ก่อนเปิดภาคเรียนที่ 2 ของปีการศึกษา 2553
เริ่มต้นกิจกรรมของวันนี้ด้วย ครูใหญ่ได้เปิดคลิปวีดีโอเกี่ยวกับมหาตมะ คานที นักเดินทางผู้มีอุดมการณ์อันแน่วแน่ เพื่อต้องการเรียกร้องประชาธิปไตยกับคืนมาสู่ประเทศอินเดีย โดยวิธีอหิงสา
และตามมาด้วยหนังสั้นเรื่องเสียงกู่จากครูใหญ่ ซึ่งเป็นเรื่องราวกับครูใหญ่ผู้มีอุดมการณ์อันแน่วแน่เพื่อเข้ามาพัฒนาโรงเรียนเล็กๆ แห่งหนึ่ง ซึ่งสภาพของโรงเรียนเป็นโรงเรียนเล็กๆ แทบไม่มีอะไรเลย โรงเรียนแห่งนี้ขาดการเหลียวแลจากรัฐบาลในยุคนั้นของประเทศเกาหลี แต่ครูใหญ่ก็ไม่ย่อท้อกลับมานั่งครุ่นคิดอยู่ตลอดเวลาที่จะทำให้โรงเรียนแห่งนี้เป็นศูนย์กลางแห่งการเรียนรู้ของเด็กๆ และชาวบ้านที่อยู่ในหมู่บ้านระแวกนี้ ซึ่งทุกหลังคาบ้านมีฐานะจะค่อนข้างยากจนมาก ครูใหญ่เริ่มต้นด้วยการประชุมกับครูในโรงเรียนที่มีอยู่ด้วยกันทั้งสิ้น 2 คน โดยครูใหญ่และครูทั้ง 2 คน ได้เขียนข้อความว่า "การทำงานหนักเป็นดอกไม้ของชีวิต” ไปติดตามบ้านทุกๆ หลังคาและครูใหญ่ก็ได้เรียกประชุมชาวบ้านทุกๆ หลังคาในหมู่บ้านระแวกนั้น เพื่อที่จะอธิบายให้ชาวบ้านเข้าใจในแนวทางของครูใหญ่ที่จะพัฒนาโรงเรียนและจะขอความร่วมมือจากชาวบ้านมาสร้างโรงเรียนร่วมกันโดยไม่ต้องนั่งรองบประมาณจากรัฐบาล แต่ก็มีผู้ปกครองคนหนึ่งค้านและบอกกับครูใหญ่ว่า "พวกเราไม่จำเป็นต้องเรียนเลย ยังมีชีวิตอยู่ได้ หาเงินมาใช้ในครอบครัวได้เลย พวกเราไม่เห็นด้วยกับครูใหญ่หรอก” แล้วชาวบ้านทุกคนก็กลับบ้านกันหมด แต่ครูใหญ่ไม่ย้อท้อครูใหญ่เริ่มต้นจากการขนก้อนหินทีละก้อน มาเรียงเพื่อสร้างเป็นรั้วของโรงเรียน โดยที่มีเด็กนักเรียนคนหนึ่งมาแอบยืนดูการทำงานของครูใหญ่ วันแล้ววันเล่าครูใหญ่ทำไปเรื่อยๆ จนกระทั่งวันหนึ่งเด็กนักเรียนคนนั้นเห็นครูใหญ่ขนหินมาแล้วเกิดอุบัติเหตุ ครูใหญ่ตกเหวลงมาอาการสาหัส จึงเรียกครูอีก 2 คน มาช่วยกันนำตัวครูใหญ่ไปนอนพักรักษาที่บ้านพัก โดยระหว่างที่ครูใหญ่พักรักษาตัวที่บ้านครูใหญ่ฝันว่าโรงเรียนสร้างเสร็จแล้วและมีเด็กนักเรียนกำลังเล่นกีฬากันอยู่แล้วนักเรียนคนหนึ่งเกิดพลาดเกิดตกเหวทำให้ครูใหญ่สะดุ้งตื่น เมื่อฟื้นจากอาการบาดเจ็บ ครูใหญ่ก็รีบกลับไปทำงานต่อทันที แต่แล้วครูใหญ่ก็ตะลึงกับภาพที่เห็น เด็กน้อยคนที่แอบดูครูใหญ่ทุกกวันนั้นไปบอกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้พ่อแม่รับทราบแล้วชาวบ้านบอกกันต่อปากต่อปาก จนชาวบ้านเกิดรู้สึกสงสารครูใหญ่และคิดกันว่าครูใหญ่ท่านไม่ใช่คนที่เกิดในพื้นที่นี้ท่านยังมาสร้างให้ลูกของพวกเราเรียน ชาวบ้านก็เลยเกิดความเชื่อมั่นและศรัทธาในตัวครูใหญ่ จนร่วมกันสร้างโรงเรียนเสร็จในเวลาอันรวดเร็ว แล้วชาวบ้านก็เชื่อในสิ่งที่ครูใหญ่สั่งสอนทุกคนจนชาวบ้านทุกคนมีงานทำในหมูบ้าน หาเลี้ยงครอบครัวของตัวเองโดยไม่ต้องออกไปทำงานนอกหมู่บ้านไกลๆ ทำให้ชาวบ้านมีฐานะพออยู่พอกินกันทุกหลังคา จนกระทั่งเรื่องถึงประธานธิบดีที่ปกครองประเทศเกาหลี ทำให้ท่านประธานาบดีต้องเดินทางมามอบรางวัลให้กับครูใหญ่เป็นข้าราชการต้นแบบในสมัยนั้น และหนังเรื่องเสียงกู่จากครูใหญ่ก็เป็นหนังที่เปลี่ยนประเทศเกาหลีมาจนถึงปัจจุบัน
หลังจากนั้นครูใหญ่ก็ให้พวกเราดูรูปพี่โอ นักเรียนชั้น ป.6 พร้อมด้วยคุณแม่พี่โอที่มาเยี่ยมครูใหญ่พร้อมฝากฝังลูกชายกับคุณครูใหญ่พร้อมด้วยน้ำตาของแม่ที่เป็นห่วงลูกชาย จากนั้นครูใหญ่ก็ให้ครูแจ๋วเป็นคนดำเนินงานกิจกรรมของวันนี้ต่อ โดยครูแจ๋วเริ่มจากให้ครูแต่ละคนเล่าถึงประสบการณ์ที่ตัวครูเองได้สัมผัสกับความน่ารัก ความไร้เดียงสาจากเด็กๆ ที่คุณครูประทับใจและให้กำลังใจเพื่อนๆ ครูด้วยกันอย่างอบอุ่นกันทุกคน รวมถึงครูอ้นและอาจารย์นฤมลที่ร่วมรับฟังและร่วมแลกเลี่ยนประสบการณ์ ข้อเสนอแนะด้วยกันอย่างสุขใจ
จากนั้นครูใหญ่ก็ได้วาดภาพต้นไม้ขึ้นมาให้พวกเราทุกคนได้ดูและครูใหญ่อธิบายเป็นนัยว่า "ต้นไม้จะได้รับความงอกงามที่หลายหลากจากปลายยอด กิ่ง ใบ หรือผลของต้นไม้นั้นๆ ก็ได้หลากหลายวิธี ซึ่งครูแต่ละคนก็มีทักษะการใช้ชีวิตที่แตกต่างกัน การที่เด็กจะได้รับความรู้นั้นๆ หลายๆ ทางย้อมเขาถึงรากเหง้าของต้นไม้แต่ละต้นได้เร็วกว่า"
เวลาเที่ยงเราได้รับประทานอาหารแสนอร่อยเพื่อสุขภาพของเราทุกคน ครูอ้นและอาจารย์นฤมลเตรียมอาหารมาจากบ้านสวนระเมียรไม้ของครูอ้นมาให้ครูรับประทาน เมนูเพื่อสุขภาวะของครูในเที่ยงนี้ก็คือ "พระรามลงสรง"
ช่วงบ่ายโมงกว่าๆ เราร่วมกันคิดหาแนวทางพัฒนาเด็กพิเศษ 2 คน คือ วิวกับเนย เด็กที่มีอาการบกพร่องทางสมอง โดยครูใหญ่ได้เชิญให้ท่านอาจารย์นฤมลเล่าเรื่องเกี่ยวกับเพื่อนของอาจารย์ที่เป็นคุณหมอรักษาเด็กที่มีความบกพร่องทางสมองโดยตรง และครูอ้นท่านก็เปิดรูปภาพให้พวกเราดู เป็นภาพเกี่ยวกับแม่เฒ่าคนหนึ่งที่ท่านขายผักนานาๆ ชนิดที่ท่านหาเก็บเองไปขายที่ตัวจังหวัดบุรีรัมย์ ครูอ้นได้ติดตามถ่ายถาพวิถีของคุณยายท่านนี้ทั้งวัน คุณยายหาบผักใส่ตะกร้า 2 ใบใหญ่ๆ ขึ้นรถไฟไปขายผักที่ตลาด โดยถึงสถานีรถไฟบุรีรัมย์คุณยายก็เริ่มขายผักไปเรื่อยๆ โดยขายกำละ 2 บาท ถ้าซื้อ 3 กำ คุณยายขาย 5 บาท คุณยายท่านมาพร้อมกับหลานสาว แต่หลานสาวของคุณยายค่อนข้างจะอายในอาชีพของคุณยายหลานสาวจะยืนอยู่ห่างๆ ทุกครั้ง หลานต้องการเงินไปหาหมอที่คลีนิกคุณยายก็ควักเงินใบ 500 บาท ให้หลานไปจ่ายค่ารักษากับหมอโดยไม่เสียดายเงินที่ให้หลานไปแม้แต่น้อย ระหว่างเดินทางกลับครูอ้นจึงเดินไปกับคุณยายและหลานสาว ครูอ้นท่านเล่าให้หลานสาวคนนั้นฟังว่า "คุณยายท่านทำงานอันมีค่ามากๆ กับโลกของเรานี้ ท่านช่วยรักษาป่า เพราะป่าคือแหล่งอาหารหลักของคุณยาย ซึ่งแตกต่างจากคนร่ำรวยมากมายที่หาเงินมาได้มากมาย ซึ่งมีแต่ทำร้ายโลกเรา ซึ่งต่างจากคุณยาย อยากให้เราภูมิใจในอาชีพของคุณยาย”
ความคิดเห็นนี้ถูกผู้เขียนลบ
ตอบลบแม้เป็นงานที่มีผลตอบแทนน้อยแต่ก็มีความสุขที่ได้ทำ
ตอบลบเด็กๆโรงเรียนนี้ท่าทางเรียนรู้อย่างมีความสุขเพราะครูใจดี
ตอบลบเอาใจช่วยให้ทำงานได้สำเร็จตามเป้าหมายนะคะ..
งานเป็นบทเรียนที่มีค่าของชีวิต ที่ต้องหาได้โดยประสบการณ์
ตอบลบ