28 มิ.ย. 2553

เด็กชายมือขวา


เรื่องราวเล็กๆ ของ เด็กชายมือขวา หลายปีก่อนเด็กชายธรรมดาๆ คนหนึ่งอาศัยอยู่กับตา สองตาหลานใช้ชีวิตเหมือนคนปกติทั่วไป เหน่งเป็นเด็กบ้านนอกร่าเริงแจ่มใสสมวัย ชีวิตประจำวันของเหน่งนอกจากไปโรงเรียนส่วนใหญ่ก็อยู่กับท้องไร่ท้องนาตามประสาตาหลาน วันหนึ่งขณะที่เขาเล่นเลียนแบบเป็นซุปเปอร์แมนเอาผ้าขาวม้าของตามาผูกที่คอเป็นผ้าคลุม นั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ตาไปที่นา ชายผ้าขาวม้าของซุปเปอร์แมนก็ปลิวด้วยแรงลมรถวิ่ง ขณะที่รถชะลอความเร็วไม่ทันที่ตาหลานจะสังเกตเห็นชายผ้าขาวม้าที่พันเข้ากับวงล้อรถจักรยานยนต์ เหน่งเป็นคนที่รู้สึกตัวก่อน ด้วยสัญชาตญาณเด็กเหน่งเอื้อมมือซ้ายข้างเดียวกับที่พยามจะดึงผ้าออกจากล้อรถ ทันใดนั้นเองเเขนซ้ายของเหน่งก็ถูกดึงด้วยแรงเหวี่ยงหมุนเข้าไปในล้อรถ เสียงร้องของเหน่งดังขึ้นด้วยความเจ็บปวด แม้จะเป็นเวลาที่ชั่วขณะกว่าที่ตาจะจอดรถได้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก็ทำให้แขนซ้าย ของเหน่งบาดเจ็บสาหัสมากพอสมควร เด็กน้อยหมดสติ ตาประคองอุ้มหลานตัวน้อยที่ชุ่มไปด้วยเลือด เด็กน้อยถึงมือหมอทันเวลา ตายังคงอึ้งกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ยิ่งไปกว่านั้นหลังจากที่เข้ารับการรักษาช่วงเวลาเลวร้ายกว่าก็มาถึงแพทย์ลงความเห็นว่า เด็กน้อยต้องโดนตัดแขนซ้ายตั้งแต่บริเวณข้อศอกลงมาทิ้ง แต่นั่นคงไม่ยากเท่ากับจิตใจของตา จิตใจของเหน่งที่ต้องเสียแขนซ้ายไป แต่เพื่อรักษาชีวิตไว้เราทุกคนก็ต้องยอมรับ เหน่งฟื้นตื่นขึ้นมาจากฝันร้ายที่แสนเจ็บปวด แต่ก็ไม่เชิงนักเพราะตอนนี้เหน่งไม่มีแขนข้างที่เคยมี ผมจิตนาการไม่ออกเลยว่าถ้าเป็นผมจะรู้สึกอย่างไร และยิ่งกับเด็กตัวเล็กๆ ด้วยแล้ว ความเจ็บปวดต่อไปที่เกิดขึ้นทันทีกับตาของเหน่งและคุณครูคือจะตอบคำถามว่า แขนเหน่งหายไปไหน แล้วผมจะมีแขนไหม ความเจ็บปวดของเหน่งรอยแผลที่รอการเยียวยาด้วยยาขนานต่างๆ ตอนนี้ยังรวมไปถึง รอยแผลในใจที่เกิดขึ้นกับเหตุการณ์ครั้งนี้ ทำให้ความเศร้าความหม่นหมองเข้าครอบงำทั้งตัวเหน่งและคนรอบข้าง ทุกคนพยามช่วยกันเยียวยาให้เหน่งดีขึ้น ครูใหญ่และคณะครูไปเยี่ยมเหน่งที่โรงพยาบาล ประโยคหนึ่งที่เหน่งน้ำตาคลอเอ่ยถามกับครูใหญ่ "ครูใหญ่ครับ ครูใหญ่จะหาแขนใหม่ให้ผมใช่ไหมครับ" นั้นคือประโยคสุดท้ายที่ผมจำได้ตอนที่ครูใหญ่เล่าให้ฟังตอนที่ผมมาทำงานที่นี่ใหม่ๆ เรื่องราวของเด็กชายมือขวาเกิดขึ้นก่อนหน้าที่ผมจะมาทำงานที่นี่ตอนนั้นเหน่งอยู่ชั้นอนุบาล ปัจจุบันเหน่ง เรียนอยู่ชั้น ป.3 โรงเรียนลำปลายมาศพัฒนา เหน่งชอบร้องเพลง บางครั้งผมแอบเห็นเข้าตีกลองชุด ทั้งที่มีแขนข้างเดียวด้วยสายตาที่มุ่งมั่น ผมเห็นแววตาที่สดใสของเขาอีกครั้ง เเขนข้างซ้ายที่หายไปของเหน่งไม่ได้เป็นอุปสรรคกับความร่าเริงสนุกสนานของเหน่งเลย เหน่งชอบเตะฟุตบอลกับเพื่อนๆ เวลาวิ่งหรือเตะฟุตบอลเขาต้องใช้ ความพยายามมากกว่าคนอื่น ต้องทำตัวเอียงข้างหนึ่งเพื่อรักษาสมดุล ต้องทรงตัวไม่ให้ล้ม ผมแอบเห็นเขา ล้มแล้ว ล้มอีก แต่เขาก็ไม่เคยยอมแพ้ นั่นอาจเพราะแรงใจของทุกๆ คน คุณตาคุณครูเพื่อนๆ คนรอบข้างช่วยกันเสริมแรงให้มีวันนี้ เหน่งเป็นเด็กที่มีน้ำใจ ชอบช่วยเหลือเพื่อน ชอบอาสา บางครั้งก็อาสาไปรับนมของนักเรียนทั้งชั้นมาให้เพื่อนๆ ดื่ม (ตั้ง30 กล่อง)แม้จะมีแขนเพียงข้างเดียว แรกๆก็ทุลักทุเลน่าดู ถ้าหากคุณมาที่ โรงเรียนลำปลายมาศพัฒนา ถ้าคุณเจอเด็กชายมือขวา เขาคือหนึ่งในนักร้องนำตัวยงในวงดนตรีของโรงเรียน ที่เรียกเสียงกรี๊ดจากเพื่อนๆ ได้อย่างล้นหลาม ความสุขของเหน่งในวันนี้เหลือมากพอที่จะมอบให้กับทุกคน บางครั้งถ้าคุณเดินผ่านเขา ขณะที่เขากำลังผูกเชือกรองเท้าอยู่ คุณอาจจะได้ยิน คำว่า"ผู้ใหญ่ใจดีครับ ช่วยจับปลายเชือกรองเท้าอีกข้างหน่อยครับ ผมจะผูกเชือกรองเท้า พร้อมกับรอยยิ้ม" แล้วคุณจะหลงรักเด็กชายมือขวา

4 ความคิดเห็น:

  1. สิ่งที่สอนในโรงเรียนและมหาวิทยาลัยไม่ใช่การศึกษา แต่เป็นวิธีการศึกษา

    ตอบลบ
  2. ไม่ระบุชื่อ30 มิถุนายน, 2553 20:24

    บางสิ่งที่ควรสัมผัสแต่กลับไม่สัมผัส
    สิ่งที่ไม่แต่สัมผัสแล้วรู้สึกได้ รู้เขารู้เรา

    ตอบลบ
  3. มนุษย์ที่สมบูรณ์มาจากรากฐานทางจิตใจที่สมบูรณ์ การมีจิตที่ยิ่งใหญ่ย่อมช่วยให้ใจเราเบิกบาน

    ตอบลบ
  4. อืม...อิ่มกับเรื่องราวดีๆ ครับ.... แต่จะอิ่มมากยิ่งขึ้นหากคุณผู้อ่านได้มาสัมผัสกับชีวิตเด็ก ๆ ที่นี่ โรงเรียนนอกกะลา ครับ

    ตอบลบ