10 พ.ย. 2552

หัวดีแต่ขี้เกียจ 4



ตอน...จุดเริ่มของคำสั่งสวรรค์
วันเวลาก็ค่อย ๆ ผ่านไป เธอก็ดำเนินชีวิตไปตามปกติพร้อมกับติดตามข่าวการสอบบรรจุ แล้ววันหนึ่งเธอก็ได้รับโทรศัพท์จากผู้ใหญ่ใจดีท่านหนึ่งที่เธอเคารพมาก ถ้าว่างเข้ามารับเอกสารสำคับหน่อยนะ พอได้ฟังคำบัญชามาแบบนี้ไฉนเลยเธอจะกล้าขัด พอไปรับเอกสารก่อนจะลากลับ ผู้ใหญ่ท่านนั้นยังบอกอีกว่า อย่าลืมสมัครไปหละ เพราะฉันว่ามันเหมือนเธอนะ พอฟังแล้วก็งง ได้แต่ถามตัวเองในใจว่ามันเหมือนเราตรงไหน พอกลับถึงบ้านก็นั่งอ่านเอกสารแบบไม่ค่อยใส่ใจเท่าไหร่ เพราะคิดว่าเป็นโรงเรียนเอกชน คงจะไม่แตกต่างอะไรกับโรงเรียนเอกชนที่เราทำอยู่ปัจจุบัน แล้วกระดาษแผ่นนั้นก็ถูกว่างทิ้งไว้ข้างที่นอน จนลืมไปเลยว่ามันเคยเข้ามาในชีวิต เวลาผ่านไปอีกไม่นาน โทรศัพท์ก็ดังขึ้น พอรับสายและได้ยินเสียงของปลายสารที่พูดมาก็รู้ทันทีว่าใคร สมัครไปหรือยัง เป็นคำทักทายแรกที่ผู้โทรมาเอ่ยขึ้น ยังค่ะ ตอบออกไปแบบไม่ค่อยมั่นใจ พรุ่งนี้ส่งใบสมัครไปทันทีเลยนะ อย่าช้าเดี๋ยวจะเสียโอกาส แค่นี้นะ สิ้นเสียงปลายสาย ก็ยิงทำให้งง ทำไมจึงอยากให้เราสมัครจังเลยโรงเรียนนี้ มันน่าสนใจตรงไหน ในที่สุดเอกสารแผ่นนั้นก็ถูกหยิบขึ้นมาอ่านอย่างพิถีพิถัน ค่อย ๆ อ่านและค่อย ๆ ทำความเข้าใจ และในที่สุดก็เริ่มเข้าใจแล้วว่า ทำไมจึงบอกว่าเหมือนเรา เพราะโรงเรียนที่จะสมัครไปยังไม่มีอะไรเลย ไม่มีอาคารเรียน ไม่มีเด็ก ไม่มีครู และยังไม่เปิดเรียน มันท่าทายนี้เอง ที่ทำให้ผู้ใหญ่ใจดีบอกว่ามันเหมือนเรา วันรุ่งขึ้นก็จัดการส่งใบสมัครไปตามคำสั่ง แล้วชีวิตก็ดำเนินไปตามปกติ จนกระทั้งวันหนึ่งได้รับโทรศัพท์จากหมายเลขที่ไม่คุ้น ปลายสายที่พูดจากการประเมินน้ำเสียงคงเป็นคนที่อบอุ่นและใจดีแน่ ๆ เลย แต่ก็ยังแฝงไว้ด้วยอำนาจและความจิงจัง เขาโทรมาแจ้งว่าจากการที่เราส่งใบสมัครครูมา ได้รับแล้วและนัดให้ ไปสอบสัมภาษณ์ตามวันและเวลา สถานที่คือ เขาแจ้งทุกอย่างมาเสร็จสรรพ แล้วก็วางสายไป เราก็รู้สึกตื่นเต้น และนึกในใจ โอ้โฮ้ สมัครไปจนลืม ไม่คิดว่าเขาจะโทรมา เมื่อถึงวันเดินทางไปสัมภาษณ์ก็ออกเดินทางแต่เช้า เพราะที่นัดหมายค่อนข้างไกล อีกอย่างเป็นที่ที่เราไม่เคยไปและไม่รู้จักด้วย พอไปถึง(จากการถามทาง) ก็ได้พบกับผู้หญิงวัยกลางคน ท่าทางใจดี สวย แต่งตัวดี พูดจาไพเราะ รอรับลงทะเบียน จากการสังเกตแล้วเธอคงไม่ใช่คนแถวบ้านเราอย่างแน่นอน นั่งรอได้สักพักก็มีผู้องสัมภาษณ์คนหนึ่งเดินออกมาจากห้องที่ติดป้ายบอกว่า ห้องสัมภาษณ์ครู แล้วผู้หญิงสวยใจดีก็เรียนชื่อเราพร้อมกับบอกให้เราเข้าไปในห้องที่เพิ่มมีคนเดินออกมา เราก็คิดว่าห้องสัมภาษณ์คงจะไม่ใหญ่มาก และคนสัมภาษณ์คงไม่เยอะ พอก้าวพ้นประตู้ห้องเข้าไป โอ้โฮ้ โลกนี้ช่างกว้างใหญ่เหลือเกิน แถมคนสัมภาษณ์มีตั้งสามคน (มารู้ทีหลังว่าจริง ๆ มีสี่คนแต่วันนั้นป่วยหนึ่งคน) ผู้สัมภาษณ์ก็เปิดฉากก่อนด้วยการยิ้มให้อย่างมีไมตรีจิต คงเพราะอยากให้เรารู้สึกผ่อนคลาย ไม่เครียด แล้วเขาก็เริ่มด้วยการให้เราแนะนำตนเองจากนั้นก็มีคำถามอีกเยอะแยะมากมาย ทั้งที่เกี่ยวกับสิ่งที่เรียนมาและไม่เกี่ยว สังเกตเห็นว่าจะมีแค่ผู้สัมภาษณ์สองในสามคนเท่านั้นที่ถามคำถาม ส่วนอีกท่านหนึ่งนั่งฟังและดูเฉย ๆ ไม่ยอมถามอะไร แต่ถึงเวลาที่ท่านจะถามท่านก็ถามว่า คุณชอบอ่านหนังสือไหม เราก็คิดในใจจะบอกความจริงหรือโกหกดี แล้วจิตฝ่ายดีก็มาสะกิดบอกว่า บอกตรง ๆ ไปเลยไม่ต้องกลัว ไม่ชอบอ่านค่ะ กรรมการนั่งเงียบ แล้วท่านหนึ่งก็ถามต่อ หนังสือพิมพ์หละอ่านบ้างไหม อ่านค่ะ แล้วข่าวอะไรที่ชอบอ่านมากที่สุด หยุดคิดนิดหนึ่งพร้อมกับหายใจเข้าลึก ๆ บอกดีหรือเปล่านะ ข่าวฆ่าตกรรมค่ะ พอดีอยากรู้ว่าทำไมคนจึงฆ่ากันได้และเราจะมีวิธีป้องกันตัวเองจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้อย่างไร จากนั้นก็ถูกตั้งคำถามอีกนิดหน่อย ผู้ใหญ่ใจดีทั้งสามยังอวยพรให้เราอีด้วย...โชคดีนะ ขอบคุณที่มา

พรรณทิพย์พา ทองมี :)

3 ความคิดเห็น:

  1. อ่านะ...
    เขาว่ากันว่า
    คนที่ชอบอ่านเรื่องฆ่าตกรรม คือ คนที่สนุกสนานเฮฮา....ภายนอก
    แต่ลึกๆ แล้วจริงจังกับชีวิตมากๆ

    ตอบลบ
  2. ใครสัมภาษณ์เนี่ย

    ตอบลบ