25 พ.ย. 2553

เกี่ยวข้าว ' 53

บ่ายโมงของวันที่ 18 พฤศจิกายน 2553
ชาวลำปลายมาศพัฒนา ร่วมแรงลงแขกเกี่ยวข้าวร่วมกัน

     ทุกๆ ปีนักเรียน ผู้ปกครองและบุคลากรที่โรงเรียนลำปลายมาศพัฒนาแห่งนี้เราจะมีกิจกรรมดำนาและเกี่วข้าวร่วมกันทุกๆ ปีตามวิถีชนบทอีสานบ้านเฮา ทุกคนต่างให้ความสำคัญกับทุกๆ กิจกรรมของโรงเรียนเป็นอย่างดียิ่งและทุกๆ ครั้งผู้ปกครองหลายๆ ท่านก็นำญาติมิตรมาร่วมกิจกรรม ซึ่งได้เกิดการแลกเปลี่ยนและเรียนรู้ไปพร้อมๆ กัน..

 
ขอบคุณคลิป VDO จากครูอ้อน

ประมวลภาพเกี่ยวข้าว ประจำปีการศึกษา 2553
โรงเรียนลำปลายมาศพัฒนา จ.บุรีรัมย์

ร่วมเรงแข็งขัน สมัครสมาน สามัคคี
พี่ๆ ป.6 ช่วยเกี่ยวข้าวปีที่ 8 ของลำปลายมาศพัฒนา
เพื่อนช่วยเพื่อน

ผู้ปกครองร่วมด้วย ช่วยเหลือกิจกรรมของโรงเรียน

นักเรียน สุขใจ คุณพ่อ คุณแม่ มาช่วยกัน

ผู้ปกครองใจดี มีไอติมมาฝากเด็กๆ ทุกๆ กิจกรรม
พี่ๆ อาสานำพาน้ำมาให้ทุกคนที่เกี่ยวข้าวดื่มทั่วกัน

อีกฝั่งของท้องทุ่งนา ก็มีผู้ปกครองใจดีมีไอติมมาฝากอีกเช่นเคย
คุณครูอ้นและอาจารย์นฤมล ก็มาร่วมด้วยช่วยพวกเราเกี่ยวข้าว

แยกย้ายกลับห้องเรียนเตรียมแข่งขันกีฬาสีช่วงเย็นก่อนกลับบ้าน..

20 พ.ย. 2553

Mind Mapping สรุปคณิตศาสตร์ Quarter 1...

"สิ้นสุด Quarter ที่ 1"

     โรงเรียนลำปลายมาศพัฒนาเรามีการเรียนการสอนภาคเรียนละ 2 Quarter ฉะนั้นใน 1 ปีการศึกษาของทุกๆ ปี โรงเรียนลำปลายมาศพัฒนามีทั้งหมด 4 Quarter เราจัดการเรียนการสอนตามที่กระทรวงกำหนดให้มีชั่วโมงเวลาเรียนไม่ต่ำกว่า 200 ชั่วโมง ซึ่งก็เป็นไปตามระยะเวลาที่กำหนดพอดีหรือบางปีอาจจะเกิน
     เราแบ่งการเรียนการสอนเป็น 4 Quarter ทำให้มีเวลาพักได้เตรียมตัว เตรียมกิจกรรมการเรียนการสอนสำหรับนักเรียนอย่างเต็มที่ ในช่วงที่สิ้นสุด Quarter ของทุกๆครั้ง ครูทุกคนในโรงเรียนลำปลายมาศพัฒนาเราจะมาร่วมประชุมหารือกัน เพื่อช่วยกันการพัฒนาการเรียนการสอนกันทุกๆ Quarter ซึ่งงานแต่ละส่วนในโรงเรียนเราก็จะได้มาพูดคุยประเด็นต่างๆ ให้รับทราบร่วมกัน เราร่วมกันวางแผนงานใน Quarter ต่อไปเป็นอย่างนี้ทุกๆ ปี

     ในรายวิชาคณิตศาสตร์ก็เช่นกันครับ ในคาบสุดท้ายของการเรียนการสอนของนักเรียนแต่ละระดับชั้น ครูผู้สอนจะให้นักเรียนทุกคนสรุป Mind Mapping สรุปใน Quarter นั้นๆ ให้คุณครูรับรู้ความเข้าใจของนักเรียนแต่ละคนจากชิ้นงานในบางส่วนเพื่อนำมาเป็นเกณฑ์การประเมินต่อไป 
     การประเมินในรายวิชาคณิตศาสตร์ที่โรงเรียนลำปลายมาศพัฒนา เราไม่มีการสอบแต่เราก็มีการเก็บคะแนนอย่างต่อเนื่อง(ทุกๆ วันที่ทำการสอน) เราใช้เกณฑ์การประเมินผ่านตัวชี้วัดมาตรฐานที่กระทรวงกำหนดแล้วโยงเข้ามาสู่เกณฑ์ Rubic ที่ครูผู้สนแต่ละคนทำเกณฑ์ไว้ตามชั้นนั้นๆ

ตัวอย่างชิ้นงาน Mind Mapping สรุปคณิตศาสตร์ Quarter 1
โรงเรียนลำปลายมาศพัฒนา ประจำปีการศึกษา 2553

 ชิ้นงานตัวแทนพี่ๆ ป.4
     เนื้อหาของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ผ่านการเรียนการสอนมาทั้งสิ้น 11 สัปดาห์ของภาคเรียนที่ 1/2553 นักเรียนได้ใช้ปากกาในการทำชิ้นงานแล้ว และเนื้อหาส่วนใหญ่ก็เป็นเนื้อหาหลักที่เรียนผ่านมา 1 Quarter แสดงความเข้าใจในเนื้อหาบางส่วน


 ชิ้นงานตัวแทนพี่ๆ ป.5
     นักเรียนชั้นประถมศึกษาปที่ 5 ส่วนใหญ่เกือบทุกคนจะมีความสามารถในการลงสีในชิ้นงานกันทุกคน เนื้อหาที่สอนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 จะสอนเนื้อที่ระบสูงกว่าแต่ไม่เกินความสามารถของนักเรียนทุกๆ คน ผมเชื่อว่านักเรียนทุกคนมีศักยภาพที่ดีทุกๆ คน



ชิ้นงานตัวแทนพี่ๆ ป.6
     พี่ๆ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ทำชิ้นงาน Mind Mapping อย่างมีความสุข เด็กๆ นักเรียนทุกคนต่างโตเป็นพี่ๆ ที่น่ารักของน้องๆ มาปีนี้พี่ๆ ป.6 จะงานหลายๆ อย่างเข้ามามากกว่าปีที่แล้ว แต่ละคนต้องมีความรับผิดชอบ วางแผนในเรื่องของการจัดลำดับงานและจัดลำดับเรื่องของเวลามากขึ้น

     Mind Mapping สรุปคณิตศาสตร์ Quarter 1 ก็เป็นหนึ่งในชิ้นงานที่สำคัญของการประเมินในความคืบหน้าของความเข้าใจในเนื้อหาที่เรียนมาทั้ง 11 สัปดาห์...

17 พ.ย. 2553

ครูใหญ่ประชุมร่วมกับผู้ปกครอง ป.6...

เวลา 15:50 น. ของวันพุธที่ 17 พฤศจิกายน 2553
 ประชุม ณ ห้องประถมศึกษาปีที่ 6

   
     ผู้ปกครองของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 เริ่มทยอยมาเข้าร่วมการประชุมในครั้งนี้เรื่อยๆ ตามเวลาที่ครูประจำชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 นัดหมายกับผู้ปกครอง ซึ่งผู้ปกครองเข้าร่วมการประชุมในครั้งนี้ 27 ท่าน จากผู้ปกครองทั้งหมด 30 ท่าน โดยมีคุณครูที่เข้าร่วมประชุมกับผู้ปกครอง ดังนี้ครับ..
1. นายวิเชียร  ไชยบัง(ครูใหญ่)
2. นางสาวแสงจันทร์  กะลา(ครูแสง)
3. นางสาวพรรณี  แซ่ซือ(ครูณี)
4. นายราชิต  สุพร(ครูป้อม)

     ครูใหญ่ท่านได้เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับการศึกษาของประเทศไทยของเราในยุคปัจจุบันนี้ให้ผู้ปกครองทุกท่านได้รับรู้อย่างเป็นกันเอง(ภาษาอีสาน)
ครูใหญ่ : "การสอบเป็นการสอบวัดเฉพาะตัวความรู้เท่านั้น การสอบไม่สามารถวัดความดีของเด็กเราได้ ผมรู้จักนักเรียนทุกคนในชั้น ป.6 เป็นอย่างดี เด็กๆ ทุกคนล้วนมีความดีงามในตัวของแต่ล่ะคนแตกต่างกันออกไป การสอบไม่สามารถวัดความฉลาดทางด้านอารมณ์และการสอบก็ไม่สามารถวัดความฉลาดทางด้านจิตวิญญาณของนักเรียนของเราได้ ซึ่งนักเรียนของเรามีกันอยู่ทุกคน"

      ครูใหญ่ท่านฝาก 2 เรื่องหลักๆ ให้ผู้ปกครองของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ทุกๆ คนให้เข้าใจในแนวทางเดียวกัน ซึ่งผมคิดว่าเป็นเรื่องที่เป็นประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับผู้ปกครองที่มาประชุมในวันนี้ ในการที่เราจะมองเห็นคุณค่าในความเป็นมนุษย์ของลูกๆ ทุกคน ซึ่งนักเรียนทุกคนต่างมีความดีงามในตัวเอง และเรื่องที่คุณครูใหญ่ท่านฝากผู้ปกครองไว้ 2 เรื่อง คือ..
   1. อย่าตีค่าลูกตัวเองต่ำ : "การที่นักเรียนไปสอบแล้วอาจจะมีได้บ้าง ไม่ได้บ้าง ก็ให้ถือว่าเป็นเรื่องปรกติเพราะการสอบเขาวัดกันเฉพาะความรู้ ซึ่งการสอบวัดความดีของนักเรียนของเราไม่ได้ เด็กๆ ทุกคนเขามีคุณค่าด้านอื่นๆ ที่ดีกว่าการสอบวัด"
   2. โรงเรียนจะเรามีระบบการติดตามเด็กๆ นักเรียนของเราที่เรียนจบจากที่นี้ 3 ปี 

     แม่พี่บี ป.6 บอกว่าลูกอยู่ที่บ้านไม่อยากอ่านหนังสือเลยทุกวันนี้ เอาแต่เล่นอย่างเดียว..
ครูใหญ่ : "ผมก็ไม่ได้อ่านหนังสือทุกวัน พี่บีเป็นเด็กที่มีทักษะด้านการเขียนงาน ผมได้อ่านงานเขียนของพี่บีในบันทึกความสุข"

     ปัญหาที่โรงเรียนเราต้องสู้อยู่ตอนนี้ก็คือ..
ครูใหญ่ : "ทุกคนถูกผลของการศึกษาทำลาย เราไม่ได้ทิ้งเด็กแม้แต่คนเดียว เรามองเห็นคุณค่าความดีงามของเด็กทุกคน"

     ผมชอบประโยคหนึ่งตอนท้ายที่คุณครูใหญ่พูดก่อนจะเสร็จการประชุมวันนี้..
"ไม่ใช่เราทิ้งลูกหลาน แต่มันเป็นวิถีเช่นนั้น"

ปิดการประชุม 16:23 น.

15 พ.ย. 2553

Mathematics'53 of LPMP...

จัดบอร์ดคณิตศาสตร์นอกกะลา'53


     กลุ่มสาระวิชาคณิตศาสตร์เราได้จัดทำบอร์ดคณิตศาสตร์ที่ภายในตึกอาคารประถมศึกษา ในบอร์ดได้จัดประมวลภาพการเสวนาคณิตศาสตร์นอกกะลาและประเด็นหลักที่พวกเรา(ครูคณิตศาสตร์ทั้ง 3 คน)ตอบคำถามผู้ปกครองเกี่ยวกับรูปแบบการสอนอย่างลำปลายมาศพัฒนา ซึ่งทางโรงเรียนลำปลายมาศพัฒนาจัดขึ้นเมื่อวันที่ 22 กันยายน 2553 และประมวลภาพการสอนคณิตศาสตร์ทั้งช่วงชั้นที่ 1 และช่วงชั้นที่ 2
     ในบอร์ดคณิตศาสตร์เราตั้งชื่อว่า Mathematics LPMP ซึ่งก็แปลความหมายตรงตัว ทุกๆ สัปดาห์จะมีโจทย์คณิตคิดสนุกในนักเรียนหรือผู้ที่สนใจทุกคนร่วมตอบคำถาม โดยพวกเราจะมีโจทย์คณิตศาสตร์ให้มาคิดกัน 1 ข้อต่อสัปดาห์ ในบอร์ดจะมีกล่องรับคำตอบ กระดาษเตรียมไว้ให้ตอบคำถาม และกติกาขั้นตอนการตอบคำถาม
     พวกเราเริ่มจัดทำโจทย์คณิตคิดสนุกกันใน Week 2 ของ Quarter 3 ปีการศึกษา 2553 ซึ่งมีผู้ที่สนใจร่วมตอบคำถามที่ผ่านมาเป็นอย่างดีครับ
     นักเรียนหลายคนครุ่นคิดในโจทย์ปัญหาที่ครูตั้งให้นำไปคิดต่อที่บ้านสอบถามให้ผู้ปกครองช่วยอธิบาย นักเรียนบางคนตอบคำถามได้ตั้งแต่เห็นโจทย์ก็เลยต้องการให้มีเพื่อนมาร่วมตอบคำถามด้วย ก็ไปเชิญชวนเพื่อนของตัวเองมาร่วมตอบด้วย โดยที่ตัวเองไปอธิบายวิธีคิดที่ตัวเองตอบคำถามไปแล้วให้เพื่อนๆ จนเพื่อนหลายๆ คนได้ร่วมตอบคำถามในครั้งนี้ บางคนบอกว่าจะเอาไปถามเพื่อนๆ ที่โรงเรียนอื่นด้วย ก็เป็นสิ่งดีที่เด็กนักเรียนจะได้มีปฏิสัมพันธ์อันดีกับเพื่อนๆ ต่างสถาบัน ได้แลกเปลี่ยนการเรียนรู้ทางคณิตศาสตร์ซึ่งกันและกัน 
     หลายคนสงสัยในการมีกล่องสี่เหลี่ยมสีชมพูในบอร์ดคณิตศาสตร์เลยลองล้วงมือเข้าไปดู ทำให้ปากกล่องฉีกขาดเป็นรูเล็กน้อยครับ เกิดจากความอยากรู้อยากเห็นของนักเรียนว่าข้างในมีอะไรที่คุณครูซ่อนเขาอยู่หรือเปล่า

12 พ.ย. 2553

นักคณิตศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่(พอล แอร์ดิช)...

"หนังสือคณิตศาสตร์ดีๆ ที่ผมอ่านแล้ว
ประทับใจในเรื่องราวในหนังสือเล่มนี้มากครับ"

      หลังจากที่ผมอ่านหนังสือเรื่อง ผู้ชายที่หลงรักตัวเลข เขียนบทนำด้วยท่านอาจารย์ ศ.ดร.สุทัศน์ ยกส้าน จบลงผมมีความประทับใจในเรื่องราวของนักคณิตศาสตร์คนนี้มากครับ เป็นบุคคลที่เป็นทั้งอัจฉริยะและนักคณิตศาสตร์อีกคนที่ผมยกย่องให้เป็น My Idol อีกด้วยครับ
     หนังสือเล่มนี้เป็นประวัติชีวิตของนักคณิตศาสตร์ชาวฮังการีชื่อ พอล แอร์ดิช เขาได้รับการยกย่องว่าเป็นนักคณิตศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่งของโลกเทียบเท่านักคณิตศาสตร์หลายๆ ท่านในอดีต เช่น โสเครติส , อริโตรเติล , อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ฯลฯ นักวิทยาศาสตร์ที่เป็นอัจฉริยะหลายคนที่ผมทราบมา พวกเขาจะมีเรื่องที่ทำได้มหัศจรรย์เหนือคนธรรมดาทั่วๆ ไปอย่างเรา แต่อัจฉริยะบางคนก็มีวิถีการใช้ชีวิตด่อยกว่าคนทั่วไปอย่างพวกเราก็มีเช่นกัน
      อัลเบิร์ต ไอสไตน์เขาเรียนหนังสือไม่เก่งเลยสมัยเรียนระดับประถมศึกษาสอบตกวิชาภาษาฝรั่งเศษ เคยมีเรื่องเล่ามาว่าไอน์สไตน์จำหมายเลขโทรศัพท์บ้านของตัวเองยังไม่ได้เลย ทั้งๆ ที่เขาเป็นอัจฉริยะทางด้านตัวเลข 
     พอล แอร์ดิช ก็เช่นกันครับเขาสอบตกเลยเรื่องการใช้วิถีชีวิตประจำวันเช่นกันครับ เขาขับรถไม่เป็น ซักผ้ารีดผ้าไม่เป็น ทำอาหารไม่เป็น ขนาดแค่ฝานผลไม้เขาก็ยังทำไม่เป็นเลย มีอยู่ครั้งหนึ่งเพื่อนของเขาไปพักที่บ้าน เห็นน้ำสีแดงไหลเป็นทางยาวจากตู้เย็น พอเปิดตู้เย็นออกมาจึงพบกล่องน้ำมะเขือเทศ มีรูเจาะอยู่ด้านข้างครับ เขาเปิดกล่องน้ำมะเขือเทศไม่เป็นครับ เขาตัดสินใจเลือกวิธีใช้มีดเฉาะลงไปกลางกล่องแทนการเปิดกล่องแบบคนทั่วไป(นี้แหล่ะคืออัจฉริยะของโลกครับ ต้องแตกต่างแปลกๆ..) แต่อย่าแปลกใจไปเลยครับ ก็เพราะเขาเป็นอัจฉริยะ พอล แอร์ดิช เขารู้จักเลขจำนวนติดลบเมื่อเขาอายุเพียงอายุ 4 ขวบ แต่เขากลับผูกเชือกรองเท้าเป็นตอน 11 ขวบ และเมื่อเขาอายุได้ 21 ปี เขาจึงรู้จักวิธีทาเนยบนแผ่นขนมปัง คนที่เก่งเกินมนุษย์ในด้านหนึ่ง มักจะไม่เก่งในอีกด้านหนึ่งในบางกรณีเสมอครับ
ความคลั่งไคล้ในตัวเลขของพอล แอร์ดิช นั้นเป็นที่ขึ้นชื่อลือชา เขาใช้ชีวิตเกือบทั้งหมดกับการคิดเรื่องคณิตศาสตร์ ในเวลา 1 วัน เขาใช้เวลาอ่าน คิดและเขียนเรื่องราวเกี่ยวกับคณิตศาสจร์วันละไม่น้อยกว่า 19 ชั่วโมงของทุกๆ วันเลยครับ บั้นปลายของชีวิตของพอล แอร์ดิช ตาข้างหนึ่งของเขาบอดจึงต้องมีการผ่าตัด ขณะที่จะผ่าตัดหมอได้หรี่ไฟทำให้เขาอ่านหนังสือไม่ได้ เขาขอร้องให้หมอโทรศัพท์ไปยังภาควิชาคณิตศาสตร์ขอให้จัดส่งศาสตราจารย์ด้าน คณิตศาสตร์มาพูดคุยกับเขาขณะรับการผ่าตัดตา เพื่อเขาจะได้ใช้เวลาให้เป็นประโยชน์(อ่านตรงนี้แล้ว ผมนับถือในความทุ่มเทของเขามากครับ)
      พอล แอร์ดิช เขาชอบใช้คำว่าจากไปแทนคำว่าตาย เพราะเขานิยามศัพท์คำว่า ตายไม่เหมือนคนอื่น เขาถือว่านักคณิตศาสตร์จะตายก็ต่อเมื่อหยุดค้นคว้าทาคณิตศาสตร์ พอล แอร์ดิช เขาจึงตายก่อนจากไปเพียงแค่ 1 ชั่วโมง เท่านั้นเองครับ ผมอ่านหนังสือเล่มนี้แล้วผมชอบและประทับใจในความงดงามของการใช้ชีวิตด้วยการให้ของพอล แอร์ดิช เขาชอบตัวเลข แต่เขาไม่เคยบูชาตัวเงิน สำหรับเขาเงิน มีแค่ใช้ประทังชีวิต ผมเชื่อว่าเรื่องที่คนอ่านหนังสือเล่มนี้แล้ว หลายๆ ท่านต้องประทับใจเช่นเดียวกับผม ตอนที่พอล แอร์ดิช เขาได้รับเงินเดือนเดือนแรก มีขอทานคนหนึ่งเดินเข้ามาขอเงินกินน้ำชาสักถ้วยกับเขา เขาไม่ลังเลแม้แต่น้อยล้วงกระเป๋า เก็บเงินเล็กน้อยไว้ใช้ส่วนตัวและมอบเงินที่เหลือทั้งหมดให้แก่ขอทาน ผมชื่นชมในความงามนี้มาก และยังมีอีกช่วงขณะที่เขาได้รางวัลวูล์ฟ เขาได้เงินรางวัลจำนวน 50,000 เหรียญ เขาเก็บเงินไว้ใช้ส่วนตัวเพียง 750 เหรียญ ที่เหลือเขาตั้งเป็นกองทุนสนับสนุนการศึกษาแก่นักเรียนอิสราเอลครับ และอีกครั้งหนึ่งเมื่อเขารู้ว่ามีเด็กนักเรียนคนหนึ่งคือ เกลน วิทนีย์ (Glen Whitney) เขาอยากเรียนต่อด้านคณิตศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด แต่ไม่มีเงินเรียนพอล แอร์ดิช ก็นัดเจอเด็กคนนี้แล้วพูดคุยสัมภาษณ์และหลังจากที่เขาแน่ใจแล้วว่าเด็กคนนี้มีพรสวรรค์จริง เขาก็ให้เด็กยืมเงิน 1,000 เหรียญ และให้ใช้คืนเมื่อเขาไม่มีปัญหาเรื่องการเงินแล้ว10 ปีให้หลัง เด็กคนนี้ทำงานและมีเงินพอจะใช้คืนพอล แอร์ดิชแล้ว เมื่อโทรศัพท์มาพร้อมคำถามว่าจะให้เขาจ่ายดอกเบี้ยด้วยไหม? คำตอบที่พอลแอร์ดิช บอกกับเด็กคนนั้นก็คือ "ขอให้เธอทำกับเงิน 1,000 เหรียญนี้แบบเดียวกับที่ฉันทำกับเธอ"
      พอล แอร์ดิช รักตัวเลขแล้วมีความสุขกับการคิดและเขียนงานวิชาการด้านคณิตศาสตร์จนกระทั่งเขาเสียชีวิตในวัย 83 ปี และมีคำจารึกบนหลุมฝังศพของเขาที่เขาเขียนไว้เองว่า "ในที่สุดข้าพเจ้าก็ไม่อาจเขลาไปกว่านี้" 


     ผมเคยนำเรื่องชีวประวัติของพอล แอร์ดิช ไปเล่าให้นั่งเรียนชั้น ป.4 – ป.5 ฟังในเวลาว่างหรือบางชั้นเล่าให้ฟังก่อนสอนคณิตศาสตร์ แล้วลองให้นักเรียนฟังแล้วสรุปความเข้าใจในเรื่องของ พอล แอร์ดิช ดูความสนใจในการรับฟังและความเข้าใจ ผลงานตัวอย่างของพี่ตะวัน ป.5 ครับ...

8 พ.ย. 2553

Mind Mapping ก่อนเรียนคณิตศาสตร์...

     "เปิดเทอมวันแรก"

     ครูและลูกศิษย์ได้พบหน้ากันทุกคนต่างมีความสุขกับการเปิดเรียน นักเรียนทุกคนต่างเกิดอาการตื่นเต้นที่จะได้ลุ้นว่าปีการศึกษานี้จะได้ครูคนใดมาเป็นครูประจำชั้นของตัวเอง
     กิจกรรมการเรียนการสอนก็เช่นเดียวกัน ครูที่สอนแต่ละวิชาต้องเตรียมตัวสอนคาบแรกกันทุกคนของปีการศึกษาใหม่ ผมก็เช่นกันได้เริ่มสอนนักเรียนชั้น ป.4 เป็นคาบแรกก็เกิดความรู้สึกตื่นเต้นเพราะว่าเป็นชั้นที่เลื่อนชั้นขึ้นมาจากช่วงชั้นที่ 1 แต่นักเรียนชั้น ป.5 และชั้น ป.6 เป็นชั้นที่สอนอยู่แล้วเริ่มรู้สึกคุ้นเคยสนิทกันทุกคน
     คาบแรกของการเรียนการสอนคณิตศาสตร์ ปีการศึกษา 2553 ผมให้นักเรียนชั้น ป.4 , ป.5 , ป.6 ทำ Mind Mapping ก่อนเรียนทุกคน ให้นักเรียนเขียนบอกว่าเคยเรียนผ่านเรื่องอะไรมาบ้างแล้ว มีพื้นฐานของความเข้าใจมากน้อยสักเพียงใด เขียนบอกเรื่องที่ชอบในเรื่องที่เคยเรียนผ่านมาว่าชอบเพราะอะไรและเขียนบอกว่าเรื่องไหนที่คิดว่ายังไม่เข้าใจเท่าที่ควร(ยาก)

ตัวอย่างชิ้นงาน Mind Mapping ก่อนเรียนคณิตศาสตร์
โรงเรียนลำปลายมาศพัฒนา ประจำปีการศึกษา 2553


ชิ้นงานของตัวแทนพี่ๆ ป.4 
   เนื้อหาของ Mind Mapping อาจจะดูน้อยแต่ระหว่างที่ share กันกับเพื่อนๆ ผมก็ใช้คำถามตรวจเช็คความเข้าใจของนักเรียนทุกคนและเสริมในส่วนที่นักเรียนแต่ละคนสงสัยให้เข้าใจในแนวทางเดียวกัน นักเรียนชั้น ป.4 เปิดเทอมมาคุณครูประจำชั้นยังไม่ให้ใช้ปากกาเลยเขียนด้วยคินสอภาพอาจจะเลือนลางนะครับ..


ชิ้นงานของตัวแทนพี่ๆ ป.5
   เนื้อหาของ Mind Mapping ดูมีความหลากหลายในเรื่องที่เคยเรียนผ่านมาแล้ว สามารถอธิบายวิธีการหาคำตอบจากโจทย์ปัญหาที่เรียนเมื่อครั้งอยู่ชั้น ป.4 ระดับชั้นนี้ปีที่แล้วผมได้สอนเพลงคณิตศาสตร์สอดแทรกในกิจกรรมการเรียนการสออนควบคู่ไปด้วย ก็เป็นกิจกรรมที่ดีผ่อนคล้ายให้นักเรียนไม่รู้สึกเบื่อหนายในเนื้อหาการสอนคณิตศาสตร์มากนัก..


 ชิ้นงานของตัวแทนพี่ๆ ป.6
   เนื้อหา Mind Mapping จะมีเรื่องพื้นที่เป็นหลักเพราะเป็นเนื้อที่เรียนอยู่ชั้น ป.5 เรื่องเรื่องนี้ค่อนข้างจะเยอะมาก เพราะเป็นเรียนที่สนุกมากครับและการหาพื้นที่นักเรียนยังได้นำไปประยุกต์ในการใช้แก้ปัญหาในวิถีชีวิตของนักเรียนแต่ละคนได้อีกด้วย..

     เนื้อหาของการเขียนบอกความเข้าใจ ความรู้ที่ได้รับจากปีที่แล้วสื่อออกมาผ่าน Mind Mapping เป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์อย่างยิ่งที่นักเรียนจะได้รู้ตัวเองว่าเขารู้เรื่องอะไรอยู่แล้วบ้างและควรให้คุณครูส่งเสริมเรื่องไหนบ้างกับเขา ส่วนครูผู้สอนก็จะได้รับรู้ว่าลูกศิษย์แต่ละคนมีความรู้ ความเข้าใจในเรื่องใดบ้าง โดยสังเกตุจากการทำชิ้นงานชิ้นนี้ จากการสอบถามความเข้าใจระหว่างครูกับลูกศิษย์จากงานชิ้นนี้ได้เป็นอย่างดีครับ...

1 พ.ย. 2553

งานเป็นดอกไม้ของชีวิต 1...

ก่อนเปิดภาคเรียนที่ 2 ของปีการศึกษา 2553
 

      เช้าของวันที่ 20 ตุลาคม 2553 คณะครูโรงเรียนลำปลายมาศพัฒนาทุกท่าน คุณครูอ้นและอาจารย์นฤมล เราร่วมทำกิจกรรมกันเพื่อเตรียมความพร้อมและให้กำลังใจกันและกันก่อนเปิดภาคเรียนใหม่ในอีกไม่กี่วัน
      เริ่มต้นกิจกรรมของวันนี้ด้วย ครูใหญ่ได้เปิดคลิปวีดีโอเกี่ยวกับมหาตมะ คานที นักเดินทางผู้มีอุดมการณ์อันแน่วแน่ เพื่อต้องการเรียกร้องประชาธิปไตยกับคืนมาสู่ประเทศอินเดีย โดยวิธีอหิงสา
      และตามมาด้วยหนังสั้นเรื่องเสียงกู่จากครูใหญ่ ซึ่งเป็นเรื่องราวกับครูใหญ่ผู้มีอุดมการณ์อันแน่วแน่เพื่อเข้ามาพัฒนาโรงเรียนเล็กๆ แห่งหนึ่ง ซึ่งสภาพของโรงเรียนเป็นโรงเรียนเล็กๆ แทบไม่มีอะไรเลย โรงเรียนแห่งนี้ขาดการเหลียวแลจากรัฐบาลในยุคนั้นของประเทศเกาหลี แต่ครูใหญ่ก็ไม่ย่อท้อกลับมานั่งครุ่นคิดอยู่ตลอดเวลาที่จะทำให้โรงเรียนแห่งนี้เป็นศูนย์กลางแห่งการเรียนรู้ของเด็กๆ และชาวบ้านที่อยู่ในหมู่บ้านระแวกนี้ ซึ่งทุกหลังคาบ้านมีฐานะจะค่อนข้างยากจนมาก ครูใหญ่เริ่มต้นด้วยการประชุมกับครูในโรงเรียนที่มีอยู่ด้วยกันทั้งสิ้น 2 คน โดยครูใหญ่และครูทั้ง 2 คน ได้เขียนข้อความว่า "การทำงานหนักเป็นดอกไม้ของชีวิต” ไปติดตามบ้านทุกๆ หลังคาและครูใหญ่ก็ได้เรียกประชุมชาวบ้านทุกๆ หลังคาในหมู่บ้านระแวกนั้น เพื่อที่จะอธิบายให้ชาวบ้านเข้าใจในแนวทางของครูใหญ่ที่จะพัฒนาโรงเรียนและจะขอความร่วมมือจากชาวบ้านมาสร้างโรงเรียนร่วมกันโดยไม่ต้องนั่งรองบประมาณจากรัฐบาล แต่ก็มีผู้ปกครองคนหนึ่งค้านและบอกกับครูใหญ่ว่า "พวกเราไม่จำเป็นต้องเรียนเลย ยังมีชีวิตอยู่ได้ หาเงินมาใช้ในครอบครัวได้เลย พวกเราไม่เห็นด้วยกับครูใหญ่หรอก” แล้วชาวบ้านทุกคนก็กลับบ้านกันหมด แต่ครูใหญ่ไม่ย้อท้อครูใหญ่เริ่มต้นจากการขนก้อนหินทีละก้อน มาเรียงเพื่อสร้างเป็นรั้วของโรงเรียน โดยที่มีเด็กนักเรียนคนหนึ่งมาแอบยืนดูการทำงานของครูใหญ่ วันแล้ววันเล่าครูใหญ่ทำไปเรื่อยๆ จนกระทั่งวันหนึ่งเด็กนักเรียนคนนั้นเห็นครูใหญ่ขนหินมาแล้วเกิดอุบัติเหตุ ครูใหญ่ตกเหวลงมาอาการสาหัส จึงเรียกครูอีก 2 คน มาช่วยกันนำตัวครูใหญ่ไปนอนพักรักษาที่บ้านพัก โดยระหว่างที่ครูใหญ่พักรักษาตัวที่บ้านครูใหญ่ฝันว่าโรงเรียนสร้างเสร็จแล้วและมีเด็กนักเรียนกำลังเล่นกีฬากันอยู่แล้วนักเรียนคนหนึ่งเกิดพลาดเกิดตกเหวทำให้ครูใหญ่สะดุ้งตื่น เมื่อฟื้นจากอาการบาดเจ็บ ครูใหญ่ก็รีบกลับไปทำงานต่อทันที แต่แล้วครูใหญ่ก็ตะลึงกับภาพที่เห็น เด็กน้อยคนที่แอบดูครูใหญ่ทุกกวันนั้นไปบอกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้พ่อแม่รับทราบแล้วชาวบ้านบอกกันต่อปากต่อปาก จนชาวบ้านเกิดรู้สึกสงสารครูใหญ่และคิดกันว่าครูใหญ่ท่านไม่ใช่คนที่เกิดในพื้นที่นี้ท่านยังมาสร้างให้ลูกของพวกเราเรียน ชาวบ้านก็เลยเกิดความเชื่อมั่นและศรัทธาในตัวครูใหญ่ จนร่วมกันสร้างโรงเรียนเสร็จในเวลาอันรวดเร็ว แล้วชาวบ้านก็เชื่อในสิ่งที่ครูใหญ่สั่งสอนทุกคนจนชาวบ้านทุกคนมีงานทำในหมูบ้าน หาเลี้ยงครอบครัวของตัวเองโดยไม่ต้องออกไปทำงานนอกหมู่บ้านไกลๆ ทำให้ชาวบ้านมีฐานะพออยู่พอกินกันทุกหลังคา จนกระทั่งเรื่องถึงประธานธิบดีที่ปกครองประเทศเกาหลี ทำให้ท่านประธานาบดีต้องเดินทางมามอบรางวัลให้กับครูใหญ่เป็นข้าราชการต้นแบบในสมัยนั้น และหนังเรื่องเสียงกู่จากครูใหญ่ก็เป็นหนังที่เปลี่ยนประเทศเกาหลีมาจนถึงปัจจุบัน
      หลังจากนั้นครูใหญ่ก็ให้พวกเราดูรูปพี่โอ นักเรียนชั้น ป.6 พร้อมด้วยคุณแม่พี่โอที่มาเยี่ยมครูใหญ่พร้อมฝากฝังลูกชายกับคุณครูใหญ่พร้อมด้วยน้ำตาของแม่ที่เป็นห่วงลูกชาย จากนั้นครูใหญ่ก็ให้ครูแจ๋วเป็นคนดำเนินงานกิจกรรมของวันนี้ต่อ โดยครูแจ๋วเริ่มจากให้ครูแต่ละคนเล่าถึงประสบการณ์ที่ตัวครูเองได้สัมผัสกับความน่ารัก ความไร้เดียงสาจากเด็กๆ ที่คุณครูประทับใจและให้กำลังใจเพื่อนๆ ครูด้วยกันอย่างอบอุ่นกันทุกคน รวมถึงครูอ้นและอาจารย์นฤมลที่ร่วมรับฟังและร่วมแลกเลี่ยนประสบการณ์ ข้อเสนอแนะด้วยกันอย่างสุขใจ
     จากนั้นครูใหญ่ก็ได้วาดภาพต้นไม้ขึ้นมาให้พวกเราทุกคนได้ดูและครูใหญ่อธิบายเป็นนัยว่า "ต้นไม้จะได้รับความงอกงามที่หลายหลากจากปลายยอด กิ่ง ใบ หรือผลของต้นไม้นั้นๆ ก็ได้หลากหลายวิธี ซึ่งครูแต่ละคนก็มีทักษะการใช้ชีวิตที่แตกต่างกัน การที่เด็กจะได้รับความรู้นั้นๆ หลายๆ ทางย้อมเขาถึงรากเหง้าของต้นไม้แต่ละต้นได้เร็วกว่า"

      เวลาเที่ยงเราได้รับประทานอาหารแสนอร่อยเพื่อสุขภาพของเราทุกคน ครูอ้นและอาจารย์นฤมลเตรียมอาหารมาจากบ้านสวนระเมียรไม้ของครูอ้นมาให้ครูรับประทาน เมนูเพื่อสุขภาวะของครูในเที่ยงนี้ก็คือ "พระรามลงสรง"

      ช่วงบ่ายโมงกว่าๆ เราร่วมกันคิดหาแนวทางพัฒนาเด็กพิเศษ 2 คน คือ วิวกับเนย เด็กที่มีอาการบกพร่องทางสมอง โดยครูใหญ่ได้เชิญให้ท่านอาจารย์นฤมลเล่าเรื่องเกี่ยวกับเพื่อนของอาจารย์ที่เป็นคุณหมอรักษาเด็กที่มีความบกพร่องทางสมองโดยตรง และครูอ้นท่านก็เปิดรูปภาพให้พวกเราดู เป็นภาพเกี่ยวกับแม่เฒ่าคนหนึ่งที่ท่านขายผักนานาๆ ชนิดที่ท่านหาเก็บเองไปขายที่ตัวจังหวัดบุรีรัมย์ ครูอ้นได้ติดตามถ่ายถาพวิถีของคุณยายท่านนี้ทั้งวัน คุณยายหาบผักใส่ตะกร้า 2 ใบใหญ่ๆ ขึ้นรถไฟไปขายผักที่ตลาด โดยถึงสถานีรถไฟบุรีรัมย์คุณยายก็เริ่มขายผักไปเรื่อยๆ โดยขายกำละ 2 บาท ถ้าซื้อ 3 กำ คุณยายขาย 5 บาท คุณยายท่านมาพร้อมกับหลานสาว แต่หลานสาวของคุณยายค่อนข้างจะอายในอาชีพของคุณยายหลานสาวจะยืนอยู่ห่างๆ ทุกครั้ง หลานต้องการเงินไปหาหมอที่คลีนิกคุณยายก็ควักเงินใบ 500 บาท ให้หลานไปจ่ายค่ารักษากับหมอโดยไม่เสียดายเงินที่ให้หลานไปแม้แต่น้อย ระหว่างเดินทางกลับครูอ้นจึงเดินไปกับคุณยายและหลานสาว ครูอ้นท่านเล่าให้หลานสาวคนนั้นฟังว่า "คุณยายท่านทำงานอันมีค่ามากๆ กับโลกของเรานี้ ท่านช่วยรักษาป่า เพราะป่าคือแหล่งอาหารหลักของคุณยาย ซึ่งแตกต่างจากคนร่ำรวยมากมายที่หาเงินมาได้มากมาย ซึ่งมีแต่ทำร้ายโลกเรา ซึ่งต่างจากคุณยาย อยากให้เราภูมิใจในอาชีพของคุณยาย”