นำแซนด์วิทแสนหวานมาเลี้ยงเด้ก ๆ ด้วย ..

........ ทำเอาเด็ก ๆ อิ่มแป้ไปตามๆกันเลยครับท่านผู้อ่าน......

ครูองอาจ : สวัสดีครับ พี่ ป.4 ช่วงเบรคเห็นพวกเรากินอะไรกันนาาา...น่าอร่อยจังเลย

ต่อ : กินแซนด์วิทครับ...ผู้ใหญ่ใจดีเอามาฝากครับ..

ครูองอาจ :อ๋อ...เหรอครับ

โอม : แต่กว่าจะได้กิน...ก็รอนานเลยละครับครู

...... ครูองอาจฟังโอมพูด...แล้วชักงงๆ...........


ครูองอาจ : ทำไมรอนานละ่ครับ....ผู้ใหญ่ใจดีแจกช้าเหรอครับ

โอม : ไม่ครับ..แจกเร็วอยู่...แต่พวกผมแบ่งกันไม่ลงตัวซะที

ครูองอาจ : ยังไงครับ

โอม : คือผู้ใหญ่ใจดีให้มา 45 ห่อ พวกผมมี 30 คน จะต้องแบ่งคนละเท่า ๆ กัน ไม่รู้จะได้คนละเท่าไหร่ครับ

ต่อ : คิดตั้งนานค่อยรู้ว่าแบ่งคนละหนึ่งชิ้นกับอีกครึ่งชิ้นครับ


ครูองอาจ :อ๋อ........ โอ้โห....งั้น...คงอิ่มแป้ซิครับ

ต่อ : ครับ..อื่มมากเลย

........ในขณะนั้น...สำลีซึ่งอิ่มแซนด์วิทมากจนควบคุมร่างกายตัวเองไม่ได้.....จนเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น.......

สำลี : ...(ปุ๋ง..ปุ๋ง)...

.........ไม่ใช่มาแต่เสียงครับท่านผู้อ่าน กลิ่นก็ตามมาติด ๆ......เพื่อนๆ รวมทั้งครูองอาจปิดจมูกกันใหญ่เลย....เพื่อน ๆ ถอยห่างสำลีเป็นวงกว้าง....นานสักพักหนึ่งอาอาศค่อยดีขึ้น...เด้ก ๆ ค่อยกลับไปที่เดิม...

ต่อ : อื้อฮือ....กลิ่นทูน่าเหมือนแซนด์วิทเลย...(เพื่อนๆ ทังขำต่อ...ทั้งปิดจมูกกันสาละวนยกใหญ่เลยครับท่านผู้อ่าน)..


ครูองอาจ : โอ้......เชื่อแล้วครับว่าอิ่มจริงๆ....ต่อไปใครมีอาการไม่ปกติขอให้ออกไปทำธุระข้างนอกนะครับ..(ไม่ได้ครับท่านผู้อ่านต้องทำข้อตกลงกันก่อน)


ครูองอาจ :OK ครับ...คุยกันต่อครับ.....ที่จริงแล้วห้องนี้แบ่งของเก่งนะ.....
วันนี้ครูก็เลยมีเกมสนุก ๆ มาให้เด้ก ๆลอง แบ่งครับ
..(เริ่มโยงเข้าสู่บทเรียน)..

ต่อ : ยังไงครับครู..เกมที่ว่านั้น


ครูองอาจ : มีห่วงอยู่ 5 อัน วางเรียงกันดังรูป เด้กๆ ช่วยใช้ตัวเลข

1 2 3 4 5 6 7 8 และ 9 เติมลงในห่วง โดยมีข้อแม้ว่า

ผลรวมของทุกห่วงต้องเท่ากัน




.......เด้ก ๆ รีบเปิดกระดาษทด วาดภาพออกแบบ Model ใหญ่เลย..........

.......ครุ่นคิดอยู่นานทีเดียว....กว่าจะได้คำตอบ................................


ว่าแต่....คุณผู้อ่านได้หรือยังครับ

คุกกี้ยากี้................(ชั่วโมงสอนครูองอาจ)



........ช่วงนี้ธุรกิจการทำคุกกี้ของพี่ม.1 กำลังจะไปได้ดี....มีลูกค้าสั่งซื้อมาเพียบ...

......จนผลิตจะไม่ทันอยู่แล้ว ..ดังนั้นว่างเมื่อไหร่เป็นอันแพ็กถุงขนมคุกกี้ทุกที......


ครูองอาจ : สวัสดีครับพี่ ม.1 ช่วงเบรคเห็นพวกเรานั่งทำอะไรกันอยู่เหรอครับ

ปาล์ม : แพ็กถุงขนมคุกกี้ค่ะ...เพราะวันนี้ครูนางสั่งมา 50 ถุง เห็นว่าจะเอาไปเป็นเบรกแขกที่มาอบรมที่โรงเรียนค่ะ

ครูองอาจ :อ๋อ...เหรอครับ...
.......ว่าแต่วิธีการทำคุกกี้ยากไหมครับเด็กๆ....

ทราย : ไม่ยากหรอกค่ะเพราะเรามีสูตรของเราเอง

ครูองอาจ :เหรอครับ....เป็นยังไงครับ...สูตรที่ว่านั่น

มุก : กลุ่มหนูทำคุกกี้เห็ดหอมค่ะ

ทราย : กลุ่มหนูทำคุกกี้ถั่วตัดค่ะ

มุก : กลุ่มหนูทำคุกกี้งาดำค่ะ

ครูองอาจ : ว้าว...น่าอร่อยทั้งนั้นเลย...แล้วกลุ่มพี่กิ๊บทำอะไรครับ

........กิ๊บเป็นเด้กที่เติบโตตามวิถีชนบท...ลูกอีสานขนานแท้...แต่จับฉลากได้...เลยได้มาเรียนที่นี่....

กิ๊บ : กลุ่มผมทำคุกกี้ปลาร้าครับ

ครูองอาจ : อะไรนะครับ !!..(ทวนคำเพราะไม่แน่ใจในสิ่งที่ได้ยินนัก)

กิ๊บ : ทำคุกกี้ปลาร้าครับ......(เพื่อนๆหลายคนหันมายิ้มให้กับเมนูแปลก ๆ ของกิ๊บ)


ครูองอาจ : เอ...ทำไมจึงเลือกทำคุกกี้ปลาร้าละครับ...เพราะอะไร

กิ๊บ : ก็สวนมากคนอีสานชอบกินปลาร้า....ผมคิดว่าถ้าทำเมนูนี้น่าจะขายดีครับ

ครูองอาจ : แล้ว........ขายดีไหมละครับ


กิ๊บ : ..(ยิ้มแห้ง ๆ ก่อนจะตอบว่า)....ยังไม่ค่อยดีเท่าไหร่ครับ

......ครูองอาจกลัวลูกศิษย์จะหมดกำลังใจและความมานะพยายาม.....จึงพูดขึ้นว่า

ครูองอาจ : เอ้า...เอ้า..ไม่เป็นไรอีกซะหน่อยก็คงขายดีเอง....ก็ตั้งใจทำต่อไป...ควรดูความต้องการของลูกค้าเป็นหลัก...แล้วค่อย ๆ ปรับเปลี่ยนตามความเหมาะสม...คุณครูคิดว่าอนาคตต้องขายดีแน่นอน

.....กิ๊บเริ่มมีอาการใจชื้นขึ้นมาหน่อย.......

ครูองอาจ : ว่าแต่..เวลาเราอบคุกกี้....ใช้เวลานานเท่าไรครับ...(เริ่มโยงเข้าสู่บทเรียน)..

ทราย : 15 นาที ค่ะ กรอบพอดีพอดี

........ครูองอาจนิ่งสักครู่.....ก่อนที่จะพูดขึ้นว่า.....

ครูองอาจ : แต่ที่เผ่าซาไกที่ครูรู้จักใช้เวลาอบแค่ 9 นาทีเองครับ ..... และไม่มีนาฬิกาดูเหมือนเราด้วย


.....เด็ก ๆ เริ่มสนใจฟัง.....หลายคนมีคำถามขึ้นในใจ.....


แมน : อ้าว..แล้วเขาดูเวลายังไงครับครู


ครูองอาจ : อ๋อ...ใช้นาฬิกาทรายครับ

.....อ๋อ...เสียแว่วจากบางคน........

ครูองอาจ : ตโปต้องการอบคุกกี้ยากี้โดยใช้เวลา 9 นาที

แต่เขามีนาฬิกาทรายชนิด 3 นาที กับ 7 นาที เอ..เขาจะจับเวลายังไงนา

ในการทำคุกกี้ครั้งนี้

....คิด คิด คิด .......คิดยังไง......ก็คิดไม่ออก.......

คุณผู้อ่านช่วยเด้ก ๆ คิดหน่อยครับ



หนาวกว่า

เช้าวันเสาร์อันแสนสุข กับช่วงฤดูหนาวที่ยาวนาน
บนที่นอนอบอุ่นร่างกายของคูแฝดสองร่างเริ่มที่จะขยับอย่างเชื่องช้า
ด้วยท่าทางอันขี้เกลียด ตามมาด้วยเสียงพูดคุยอันเบา
ที่สามารถได้ยินเพียงสองคน

ดวงใจ : ดวงแก้วเธอตื่นหรือยัง....ฮือ..

ดวงใจ : มาเล่นเกมกันดีไหมใครจะลุกจากที่นอนก่อนกัน

ดวงแก้ว : ได้ใครลุกก่อนแพ้นะ ตกลง

ดวงใจ : ฉันหนาวกว่าเธอนะดวงแก้ว

ดวงแก้ว : ไม่ฉันหนาวกว่าเพราะฉันเป็นน้องเธอ 1 นาทีนะ

ดวงใจ : ถึงเธอจะเป็นน้องแต่เธอก็อ้วนกว่าฉัน จะหนาวกว่าได้อย่างไร

ดวงแก้ว : ถึงฉันอ้วนฉันก็ยังหนาวนะดวงใจ

ดวงใจ : เอาอย่างนี้ใครที่กล้าออกจากที่นอนเร็วกว่า คนนั้นหนาวกว่า

ดวงแก้ว : ทำไหม คนออกทีหลังสิหนาวกว่า

ดวงใจ : อ้าวไม่เห็นหรอ เวลาคนขับมอร์ไซด์นะ คนข้างหน้าหนาวจะตาย
คนข้างหลังไม่เห็นจะหนาวเท่าเลย

ดวงแก้ว : จริงของเธองั้นฉันไปละ

พูดเสร็จดวงแก้วก็ลุกขึ้นจากที่นอนอย่างเร็ว

ดวงใจ :เห็นไม่ละสุดท้ายฉันก็หนาวกว่าเธอ เพราะฉันยังนอนที่เดิม


สรุปแล้วดวงแก้วกลัวดวงใจคิดว่าไม่หนาวแต่กลับเป็นคนที่ลุกจากที่นอนเป็นคนแรก

22 พ.ย. 2552

ใครวิ่งไกลกว่า........(ชั่วโมงสอนครูองอาจ)




.........แรด เลิศ เชิด เขาหาว่าฉันกะแดะ....................(ซ้ำ)

.........เขาหาว่าฉันกะแดะเพราะฉันนะ แรด เลิศ เชิด...


.........เสียงเพลงเชียร์กีฬาของสีเขียวดังแว่วมาแต่ไกล......


ครู องอาจ : สวัสดีครับพี่ ป. 2 เอ........เมื่อเช้าผลการวิ่งแข่งขัน 100 เมตร หญิง เป็นยังไงบ้างครับ

เอิร์น : อุ๊ย...หนูเกือบได้ที่ 1 ค่ะ.....(แนะ..ไม่ยักกะจะบอกว่าได้ที่ 2 ครับ)..

ไข่มุก : ตอนแรกหนูวิ่งนำพี่เอิร์น....เกือบถึงเส้นชัยแล้วค่ะ..แต่พอจะเข้าเส้นชัยพี่เอิร์นแซงหนูได้..สีแดงก็เลยได้ที่สามค่ะ..(ไข่มุกเป็นนักกีฬาสีแดง)..

ครูองอาจ : แล้วสีไหนวิ่งเข้าเส้นชัยก่อนเพื่อนละ่ครับ


เบ้น : สีเขียวค่ะ...พี่บีมป.4 เป็นคนวิ่ง...วิ่งเร้ว เร็ว ค่ะ


ครูองอาจ : เหรอครับ...ได้ที่ไหนก็เก่งหมดนั่นและครับเด็ก ๆ... แพ้-ชนะ ไม่ใช้เรื่องสำคัญ น้ำใจนักกีฬาสำคัญกว่า..ใช่ไหมครับเด็ก ๆ ..(ครูองอาจทบทวนแนวทางการเล่นกีฬากับลูกศิษย์)..


......ครับ/ค่ะ..อย่างว่าง่ายเลยละ่ครับท่านผู้อ่าน...ก็คุยกันประจำนี่ครับ...........


ครูองอาจ : ..เออ....พูดถึงเรื่องวิ่งแข่งขันก็ทำให้นึกถึงสมัยเป็นเด็ก ๆ ครับคุณครูมีเพื่อนอยู่ 2 คน ชอบวิ่งเล่นแข่งกัน.......แบบประหลาด ๆ พิศดารไม่เหมือนใคร

...........หือ...เสียงฉงนแว่วดังมาจากบางคน..............


เอิร์น : ประหลาดยังไงเหรอค่ะ


ครูองอาจ : ฟังให้ดีนะครับ

แมน เป็นคนตัวสูง ขายาว ก้าวยาว แต่ก้าวช้า

มอส เป็นคนตัวเตี้ย ขาสั้น ก้าวสั้น แต่ ก้าวเร็ว

.............................เด้ก ๆ ตั้งใจฟัง ดีมาก.....................................

ครูองอาจ : แมน กับ มอส นัดวิ่งแข่งกันด้วยวิธีแปลก ดังนี้

มีเสาทังหมด 100 ต้น เรียงเป็นเส้นตรง เสาแต่ละต้นห่างกัน 1 เมตร

แมนเริ่มวิ่งจากเสาแรก มอสเริ่มวิ่งจากเสาที่ 100

ทั้งสองคนมาวิ่งมาพบกันพอดีที่เสาต้นที่ 50

เอ...ใครวิ่งได้ระยะทางไกลกว่ากันนาา


เอิร์น : หนูว่าเท่ากันค่ะครู

ชาติ : มอสน่าจะวิ่งได้ไกลกว่าครับครู

โชค : เอ..แต่เขาว่าแมนนะ


แล้วคุณผู้อ่านมีความคิดเห็นเป็นอย่างไรครับ




องศาโรเมอร์............(ชั่วโมงสอนครูองอาจ)



...... ช่วงนี้พี่ป.5 กำลังเรียนโครงงานโลกร้อน หนึ่งในหลาย ๆ กิจกรรม คือ การวัดอุณหภูมิโลกที่เปลี่ยนไปในแต่ละวัน...ดังนั้นในทุกจุดของโรงเรียนจึงเต็มไปด้วยเครื่องวัดอุณหภูมิของเด็ก ๆ ..ซึ่งไม่เว้นแต่หน้าห้องพักครูองอาจ....่ ....

ครูองอาจ : สวัสดีครับพี่ ป.5 เมื่อเช้าคุณครูออกมาหน้าห้องพักเห็นเทอร์โมมิเตอร์ชั้นไหน...ก้ไม่รู้เอาไปติดไว้หน้าห้องคุณครูครับ

เอิร์ท :...ของ ป.5 นี่แหละครับ

ปุ๊ก : เรากำลังเรียนโครงงาน โลกร้อนครับ ..ก็เลยอยากจะรู้ว่าอุณหภูมิโลกเปลี่ยนแปลงยังไงในแต่ละวัน

ครูองอาจ : อ๋อ..เหรอครับ..ที่แรกคุณครูเปิดห้องมา..ตกใจครับเด็ก ๆ นึกว่า ลุงซานตาคอรสให้ของผิดอัน... เพราะที่ครูขอไว้นะเป็นหนังสือเล่มใหม่ คนบนต้นไม้ ของนักเขียนชื่อดังครับ..(เล่นมุขกับเด็ก ๆ ).

ปุ๊ก : อ้าว..ครูโตแล้วยังขอของขวัญจากลุงซานตาคลอสอีกเหรอครับ


ครูองอาจ : หือ....เพิ่ง 18 เองครับ

........หลายคนรีบแย้งทันที.............

เด้ก ๆ :...ไม่เชื่อ....ไม่เชื่อ...(พร้อมกับโบกมือ ส่ายหน้า)..

ครูองอาจ : ...แฮ่..แฮ่...เมื่อ 10 ปีที่แล้วครับ....(เด้ก ๆ หัวเราะชอบใจ)..
เออ..ว่าแต่เด็ก ๆ วัดอุณหภูมิหน่วยเป็นอะไรเหรอครับ..(เริ่มโยงเข้าสู่บทเรียน)..

เอิร์ท : องศาเซลเซียสครับ

ครูองอาจ : เหรอครับ...เอ...องศาเซลเซียส น้ำเดือดกี่องศานาา

ปุ๊ก : ..100 องศาเซลเซียส ครับ

ครูองอาจ : อืม..แล้ว เป็นน้ำแข็งที่กี่องศานาา
เจมส์ : 0 องศาเซลเซียส ครับ

ครูองอาจ : โอ้.... พี่ป.5 นี่เก่งเน้อ..รู้จริงซะด้วยซิ...แต่วันนี้คุณครูมีหน่วยวัดอุณหภูมิแบบใหม่มานำเสนอครับ...(เริ่มโยงเข้าสู่บทเรียน)...


........หลายคนทำท่าทางสนใจ............

เอิร์ท :
เป็นยังไงครับครู


ครูองอาจ : องศาโรเมอร์ เป็นหน่วยวัดอุณหภูมิแบบใหม่ที่ ศาสตราจารย์ ดร.องอาจ คิดขึ้นมา..(หลายคนหัวเราะเพราะรู้ว่า มันเป็นมุข)..

ฟังให้ดีนะครับ

ในการวัดแบบองศาเซลเซียสน้ำเดือดที่ 100 องศาเซลเซียส


และ จะเป็นน้ำแข็งที่ 0 องศาเซลเซียส

ส่วนการวัด
แบบ องศาโรเมอร์ น้ำเดือดที่ 90 องศาโรเมอร์


และ จะเป็นน้ำแข็งที่ 0 องศาโรเมอร์

อ.....แล้วถ้าอาหารสุกที่ 45 องศาเซลเซียส จะสุกที่กี่องศาโรเมอร์นาา



.......เดียวใช้วิธีออกแบบโมเดลแบบตาราง.............

.......ปุ๊กใช้วิธีออกแบบโมเดลแบบบัญญัตไตรยางศ์.........

...
.เจมส์ใชวิธีการหักออก ลดลงตามอัตราส่วนที่เท่ากัน...

.....ทั้ง 3 วิธีเด็ก ๆ หาคำตอบได้หมดเลยครับท่านผู้อ่าน.............


ท่านผู้อ่านมีวิธีที่แปลกใหม่กว่าเด็ก ๆบ้างไหมครับ

ปริศนาพระราชา..........(ชั่วโมงสอนครูองอาจ)


........ นิทานเป็นนวัตกรรมการสอนที่ได้ผลดีในเด็กประถมศึกษา ...แต่เทคนิคการเล่าในเด้กเล็กและเด้กโตอาจจะต้องแตกต่างกันบ้าง...เพื่อที่จะได้ดึงดูดความสนใจของเด็ก ๆ ในแต่ละช่วงวัย........


ครูองอาจ : สวัสดีครับ พี่ ป.4 วันนี้ครูมีนิทานหรรษามาเล่าให้ฟังครับ

ต่อ : เรื่องอะไรเหรอครับ

ครูองอาจ : เรื่อง ดารารายเทวี ครับ


...... หา....หลายคนทำตาโต.....เอ๊ะ..นี่มันชื่อตัวละครในเรื่อง ธิดาวานร ที่พวกเราชอบ ในช่อง 7 สี นี่... เสียงแว่วมาจากบางคน....... หลายคนได้ยินเพื่อนพูดดังนั้น ก็เริ่มสนใจ......



ครูองอาจ : กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว...พระราชาเป่าประกาศหาเจ้าชายให้มาเป็นคู่กับพระธิดาของตน....แต่...ทุกคนที่สมัครมาจะต้องถูกลองปัญญาจากพระราชาเสียก่อน...ผู้ที่ฉลาดที่สุดเท่านั้นจึงจะได้เป็นคู่กับเจ้าหญิง


....... เด็ก ๆ ดูนิ่งตั้งใจฟัง.........

....พอพระราชาให้คำถามที่ 1 เจ้าชายทั้งหลายต่างฉงนงงงวยตอบไม่ได้เลย...จนปัญญาจริงจริ๊ง..แต่มีอยู่องค์เดียวเท่านั้นที่ตอบคำถามได้....
...... เด้ก ๆ หลายคนเริ่มอยากรู้ว่า..เอ๊ะ พระราชาถามคำถามอะไรนา.........

โอ๊ด : พระราชาถามว่าอะไรเหรอครับคุณครู


ครูองอาจ : อ้อ...พระราชาถามว่า " มีไม้ทรงกระบอกอยู่1 ชิ้น จะรู้ได้อย่างไรว่าข้างใดโคนข้างใดปลาย "

............เด็ก ๆ นิ่งเงียบ..ไม่มีเสียงตอบรับจากหมายเลขที่ท่านเรียก....

.....ครูองอาจเห็นเด็ก ๆ งง ....ไปต่อไม่ได้....เลยโยนคำถามเพื่อไกด์ให้ว่า....



ครูองอาจ : ทันใดนั้นเองเจ้าชายคนเก่งคิดได้ว่า.... " โอว..บางที่ น้ำ อาจช่วยเราได้ "

.... ตะวันครุ่นคิดสักครู่..ก่อนจะตอบว่า.........

ตะวัน : รู้แล้วครับ.....เราก็เอาเชือกผูกกึ่งกลางท่อนไม้....แล้วเอาหย่อนลงในน้ำ ข้างไหนจมข้างนันก็เป็นโคนครับ



.......ครูองอาจยิ้มให้กับตะวัน...และชื่นชมในความฉลาดของเขา.......

ครูองอาจ : เก่งมากครับตะวัน...ตอบเหมือนเจ้าชายเลย...แต่คำถามที่สองนี่ซิเล่นเอาเจ้าชายใช้เวลาคิดเสียนานเชียว...เกือบจนมุมเลยล่ะครับเด็ก ๆ

โอ๊ด : คำถามคืออะไรเหรอครับ...(โอ๊ดเริ่มสงสัยอยากรู้)..

ครูองอาจ : มีชาย 2 คน เป็นเจ้าของวัวและ โจร ชายคนที่ 1 บอกว่า วัวของตนกินฟางมาตลอด 3 วัน
ชายคนที่ 2 บอกว่า วัวของตนกินหญ้าสด ๆ ห่างหาก ..เอ๊ะแล้วเจ้าชายจะรู้ได้ไงนาว่าใครคือโจร ใครคือเจ้าของวัว

......เด็ก ๆ ครุ่นคิด พยายามจะแก้ปริศนาให้ได้...แต่คิดยังไงก้ยังงอยู่....ครูองอาจจึงโยนคำถามไกด์ให้อีกว่า...

ครูองอาจ : ปิ๊ง....ทันใดนั้นเอง....เจ้าชายคนเก่งก็คิดได้ว่า.... " บางที่ใบย่านางอาจช่วยเราได้"

.........นานสักพักหนึ่ง................


ต่อ :...(อมยิ้มก่อนจะพูดว่า).. ง่ายนิดดียวแค่เราให้วัวกินใบย่านาง..วัวก็จะอาเจียนออกมาเราก็จะรู้ว่าวัวกินอะไร..และก็จะรู้ว่าใครคือเจ้าของวัว


..........อ๋อ...หลายคนพยักหน้าหงึกหงักแสดงอาการเข้าใจ............


ปุ๋มปิ๋ม : เอ้า...แล้วถ้าวัวไม่ยอมกินตัวเองจะทำอย่างไร

ต่อ : เออ....ก็...อ๋อ...บดผสมน้ำให้วัวกิน..หรือถ้าวัวไม่กิน..ก็จับกรอกปากเลย..(ฮ่ะ ฮ่ะ..เพื่อนๆ หัวเราะฮาในวิธีการแปลกๆ ที่ต่อคิด)..

ครูองอาจ : OK ครับเด็ก ๆ คำถามอื่นเจ้าชายตอบได้หมด เหลืออยู่คำถามเดียวนี่แหละที่ยังคิดไม่ออก...ซึ่งไม่รู้จะทำอย่างไรดี

ต่อ : คำถามเป็นยังไงครับครู

ครูองอาจ : มีกระดานไม้อัดรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส 1 แผ่น ยาวด้านละ 120 เซนติเมตร

แต่พระราชาต้องการให้เจ้าชายตัดเป็น 2 ส่วนเท่า ๆ กัน เพื่อมาต่อกันทำเตียงนอนให้เจ้าหญิง

เป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า กว้าง 90 เซนติเมตร ยาว 160 เซนติเมตร...เจ้าชายจะทำอย่างไรดี


.........คิดหนักเลยครับ.....ลองออกแบบ Model แล้วก็แล้ว ...นับนิ้วแล้วก็แล้ว .... ปรึกษากันแล้วก้แล้ว..เด็กๆก็ยังไม่ได้คำตอบซักที...แต่เห็นแก่เจ้าชายแล้ว..ถ้าคิดไม่ออกเด็ก ๆจะไม่ยอมออกไปเล่นเลย....วันนี้จะขอสู้เพื่อเจ้าชาย...



คุณผู้อ่านช่วยเจ้าชายและเด็ก ๆ ด้วยนะครับ

21 พ.ย. 2552

ลูกบอลประหลาด.......(ชั่วโมงสอนครุองอาจ)








......เมื่อสัปดาห์ที่แล้วโรงเรียนจัดงานกีฬาสี....เมื่อเสร็จสิ้นงานกีฬา..ใครๆ ก็คุยกันถึงถึงผลการแข่งขันกีฬาที่ผ่านมา...โดยเฉพาะฟุตบอลชายรอบชิงชนะเลิศแล้วด้วย.....ติดปากทุกคนก็ว่าได้......


ครูองอาจ : สวัสดีครับพี่ม.1 คุยอะไรกันอยู่เหรอครับ

เน : คุยเรื่องกีฬาสีครับ...ฟุตบอลชายสีฟ้านะ..ถ้าผมไม่เจ็บขา...สีแดงไม่มีทางชนะหรอกครับ..(คนเจ็บขาจึงไม่ได้ลง)..


ท็อป : ครึ่งแรกยังเสมอกันอยู่เลยครับครู....แต่ครึ่งหลังกองหลังสีฟ้าพลาดนิดเดียว กองหน้าสีแดงเลยเข้าไปยิงได้


........ ครูองอาจตั้งใจฟังเด็ก ๆ เล่า อย่างตั้งใจ..........


จอห์น : ที่จริง..เค้า...จับได้แล้วนะ..แต่ลูกบอลมันลื่น ๆ ยังไงไม่รู้เลยหลุดเข้าประตูไปเลย...(จอห์นเป็นประตูให้สีฟ้า)...


........ครูองอาจเห็นนักกีฬาทีมสีฟ้าค่อนข้างซีเรียส..เลยพูดตัดบทว่า....



ครูองอาจ : ที่จริงแล้ว...เราเล่นกีฬาเพื่อให้ร่างกายแข็งแรง..เพื่อให้เกิดความสนุกสนานกับหมูพวกเพื่อนฝูง....ส่วนผลของมันจะออกมาอย่างไรนั้น....คุณครูคิดว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยไม่ควรใส่ใจ....หรือ เด็ก ๆ มีความคิดเห็นเป็นอย่างไรครับ


........หลายคนนั่งนิ่ง....พิจารณาตามสิ่งที่ครูองอาจพูด....


จอห์น : ...(มีสีหน้าดีขึ้น)..ครับ...ผมก็คิดอย่างนั้นแหละครับ

........ที่จริงแล้วตามแนวทางโรงเรียน จะไม่เน้นการแข่งกันเพื่อให้เกิดการเปรียบเทียบว่าใครเก่งกว่า อ่อนกว่า .... กิจกรรมที่จัดขึ้นจะเป็นลักษณะประชันมากกว่าแข่งขัน... คือให้ทุกคนได้แสดงความสามารถและนำเสนอผลงานของตน .......เรื่องแพ้-ชนะ จะไม่ใช่เรื่องที่ทุกคนให้ความสนใจเท่าใดนัก

.
ครูองอาจ : ฟังเด้ก ๆ คุยเรื่องฟุตบอลก็สนุกสนานดีนะครับ ...พลัน....ก็ทำให้ครูคิดถึงลูกบอลประหลาดลูกหนึ่งขึนมา...แปล๊ก แปลก....

......ครูองอาจเริ่มดึงดูดความสนใจ เพื่อโยงเข้าสู่บทเรียน...เด้ก ๆ สนใจ..และนิ่งฟัง.....

จอห์น : เอออ...ประหลาดยังไงครับครู

ครูองอาจ : มีลูกบอลอยู่ลูกหนึ่ง เมื่อโยนจากที่สูงหล่นลงพื้น

จะกระดอนขึ้นมาสูง 2 ใน 3 ของความสูงครั้งก่อน ถ้าลูกบอล

ถูกโยนชั้นที่สูงสุดของตึก เมื่อหล่นลงพื้นก
ระดอนครั้งที่ 4

ลูกบอลกสูง 16 เมตร เอ....แล้วเริ่มแรกลูกบอลอยู่สูงจากพื้นเท่าไรนาา



.....หลายคนเริ่ม ออกแบบ Model ลงในกระดาษทดตามวิธีที่ตนเองถนัด.....



ครูองอาจ : เอ้า ..ใครได้ยังไง....มานำเสนอครูและเพื่อน ๆ นะครับ



คุณผู้อ่านมีความคิดเห็นเป็นอย่างไรครับ




ยำตำแหลก............(ชั่วโมงสอนครูองอาจ)





.........แซบ...แซบ..แซบ...ทั้งเผ็ดทั้งแสบ...แซบเข้าถึงทรวง....(ซ้ำ)

.........ตำไทย ตำลาว หายห่าง......(ซ้ำ)

.........สูต
ของยายดวงรสแซบ.....อีหลี..........

เสียงเพลงสร้างแรงบันดาลใจของครูตุ๊กตาเพื่อให้นักเรียนมีฉันทะในการเรียนโครงงานอาหารบ้านเฮาดังแว่วมาแต่ไกล

ครูองอาจ : สวัสดีครับพี่ ป.3....เอ..เมื่อซักครู่นี้..เสียงเพลงพื้นถิ่น...ดังมาจากห้องไหนนาา


ใบเตย : ห้องป.3 นี่แหละค่ะ...ก็พวกเรากำลังนำเสนอส้มตำรสเด็ดอยู่นี่ค่ะ.


ครูองอาจ : ...ว้าว...แล้วแต่ละกลุ่มมีสูตรยังไงบ้างละครับ

ฝ้าย :
กลุ่มหนู....ตำส้มตำทะเลค่ะ


เจษ : กลุ่มผม....ตำหอยดองครับ

ทิพย์ : กลุ่มหนู....ตำมาม่าค่ะ

....คิง.ทำท่ากะอัดกะอ่วนก่อนที่จะพูดว่า

คิง : กลุ่มผม....เออ....ตำกะปอมครับ

ครูองอาจ : ตำกะปอม!!...(เกิดมาเพิ่งเคยได้ยินครับท่านผู้อ่าน)..

คิง : ครับ..ก็..พวกผมทำกินเป็นประจำที่บ้านครับ

ครูองอาจ : เหรอครับ..(พยักหน้าทำท่าพยายามเข้าใจคิง)..แล้วกลุ่มที่เหลือตำอะไรล่ะครับ


ใบเตย : ...พวกหนูเรียกมันว่า...ยำตำแหลกค่ะ...เพราะว่าใส่ผลไม้เกือบทุกชนิดเลยค่ะ..มะม่วง..กล้วย...มะขาม..มะยม...ส้มโอ...องุ่น...และอีกมากมายค่ะ



..เอื๊อก ..เสียงน้ำลายครูองอาจไหล..ฟังเด็ก ๆ บรรยายแล้วอยากจะกินแล้วแหละครับ....


ครูองอาจ : ยังไงตำเสร็จ..ขอชิมหน่อยนะครับ

เด้ก ๆ : ได้ครับ...(รับปากอย่างว่าง่าย)...


..............ว่าแล้วครูองอาจก็เริ่มโยงเข้าสู่บทเรียนซะที.........................


ครูองอาจ : ได้ฟังไอเดียส้มตำเด็ก ๆ แล้วเก่งกันทั้งนั้นเลย.....แต่วันนี้คุณครูมีเมนูส้มตำที่แปลกกว่ามานำเสนอครับ


.........หา...ทุกคนทำตาลุกวาว และตั้งใจฟัง เพราะเขาคิดว่าอาจได้ไอเดียดี ๆ จากครูองอาจก็ได้........


เจษ : เมนูอะไรครับ

ครูองอาจ : ตำขนมปัง

ใบเตย : อะไรนะคะ!! ...(ใบเตยอุทานเพราะคิดว่าสิ่งที่ได้ยินอาจจะผิดเพี้ยน)...

ครูองอาจ : ตำขนมปังครับ...ชื่อเต็ม ๆ คือ ตำขนมปังชาววัง

เจษ : ...(ทำหน้างง ก่อนจะถามว่า)...ทำยังไงครับครู


ครูองอาจ : ฟังให้ดีนะครับ....สมัยเมื่อครูอยู่ในวัง..(ครูองอาจเล่นมุข..ทำน้ำเสียงขี้เล่น..เด้ก ๆ หลายคนเริ่มอมยิ้มให้กับลีลาประกอบการเล่าของครูองอาจ)...ท่านย่าได้สอนวิธีตำขนมปังชาววังดังนี้


1. ใส่เครื่องเหมือนตำไทยทั่วไปนั่นแหละครับ

2. เปลี่ยนจากเส้นมะละกอเป็น ขนมปัง แต่ ขนมปังที่จะใช้ตำ ต้องมีรูปร่างเหมือนกับรูปข้างล่างนี้เท่านั้น... และต้อง



แบ่งขนมปังเป็น 4 ส่วนเท่า ๆ กัน ด้วย ก่อนใส่ลงไปในครก แล้วค่อยตำ จึงจะถูกต้องตามต้นตำรับชาววัง


เอ้าเด็ก ๆ และท่านผู้อ่านอยากกินไหม...อยากกินลองแบ่งดูคร๊าฟ