ตอน...หัวดีและขี้เกียจจริง
ตอนเป็นเด็กพ่อชอบพูดกอกหูเสมอว่า ลูกสาวพ่อคนนี้เป็นคนที่หัวดีแต่ขี้เกียจ ทุกครั้งที่ฟังก็ไม่รู้ว่าจะดีใจหรือเสียใจดี ฟังตอนแรกก็เหมือนกับจะว่าลูกตัวเองแต่คิดไปคิดมาก็เหมือนพ่อจะชมก็เลยสับสนเพราะตอนนั้นยังเด็กอยู่ บ่อยครั้งเวลาที่พ่อใช้ให้ทำงาน มอบหมายหน้าที่รับผิดชอบในบ้าน รวมถึงกฎเหล็กต่าง ๆ ที่พ่อตั้งขึ้นเพื่อห้ามไม่ให้ลูกสาวทำ ไม่เว้นแม้แต่เวลาเรียนหนังสือ ก็มักจะได้รับคำชมจากพ่อเสมอ “มันเป็นคนหัวดีแต่ขึ้นเกียจ” คำนี้ก็จะได้ยินบ่อยเสมอ เคยมีท่านผู้รู้กล่าวไว้ว่า “หากคนเราได้ยินหรือได้ฟังอะไรบ่อย ๆ ประมาณ 21 ครั้งเราจะไม่ลืมมันเลยตลอดชีวิต” และผู้รู้ยังเคยพูดไว้อีกว่า “หากพ่อแม่ ผู้ปกครองหรือครู ถ้าต้องการให้เด็กเป็นอย่างไรก็ให้พูดสิ่งนั้นให้เขาได้ยินได้ฟังบ่อย ๆ เช่น เป็นเด็กดี น่ารักจังเลย ลูก ๆ ก็จะเป็นคนดีเหมือนที่พ่อแม่พูด ตรงกันข้ามถ้าพ่อแม่หรือครูพูดในด้านลบ เช่น ทำไม่โง่เหมือนควายเลย ทำไม่เป็นคนที่ไม่น่ารัก “ ลูก ๆ ก็จะกลายเป็นคนที่ไม่น่ารัก คนโง่ ดังนั้นสิ่งที่พ่อพูดตอกย้ำเสมอว่า หัวดีแต่ขี้เกียจ จึงส่งผลให้ลูกสาวเชื่อสนิทใจเลยว่าจริงเหมือนที่พ่อพูดเลย เพราะเวลาเรียนหนังสือไม่ว่าจะเรียนชั้นประถมฯ มัธยม อุดมศึกษา เธอไม่เคยอ่านหนังสือเลย(หนังสือเรียน) อย่างหรูที่สุดก็คือคืนสุดท้ายก่อนสอบ อีกอย่างที่ยืนยันสิ่งที่พ่อพูดคือเธอจะสอบผ่านทุกครั้งแม้จะไม่ถึงขั้นว่าได้คะแนนสูงแต่เธอก็ผ่าน มันยิ่งสร้างความเชื่อมันให้เธอมากยิ่งขึ้นว่า ทำไมต้องเสียเวลาอ่านหนังสือด้วยในเมื่อฉันก็สอบผ่านทุกครั้ง บางคนอาจสงสัยแล้วเธอคนนี้เอาเวลาที่เหลือไปสนใจอะไร เพราะหนังสือก็ไม่ชอบอ่าน คนเราก็มีข้อดีบ้าง อย่างแรกแม้เธอจะไม่อ่านหนังสือเรียนแต่ก็ยังมีหนังสือที่เธอชอบอ่านอยู่ นั้นก็คือหนังสือพิมพ์และข่าวแรกที่เธอจะต้องอ่านคือข่าวอุบัติเหตุ หรือฆาตกรรม ไม่ใช่อ่านเอาไว้ไปฆ่าใครหรอก เธอเพียงแค่อยากรู้ว่าทำไม่คนเราจึงฆ่ากันได้ มันเกิดจากสาเหตุอะไรแล้วจะมีวิธีป้องกันตัวเองจากสิ่งที่เกิดขึ้นได้อย่างไรเท่านั้นเอง อย่างที่สองเอาตั้งแต่สมัยเป็นเด็กเลยก็แล้วกันเวลาที่เรียนเธอจะนั่งหน้าห้อง ตั้งใจฟังเวลาครูสอน เธอชอบร้องเพลง ชอบเต้น ชอบเล่นบทบาทสมมติโดยเฉพาะเล่นเป็นพระธิดาเหมือนในหนังจักรๆ วงศ์ๆ เล่นอะไรที่มันท้าทาย เช่น เป่าหนังยาง ดีดเม็ดมะขาม เม็ดมะค่าแต้ โยนเกิบ(ร้องเท้า) ดีดหนังยาง หมากเก็บ ไม้แจ้งขี้ช้าง เล่นไพ่ ปีนต้นไม้ หาอาหาร หากบ เขียด ปู ผลไม้ โอ้ย...เยอะแยะมากมาย ขอให้เป็นอะไรที่ได้ใช้แรง ได้ท้าทายความสามารถเธอจะชอบมาก เว้นอย่างเดียวคืออ่านหนังสือเรียน ถ้าเป็นปัจจุบันเราก็คงจะเรียกว่าเป็นเด็กที่มีทักษะชีวิตดีแม้จะเรียนไม่เก่งก็ตาม (จึงสงผลมาถึงเธอทุกวันนี้ เพราะเธอมักจะเขียนหนังสือผิด ตกหล่น ใช้คำไม่สละสลวย อ่านหนังสือจับใจความไม่ค่อยได้ ตัวหนังสือก็ใหญ่เบ้อเริ้มเทิ้มและอีกอย่างเธอไม่เคยเขียนบันทึกเลยตั้งแต่เกิดมา ยกเว้นเขียนเอาคะแนนจากครู) มีอีกเหตุการณ์ยืนยันว่าเธอไม่ชอบอ่านหนังสือเรียนเลยพอจบ ม.6 เด็กส่วนใหญ่ที่จะเรียนต่อระดับอุดมศึกษาก็จะพากันอ่านหนังสือแม้ว่าบางคนจะอยากอ่านเองหรืออ่านเพราะพ่อแม่บังคับก็ตามแต่เขาก็จะอ่านกัน แต่เธอคนนี้ยังคง Concept เดิมคือ “ไม่อ่าน” และผลสอบออกมาก็เป็นไปตามคาดหวังของทุกคนคือ มันสอบเอ็นไม่ติด ถามว่าตอนนั้นเธอเสียใจไหม ตอบได้ทันที่เลยว่าไม่เสียใจ และเท่าที่สังเกตอาการคนรอบข้างเขาก็เฉย ๆ ไม่มีท่าทีว่าจะเสียใจหรือผิดหวังเหมือนกัน อาจจะด้วยหลายสาเหตุคือหนึ่งพ่อแม่พี่น้องไม่มีใครคาดหวังและกดดันเวลาสอบ สองเธอผู้นี้มีเป้าหมายไว้ในใจที่ไม่มีใครรู้ นั้นคือเธอฝันอยากเป็นครูอนุบาลม๊ากมาก เธอมีความคิดว่าคณะที่เธอเลือกสาขาวิชาตอนสอบเอ็นทรานมันไม่บ่งบอกว่าเธอจะได้เป็นครูอนุบาลเลย เพราะเธอเลือกเอ็นสาขาวิทยาศาสตร์ จนมาถึงสนามสอบสุดท้ายที่เหลือให้สอบนั้นคือสถาบันราชภัฏ ซึ่งในสายตาคนในสังคมมักจะมองว่าสถาบันที่มีชื่อขึ้นต้นแบบนี้ (ราชภัฏ) นี้เป็นที่สำหรับคนที่สอบเอ็นไม่ติด ไม่มีที่เรียน แต่ใครจะไปรู้ว่าที่นี้เป็นที่ที่จะทำให้ฝันของเธอผู้นี้เป็นจริง เพราะที่นี้ชื่อเดิมคือ วิทยาลัยครู เป็นที่สำหรับผลิตคนที่จะเป็นครู เมื่อเขาประกาศรับสมัครนักศึกษาที่จะเข้าเรียน เธอก็รีบมาสมัคร (กลัวสมัครไม่ทันเดี๋ยวไม่มีที่เรียน) พอได้ใบสมัครมาสาขาแรกที่เธอมองหาเพื่อจะสมัครก็คือ สาขาวิชาการศึกษาปฐมวัย วันประกาศผลสอบก็เป็นไปตามคาดหมายนั้นคือ เธอสอบผ่านได้เข้าเรียนเป็นนักศึกษาสาขาวิชาการศึกษาปฐมวัย หลายคนอาจจะคิดว่าเธอได้มาเรียนในสิ่งที่ชอบและอยากเป็นแล้วเธอคงจะหันมาอ่านหนังสือมากขึ้น เปล่าเลยท่านคิดผิด เธอก็ยังคงเป็นเธอเช่นเดิม คือ “หัวดีแต่ขี้เกียจ” เธอยังคงเน้นทำกิจกรรมเช่นเคย ไม่ว่าจะให้ทำอะไรเธอจะออกหน้ารับก่อนคนอื่นเลย ส่วนใหญ่(จากที่ถามเพื่อน ๆ ด้วยกัน) สมัยที่เป็นน้องใหม่ปีหนึ่งสิ่งที่ทุกคนไม่ชอบที่สุดคือเวลาที่รุ่นพี่นัดให้เข้าคลาสเชีย เพราะนอกจากจะได้นั่งร้องเพลงแล้ว รุ่นพี่มักจะหาเรื่องมาแกล้งน้อง ๆ โดยเฉพาะน้องคนไหนที่หน้าตาดี หรือขี้อาย แต่สำหรับเธอคนนี้เธอกลับคิดสวนทาง คือทุกครั้งที่รุ่นพี่นัดเธอจะจดจ่อรอให้ถึงวันเวลาที่พี่นัดเร็ว ๆ วันไหนที่พี่นัดวันนั้นเธอจะเรียนไม่รู้เรื่องเลย เธอจึงถูกขนานนามว่าเป็นเด็กกิจกรรม เป็นเด็กอาจารย์(อาจารย์เรียกใช้งานบ่อย) ส่วนการเรียนก็พยุงตัวเองให้พอได้ผ่าน(จบด้วยเกียรตินิยม) พอเรียนจบก็ประกาศตัวเองเลยว่าข้านี้แหละคือครูอนุบาลมืออาชีพที่แท้จริง ทั้งที่ยังไม่ได้งานทำเลย
พรรณทิพย์พา ทองมี :)
อืมส์...
ตอบลบชีวิตอีกชีวิตหนึ่ง
ที่ต่างออกไป
ชีวิตบนโลกเหมือนๆกัน