22 ธ.ค. 2554

คนที่มีความฝัน - คนที่ล้มเหลว - คนที่ล้มเลิก

เรื่องของ 'มอนตี้'
    หลังเลิกเรียน เขาเข้าไปพบคุณครูและถามว่าทำไมเรียงความของเขาจึงได้ F ครูคำตอบว่า สิ่งที่เขาเขียนนั้นมันเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้
เด็กชายอายุ 16 ปี คนหนึ่งชื่อว่า มอนตี้ ซึ่งคุณครูสั่งให้เขียนเรียงความเรื่อง "โตขึ้นอยากเป็นอะไร" มอนตี้ก็เขียนบรรยายไป 7 หน้ากระดาษ ถึงความฝันของเขาที่จะเป็นเจ้าของคอกม้า พร้อมด้วยบ้านพื้นที่ 4,000 ตารางฟุต บนเนื้อที่ 200 เอเคอร์
เขาบรรยายพร้อมกับวาดแผนผังแสดงรายละเอียดไว้ทุก ๆ ส่วน แต่เมื่อเขานำไปส่งกลับได้คะแนน F และเรียกให้ไปพบหลังเลิกเรียน
หลังเลิกเรียน มอนตี้ ก็เข้าไปพบคุณครูและถามว่าทำไมเรียงความของเขาจึงได้ F ก็ได้รับคำตอบว่า สิ่งที่เขาเขียนนั้นมันเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เพราะมันต้องใช้เงินมากมายเกินกว่าฐานะของครอบครัวของมอนตี้ จะสามารถทำได้ แม้ว่ามอนตี้จะชี้แจงให้ฟังว่ามันเป็นแค่ความฝันของเขา แต่คุณครูไม่รับฟังและขอให้มอนตี้ไปเขียนเรียงความมาใหม่ โดยขอให้เขียนถึงเรื่องที่มันพอจะเป็นไปได้บ้างแล้วจะแก้คะแนนให้
มอนตี้ก็กลับบ้านและนำปัญหานี้ไปปรึกษากับพ่อของเขา ซึ่งพ่อของเขาก็ให้คำตอบว่า "เรื่องนี้พ่อคงช่วยอะไรลูกไม่ได้ มันขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของลูกเอง แต่พ่อมีความรู้สึกบางอย่างว่าการตัดสินใจของลูกครั้งนี้ จะเป็นสิ่งที่มีความสำคัญต่ออนาคตของลูกอย่างแน่นอน"
มอนตี้ ใคร่ครวญกับเรื่องนี้อยู่เป็นสัปดาห์ ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจได้ เขานำเรียงความเรื่องเดิมไปส่งคุณครูพร้อมกับพูดว่า "ให้คะแนน F กับผมก็แล้วกันผมจะรักษาความฝันของผมไว้"
มอนตี้เล่าเรื่องนี้ให้กับผู้มาเยือนเขาฟังพร้อมกล่าวว่า "ที่ผมเล่าเรื่องนี้ให้พวกคุณฟัง เพราะว่าขณะนี้มอนตี้กำลังนั่งอยู่หน้าเตาพิงในบ้าน พื้นที่ 4,000 ตารางฟุต ซึ่งตั้งอยู่กลางคอกม้าเนื้อที่ 200 เอเคอร์ และเรียงความ 7 หน้ากระดาษนั้น ได้ใส่กรอบเรียงอยู่เหนือเตาพิง"
และเขาได้เล่าต่อว่า "ที่ดีที่สุดของเรื่องนี้ก็คือ ในฤดูร้อนเมื่อสองปีที่แล้ว คุณครูคนเดิมพาเด็กนักเรียน 30 คน มาพักค้างแรมที่นี่เป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ ก่อนจากไปท่านพูดกับผมว่า มอนตี้ สมัยครูเป็นครูของเธอ
ครูคงเป็น นักขโมยความฝัน ครูเสียใจนะที่ครูได้ขโมยความฝันของเด็ก ๆ ไปตั้งมากมาย แต่ครูก็ดีใจที่เธอไม่ยอมให้ครูขโมยความฝันของเธอ"

  เรื่องราวของมอนตี้เป็นเรื่องราวที่ทำให้ผม มีความเชื่อและศรัทธาในความฝันของตัวเองเพิ่มขึ้น และรักที่จะมีความฝัน
ยิ่งได้อ่านรู้เรื่องราวของบุคคลที่สร้างแรงบันดาลใจให้คนหลาย 100,000,000 คน ทั่วโลก
เพราะว่าเขาทั้ง 11 คนนี้ พวกมีความฝันและพวกเขาเชื่อว่าทุกคนเคยแพ้ เชื่อว่าทุกคนเคยล้มเหลว แต่คนแพ้ไม่ใช่คนที่ล้มเหลว คนล้มเหลวคือ...คนที่ล้มเลิกต่างหาก

 -1-
ชายคนหนึ่งเพิ่งจะมาพูดได้ ตอนอายุ 4 ขวบ
ชายคนนั้น...เพิ่งจะมาอ่านหนังสือออกตอนอายุ 8 ขวบ
ชายคนนั้น...เคยถูกไล่ออกจากโรงเรียน
ชายคนนั้น...เคยถูกปฎิเสธจากโรงเรียนอาชีวะแห่งซูริค
ชายคนนั้น...เคยถูกอาจารย์ระบุว่า "สมองช้า! ไม่ชอบสังคมและล่องลอยอยู่ในความฝันอันโง่เขลาของตัวเองตลอดเวลา"
ชายคนนั้น...ชื่อ "อัลเบิร์ต ไอสไตน์" บิดาแห่งปรมาณู


-2-
ชายคนหนึ่งเคยถูกปฎิเสธจากโรงเรียนเตรียมทหารเวสต์พอยต์
ชายคนนั้น... ลองสมัครใหม่ดูอีกที
ชายคนนั้น...ถูกปฎิเสธอีกครั้ง
ชายคนนั้น...พยายามเป็นครั้งที่สาม
ชายคนนั้น...ได้รับอนุญาตให้เข้าเรียน
ชายคนนั้น...ได้เป็นทหารสมใจ
ชายคนนั้น...เข้าไปอยู่ในหน้าประวัติศาสตร์สงครามโลกครั้งที่ 2 ได้สำเร็จ
ชายคนนั้น...ชื่อ "นายพล ดักลาส แมคอาเธอร์" ผู้พิชิตแปซิฟิคแห่งสงครามโลกครั้งที่สอง















-3-
ชายกลุ่มหนึ่งเป็นนักดนตรี
ชายกลุ่มนั้น...เคยถูกปฎิเสธจากผุ้บริหารคนหนึ่งจากบริษัทเดคคาเรคคอร์ต้ง
ชายกลุ่มนั้น...ถูกปฎิเสธด้วยเหตุผลที่ว่า "เราไม่ชอบเสียงเพลงของพวกเขาและกลุ่มนักดนตรีที่เล่นกีตาร์กำลังจะหมดสมัยแล้ว"
ชายกลุ่มนั้น...มีนามว่า "เดอะ บีเทิลส์" สี่เต่าทองแห่งตำนาน









-4-
ชายคนหนึ่ง...เป็นนักกีฬา
ชายคนนั้น...เล่นบาสเกตบอลให้กับทีมโรงเรียนมัธยม
ชายคนนั้น...เคยถูกคัดออกจากทีมโรงเรียน ชายคนนั้น...ชื่อ
"ไมเคิล จอร์แดน" หนึ่งในนักกีฬาบาสเกตบอลที่ทำเงินมากที่สุดในโลก










-5-
ชายคนหนึ่ง...เป็นนักแต่งเพลงชาวเยอรมัน
ชายคนนั้น...สูญเสียความสามารถ ในการฟังลงเรื่อยๆ
ชายคนนั้น...หูหนวกสนิทเมื่อมีอายุได้ 46 ปี
ชายคนนั้น...ได้ใช้ช่วงเวลาบั้นปลายชีวิตประพันธ์เพลงที่ยอดเยี่ยมที่สุด
ชายคนนั้น...ชื่อ "ลุดวิก ฟาน บีโธเฟน" นักประพันธ์เพลงชื่อก้องโลก










-6-
ชายคนหนึ่งสอบตกประถม 6
ชายคนนั้น...เคยมีชีวิตที่พ่ายแพ้และล้มเหลวมา ตลอด
ชายคนนั้น...ล้วนทำประโยชน์ครั้งใหญ่ๆเมื่อเขากลายเป็นผู้สูงอายุ แล้ว
ชายคนนั้น...ได้เป็นนายกรัฐมนตรีอังกฤษเมื่ออายุ 62 ปี
ชายคนนั้น...ชื่อ "วินสตัน เชอร์ชิล" อดีตนายกรัฐมนตรีอังกฤษ










-7-
ชายคนหนึ่งเรียนปริญญาตรี
ชายคนนั้น...เคยถูกจัดให้เป็นแค่นักศึกษา ระดับกลางเท่านั้น
ชายคนนั้น...เคยสอบได้อันดับที่ 15 จากนักศึกษา 22 คนใน วิชาเคมี
ชายคนนั้น...ชื่อ "หลุยส์ ปาสเตอร์" ผู้ค้นพบวัคซีนในการรักษาโรคพิษสุนัขบ้า











-8-
ชายคนหนึ่งเป็นนักร้อง
ชายคนนั้น...เคยถูกผู้จัดการของ แกรนด์โอเลโอ เพรย์ไล่ออก
ชายคนนั้น...เคยโดนดูถูกว่า "แกมันไปไม่ถึงไหนเลยแกควร กลับไปขับรถบรรทุกมากกว่า"
ชายคนนั้น...ชื่อ "เอลวิส เพรสลีย์" ตำนานนักร้อง ผู้ที่มีท่าเต้นเป็นตำนาน











-9-
หญิงคนหนึ่งเป็นนางแบบผู้เปี่ยมไปด้วยความหวัง
หญิงคนนั้น...ทำงานให้ กับบริษัทบลูบุ๊คโมเดลลิ่งเอเจนซี่
หญิงคนนั้น...เคยโดนผู้อำนวยการบริษัท
บลูบุ๊คโมเดลลิ่งเอเจนซี่ดูถูกว่า
"เธอควรไปเรียนด้านเลขาฯหรือไม่ ก็แต่งงานเสียดีกว่า"
หญิงคนนั้น...ชื่อ "นอร์มา จีน เบเกอร์" หรือที่รู้จัก กันในนาม "มาริลีนมอนโร" นั่นเอง










-10-
ชายคนหนึ่ง หลงใหลวิชาการเงินอย่างมาก
ชายคนนั้น...ยื่นใบสมัครกับมหาวิทยาลัยธุรกิจฮาวาร์ดอันเลื่องชื่อ
ชายคนนั้น...ถูกปฎิเสธในเวลาต่อมา
ชายคนนั้น...ไม่ยอมแพ้ เดินหน้าเข้าศึกษาที่มหาวิทยาลัยธุรกิจ โคลัมเบีย
ชายคนนั้น...สำเร็จการศึกษา
ชายคนนั้น...ปัจจุบันมีสินทรัพย์ รวมกว่า 44,000 ล้านเหรียญสหรัฐจากเงินลงทุนเพียง 100 เหรียญสหรัฐ
ชายคนนั้น...ชื่อ "วอเรน บัฟเฟตต์" นักลงทุนอัจฉริยะอภิมหาเศรษฐีอันดับสองของโลก










-11-
ชายคนหนึ่ง หลงใหลในคอมพิวเตอร์อย่างมาก
ชายคนนั้น...ชอบหมกตัวกับคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานๆ
ชายคนนั้น...ถูกเพื่อนมองว่า "สกปรก - บ้าคอมพิวเตอร์"
ชายคนนั้น...เคยเสนอซอฟแวร์ระบบให้กับแอปเปิ้ลคอมพิวเตอร์
ชายคนนั้น...ถูกปฎิเสธอย่างไม่ใยดี
ชายคนนั้น...ปัจจุบัน คือ ผู้ให้การช่วยเหลือด้านเงินทุนกับแอปเปิ้ลคอมพิวเตอร์
ชายคนนั้น...เคยถูก IBM มองว่า "แค่เด็ก"
ชายคนนั้น...ปัจจุบันเป็นผู้นำบริษัทซอฟแวร์ ที่ทรงอิทธิพลมากที่สุดในโลก
ชายคนนั้น...ชื่อ วิลเลี่ยม เฮนรี่ เกตส์ ที่ สาม หรือที่รู้จักกันในนาม "บิลล์ เกตส์" ผู้ก่อตั้งไมโครซอฟต์ มหาเศรษฐี อันดับหนึ่งของโลก ผู้ถือครองสินทรัพย์กว่า 46,000 ล้านเหรียญ







16 ธ.ค. 2554

'ปัญญา' ไม่ใช่ 'ความรู้'

-7-
ในทางพระพุทธศาสนา ได้แบ่งปัญญญาออกเป็น 3 ประเภท คือ..
สุตมยปัญญา คือ ปัญญาได้จากการฟัง ฟังมากๆ ก็รอบรู้มากเกิดปัญญามาก
จินตามยปัญญา คือ ปัญญาได้จากการขบคิดตรึกตรองมากๆ ก็เกิดปัญญา
ภาวนามยปัญญา คือ ปัญญาที่เกิดจากการเพ่งภาวนาอบรมให้มีขึ้น

-8-
มีชายผู้หนึ่งโง่เขลาเบาปัญญา มิหนำซ้ำฐานะยากจน ทว่าอยู่มาวันหนึ่งด้วยโชควาสนาที่พอมีอยู่ ขณะที่ชายผู้นี้กำลังซ่อมแซมรั้วในสวนหลังบ้านซึ่งพังลงมาเพราะพายุฝน ได้บังเอิญขุดพบทองคำก้อนโตที่ฝังอยู่ริมรั้ว จนทำให้เขากลายเป็นเศรษฐีในชั่วข้ามคืน แต่ด้วยความที่รู้ว่าสติปัญญาของตนเองค่อนข้างทื่อทึบ จึงเกรงว่าอาจจะถูกผู้อื่นมาหลอกลวงเอาเงินทองไป เขาจึงนำเรื่องไปปรึกษากับอาจารย์เซน
อาจารย์เซนแนะนำว่า "ในเมื่อตอนนี้ท่านมีเงิน ส่วนผู้อื่นมีปัญญา เหตุใดไม่นำเงินของท่านไปแลกปัญญาจากผู้อื่นเล่า?"
ชายผู้เป็นเศรษฐีใหม่ผู้นี้ จึงได้พกพาคำแนะนำของอาจารย์เซน ไปหาพระที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้ฉลาดปราดเปรื่องทรงภูมิรู้ผู้หนึ่ง จากนั้นเอ่ยปากว่า "ท่านสามารถขายปัญญาของท่านให้กับข้าได้หรือไม่?"
พระรูปนั้นตอบว่า "ปัญญาของเรามีราคาแพงมาก"
ชายผู้โง่เขลาจึงรีบตอบว่า "ขอเพียงสามารถซื้อปัญญามาประดับสมอง แพงเท่าไหร่ข้าก็พร้อมยอมจ่าย"
เมื่อได้ฟังดังนั้น พระจึงกล่าวว่า "อันว่าปัญญานั้น คือเมื่อท่านประสบปัญหาใดก็ตาม อย่าใจเร็วด่วนได้รีบร้อนแก้ไข จงค่อยๆ เดินหน้า 3 ก้าว จากนั้นถอยหลัง 3 ก้าว ทำเช่นนี้กลับไป-มาให้ครบ 3 รอบ เมื่อนั้นปัญญาจะเกิดขึ้น"
เมื่อชายผู้โง่เขลาฟังจบก็ได้แต่รำพึงในใจว่า "ที่แท้ "ปัญญา" ง่ายดายถึงเพียงนี้จริงหรือ?" เขาเชื่อครึ่งมิเชื่อครึ่ง ใจหนึ่งเกรงว่าจะโดนพระหลอกลวงเงินทอง ส่วนพระรูปนั้น เมื่อมองตาของชายผู้โง่เขลา ก็ล่วงรู้ถึงจิตเจตนาของอีกฝ่าย จึงได้กล่าวว่า "ท่านยังไม่จำเป็นต้องเชื่อเราตอนนี้ จงกลับไปก่อน หากทบทวนดูแล้วคิดว่าปัญญาของเราไม่คุ้มกับเงินทองก็จงอย่าได้กลับมา แต่หากคิดว่าคุ้มค่าก็ค่อยนำเงินมามอบให้เรา"
เศรษฐีใหม่ผู้โง่เขลากลับถึงบ้านยามค่ำ มองเห็นผู้เป็นภรรยากำลังนอนอยู่กับคนอีกผู้หนึ่งบนเตียงของตน แต่ในความมืดสลัวไม่ทราบว่าเป็นใคร เมื่อเห็นดังนั้นเขาจึงบันดาลโทสะเพราะเข้าใจว่าภรรยานอกใจ ฉวยมีดพร้าหวังบั่นคอคนผู้นั้น แต่ยังไม่ทันได้ลงมือ พลันนึกถึงคำกล่าวของพระที่ขายปัญญาให้กับเขาเมื่อตอนกลางวัน จึงได้ก้าวเดินไปข้างหน้า 3 ก้าว จากนั้นถอยหลัง 3 ก้าว กลับไป-มา 3 รอบ พอดีกับที่บุคคลนิรนามที่นอนอยู่บนเตียงเดียวกับภรรยาของเขาตื่นขึ้นมา และร้องถามว่า "ลูกเอ๋ย ดึกดื่นป่านนี้ เจ้าเดินทำอะไรอยู่?"
เมื่อได้ยินเศรษฐีใหม่ผู้โง่เขลาจึงค่อยทราบว่า ที่แท้ผู้ที่นอนอยู่บนเตียงกับภรรยาของเขาก็คือมารดาบังเกิดเกล้าของเขาเอง ในใจจึงได้คิดว่า "หากข้าไม่ซื้อปัญญามาเมื่อกลางวัน วันนี้คงได้สังหารมารดาของตนเองเป็นแน่"
เช้าวันรุ่งขึ้นเศรษฐีใหม่จึงนำเงินค่าปัญญาไปถวายพระด้วยความยอมรับนับถือ

-9-
ปัญญาในแก่นของศาสนาพุทธคือปัญญาในการละความไม่รู้ไม่เข้าใจและละความยึดถือในรูปนามทั้งหลายทั้งปวงได้หมดสิ้น
ปัญญาสูงสุดในทางพระพุทธศาสนาท่านจึงเรียกว่า 'ปรมัตถ์ปัญญา'
มิใช่เป็นปัญญาที่เกิดจากการคิดไตร่ตรอง แต่เป็นการเกิดขึ้นด้วยกำลังของสมาธิจิตที่สมบูรณ์พร้อมแล้ว
เบื่อหน่ายเต็มที่ในรูปนามทั้งหลายแล้ว เห็นแล้วว่าอุปาทานในรูป-นามทั้งหลายทั้งปวงไม่มีตัวตนที่แท้จริงแต่อย่างใด กำลังของสายสัมพันธ์ความยึดมั่น ในรูปนามหมดลงเพราะเบื่อหน่ายเต็มที่ หมดกำลังที่จะยึดมั่นถือมั่นอีกต่อไป
อุปมาเหมือนกับคนที่ทำงานมาเหนื่อยเต็มที่ พอถึงบ้านหมดแรง อยากนอนอย่างเดียวแม้เสื้อผ้าก็ไม่ยอมถอด ทิ้งตัวลงนอนเลยไม่สนใจร่างกายใดๆทั้งสิ้นแล้วขอนอนอย่างเดียว เพราะความเหนื่อยเพลียเต็มที่นั่นเอง
ดังนั้นปัญญาที่แท้จริงจะเกิดขึ้นได้นักธรรมต้องพิจารณาในรูปนามให้เห็นว่าเป็น ของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่น่ายึดถือไม่มีตัวตนที่แท้จริง เมื่อพิจารณาบ่อยๆมากๆจนจิตเหนื่อยเบื่อในงานเต็มที่แล้วจิตจะปล่อยวางได้เองโดยที่ไม่ต้องอยากให้มันปล่อยวางแต่อย่างใด
นักธรรมท่านใดที่เอาแต่ความสงบของสมาธิจิต เอาแต่อารมณ์สุขของสมาธิย่อมหาความเหนื่อย ความเบื่อและความปล่อยวางแบบปรมัตถ์ต่อรูปนามไม่ได้ อุปมาเหมือนกับพนักงานมาทำงานแต่ไม่ยอมทำงานจริง มานั่งมองโน่นมองนี่สุขสบายไปวันๆ ใครๆถามก็บอกกล่าวว่าตนเองเบื่อแล้วเหนื่อยแล้วแต่ในความเป็นจริงความเหนื่อยความเบื่อในงาน(รูปนาม) ยังไม่ได้เกิดกับจิตตนเองเลย เพราะตนเองยังไม่ได้ทำงานจะเอาความเหนื่อยความเบื่อมาจากไหน
ท่านจึงสอนให้นักธรรมพิจารณาความเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
ของรูปและนามให้มาก เหนื่อย-พัก,เหนื่อย-พัก(สมาธิ-พิจารณา,สมาธิ-พิจารณา)ทำอยู่แบบนี้เมื่อจิตปุถุชนเบื่อเต็มที่หมดกำลังที่จะยึด ในรูปนามแล้วมันจะทิ้งในรูปนามเอง เห็นเองว่ารูปนามที่แท้จริงโดยปรมัตถ์มันเป็นอย่างไร อนัตตาของจริงมันเป็นอย่างไร

-10-
ศรีธนญชัย ขุนนางเจ้าปัญญา มีหน้าที่รับใช้ใกล้ชิดพระเจ้าเจษฎา พระเจ้าแผ่นดินสมัยอยุธยา มีภรรยาชื่อศรีนวล ดังที่ทราบกันดีว่าศรีธนญชัยเป็นคนที่ขึ้นชื่อในทางใช้
ปัญญาไปในทางไม่ค่อย ดี หาเงินหาทองได้ง่ายๆ แต่ก็หมดไปกับการพนัน
วันหนึ่งนางศรีนวลบ่นเข้าหู “ทั้งบ้านไม่มีข้าวสารจะกรอกหม้อ” ศรีธนญชัยหัวเราะแล้วสั่งบ่าวไพร่ถือถุงเงินเปล่าพากันเข้าวัง!
วันนั้นพระเจ้าเจษฎาประชุมสภาขุนนางเรื่องสำคัญ ถกกันเป็นนาน แต่ทุกปัญหาก็ผ่านไป
ทำท่าจะจบลงด้วยดีศรีธนญชัยได้ทีกราบทูลขอท้าพนันเดิมพันทายใจขุนนาง
“เจ้าจะมาเล่นมุกอะไรของเจ้าอีกเล่า” พระเจ้าเจษฎาดักคอ
“ไม่มีกติกาอะไรมาก พระเจ้าข้า” ศรีธนญชัยกราบทูล “ ข้าพเจ้าเพียงแต่จะขอทายใจ ถ้าขุนนางท่านใด บอกว่าไม่จริง กล้าเดิมพันเท่าไหร่ ข้าพเจ้ายินดีจะจ่ายให้เท่านั้นแต่ถ้าข้าพเจ้าทายถูก ก็ขอเดิมพันนั้นกลับบ้าน”
พระเจ้าเจษฎาไม่ทรงถือสาเห็นว่าขุนนางเครียดกับปัญหาการบ้านการเมืองมามาก น่าที่จะได้ผ่อนคลายกับศรีธนญชัยบ้างก็ทรงอนุญาต
พวกขุนนางไม่เชื่อว่าศรีธนญชัยจะทายใจตัวเองได้ถูกต้อง “มันไม่ใช่เทวดา จะมารู้ใจเราทุกคนได้ยังไง “ แล้วทุกคนควักเดิมพันกองตรงหน้า ใครมีเงินทองมาน้อยก็ขอหยิบยืมกัน เพราะเชื่อว่าเดิมพันงานนี้ ไม่มีเสีย มีแต่ได้กับได้ กองเงินเดิมพันมากพอ ศรีธนญชัยก็เริ่มเกมทายใจ
“ผมเชื่อทุกท่านที่รับราชการสนองพระเดชพระคุณ มีความจงรักภักดีต่อสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทุกคนพร้อมทุ่มเทแรงกายแรงใจและสติปัญญา รับราชการให้สมกับที่ทรงชุบเลี้ยงพระราชทานเบี้ยหวัดเงินตรา เพราะฉะนั้นทุกท่านในที่นี้จึงไม่มีใครคิดทรยศ กบฏต่อแผ่นดิน”
เกริ่นนำท่ามกลางความพิศวงงงวยของเหล่าขุนนางทั้งหลายแล้ว ศรีธนญชัยก็เข้าสู่เป้าหมาย
“ถ้า ท่านผู้ใดเห็นว่า ทุกคำที่ข้าพเจ้ากล่าวเป็นความจริงก็จงนิ่งเสียแต่ถ้าเห็นว่า ไม่ใช่ความจริง ก็ขอให้กราบทูลต่อเบื้องบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว”
เจอมุกนี้เข้าที่ประชุมขุนนางมีแต่ความเงียบ ไร้เสียงสำเนียงของผู้ใดกล้ากราบทูลว่าไม่จงรักภักดี
ถึงเวลานั้น ศรีธนญชัยเรียกบ่าวที่ถือถุงเงินเปล่าเข้าไปโกยเอาเงินเดิมพันใส่ถุงกลับบ้านไปให้นางศรีนวล

-11-
ดร.โฮเวิร์ด การ์ดเนอร์ (Howard Gardner) แห่งมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ประเทศสหรัฐอเมริกา ผู้ก่อตั้งทฤษฎีพหุปัญญา (Theory of Multiple Intelligences) ให้คำจำกัดความของคำว่า “ปัญญา” ไว้ดังนี้ “ปัญญา คือ ความสามารถที่จะค้นหาและแก้ปัญหาและสร้างผลผลิตที่มีคุณค่าเป็นที่ยอมรับใน สังคม”

-12-
มีชายสองคนมาจากหมู่บ้านเดียวกัน เข้ามารับใช้พระราชาในพระราชวังพร้อมๆ กัน คนหนึ่งได้เป็นมหาดเล็ก แต่อีกคนหนึ่งได้เป็นแค่นายแบบเกี๊ยว วันหนึ่งพระราชาทรงออกประพาสป่าโดยนั่งเไป เมื่อเดินทางมาถึงกลางทาง นายแบบเกี้ยวก็รู้สึกเหนื่อยมากและน้อยใจว่าทำไมตนต้องเป็นนายแบบกเกี้ยว จึงพูดด้วยเสียงประชดประชันว่า "คนเหมือนกันแต่ไม่เหมือนกัน" พูดแบบนี้ซ้ำไปซ้ำมาตลอดทาง
เมื่อเดินทางไปถึงจุดพัก พระราชาก็เรียกนายแบกเกี้ยวเข้าพบ
พระราชา "นายแบกเกี้ยวเจ้าลงไปดูที่ใต้ถุนซิว่ามีอะไรเกิดขึ้น"
นายแบกเกี้ยวรู้สึกดีใจมากที่พระราชาไว้วางพระทัยใช้ตัวเอง นายแบกเกี้ยวก็รีบวิ่งไปดู แล้วก็วิ่งกลับมาทูลว่า
นายแบกเกี้ยว "มีแมวกำลังออกลูกอยู่ พะยะค่ะ"
พระราชา "แล้วมีลูกแมวกี่ตัวล่ะ"
นายแบกเกี้ยวก็วิ่งลงไปดูใต้ถุน แล้วก็วิ่งกลับมาทูลว่า
นายแบกเกี้ยว "มี 7 ตัว พะยะค่ะ"
พระราชา "แล้วมีตัวผู้ ตัวเมีย กี่ตัวล่ะ"
นายแบกเกี้ยวก็วิ่งลงไปดูที่ใต้ถุนอีก แล้วก็วิ่งกลับมาทูลว่า
นายแบกเกี้ยว "มีตัวเมีย 3 ตัว และตัวผู้อีก 4 ตัว พะยะค่ะ"
พระราชา "แล้วมีสีอะไรบ้างล่ะ"
นายแบกเกี้ยววิ่งลงไปดูอีกครั้งด้วยความเหน็ดเหนื่อย แล้ววิ่งกลับมาทูลว่า
นายแบกเกี้ยว "มีสีดำ 5 ตัว และสีขาวอีก 2 ตัว พะยะค่ะ"
สักพักหนึ่งมหาดเล็กกลับมาจากการไปตักน้ำที่ลำธาร พระราชาจึกรับสั่งมหาดเล็กว่า
พระราชา "มหาดเล็ก เจ้าลงไปดูที่ใต้ถุนข้างล่างซิว่ามีอะไรเกิดขึ้น"
มหาดเล็กเิดินลงไปดูสักพักหนึ่ง แล้วกลับมาทูลพระราชาว่า
มหาดเล็ก "มีแมวออกลูกอยู่ พะยะค่ะ ลูกแมวน่ารักทุกตัวเลย มีทั้งหมด 7 ตัว มีตัวเมีย 3 ตัว และตัวผู้อีก 4 ตัว มีลูกแมวสีดำอยู่ 5 ตัว อีก 2 ตัวเป็นสีขาว ซึ่งสวยมาก พะยะค่ะ"
พระราชาก็หันไปพูดกับนายแบกเกี้ยวว่า
พระราชา "ทีนี้เจ้ารู้แล้วหรือยัง 'คนเหมือนกันแต่ไม่เหมือนกัน' เป็นยังไง!"