26 ต.ค. 2552

ปั่นจักรยานครั้งแรก


ปั่นจักรยานครั้งแรก

นิ้มรู้สึกว่าในหมู่บ้านจะดูคึกคักวุ่นวายเป็นพิเศษ ที่แท้ก็เพราะเจ้าจักรยานนี้เอง เด็กในหมู่บ้านหลายคนเพิ่งจะปั่นจักรยานได้จึงเห่อกันทั้งหมู่บ้าน พ่อแม่พี่น้องต่างก็ภาคภูมิใจในตัวลูกหลานว่าตัวแค่นี้ก็สามารถปั่นจักรยานได้ เพราะผู้ใหญ่บางคนอายุมากแล้วแม้แต่จูงจักรยานก็ยังล้ม นิ้มคือเด็กอีกคนที่ปั่นจักรยานไม่เป็น พ่อบอกนิ้มว่ายังเด็กเกินไปที่จะปั่นจักรยาน เอาไว้โตกว่านี้แล้วพ่อจะสอนให้ ด้วยความที่ว่ายิ่งห้ามก็เหมือนยิ่งยุ ทุกวันนิ้มก็ได้แต่มองดูเพื่อนคนอื่น ๆ เขาปั่นจักรยานเล่นกันไปไหนมาไหนเขาก็ไม่ต้องเดิน ทั้ง ๆ ที่เพื่อนคนอื่นที่เขาเรียนในชั้นเดียวกันกับนิ้มเขาก็ปั่นจักรยานได้กันจนจะหมดทุกคน

วันหนึ่งขณะที่พ่อออกไปทุ่งนา นิ้มเห็นเป็นโอกาสที่ดีจึงแอบจูงจักรยานของพอไปที่สนามโรงเรียน แม้แต่จูงเฉย ๆ นิ้มยังจะทำจักรยานล้ม ต้องหยุดพักตั้งหลายครั้งกว่าจะถึงโรงเรียน ที่จูงไปโรงเรียนไม่ใช่อะไรหรอกเพราะว่าถนนในโรงเรียนไม่มีรถเครื่องและผู้คนไม่พรุกพล่าน เหมาะที่จะใช้เป็นสนามฝึกปั่นจักรยาน มือของนิ้มจับอยู่ที่แฮนด์ของจักรยานในท่าเตรียมพร้อม พร้อมกับสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ให้เต็มปอดเพื่อเตรียมพลังและความมั่นใจ ในใจก็บอกตัวเองว่าต้องทำให้ได้ จากนั่นก็ค่อย ๆ สอดขาข้ามไปยังบันไดของจักรยานฝั่งตรงข้าม แล้วค่อย ๆ ใช้ขาอีกข้างดันให้รถเคลื่อนไปข้างหน้า ตามองตรงแทบจะไม่กระพริบตาเลย เพราะนิ้มกลัวว่าถ้ากระพริบตาบ่อย ๆ จะทำให้มองไม่เห็นถนนก็ได้ นิ้มใช้ขาดันพื้นให้จักกรยายเคลื่อนที่ไปเรื่อย ๆ จนครบรอบสนามแล้วแต่นิ้มก็ยังไม่กล้าที่จะยกขาที่ดันพื้นขึ้นเหยียบบนบันไดจักรยานอีกข้าง เพราะกลัวว่าจะเสียการทรงตัวจะทำให้จักรยายล้ม นิ้มทำอย่างนี้อยู่เกือบครึ่งวัน แล้ววินาทีสำคัญก็มาถึงเมือนิ้มคิดว่าความเร็วของจักรยานกำลังได้ที่เหมาะสำหรับที่จะยกเท้าขึ้นเหยียบบนบันได้จักรยาน แล้วอ้อยก็ตัดสินใจยกขาขึ้นทันทีและด้วยสัญชาตญาณของความอยากทำให้ขาของนิ้มรีบปั่นบันไดจักรยานโดยเร็วก่อนที่มันจะล้มลงแบบไม่เป็นท่า ในใจก็นึกถึงพ่อถ้าได้แผลกับไปพ่อต้องด่าแน่ ๆ เพราะพ่อยังไม่อนุญาตให้หัดขี่จักรยาน ส่วนมือนั้นก็กำแฮนด์ไว้แน่นจนเปียก ตาก็จองมองข้างหน้า ขาก็ปั่น รู้สึกว่าทุกส่วนของร่างกายนิ้มจะทำงานสัมพันธ์กันได้ดีมากเลย ในใจของนิ้มคิดว่าปั่นอีกรอบก็จะกลับบ้านแล้วไปบอกข่าวดีกับพ่อและทุกคนว่าปั่นจักรยานได้แล้ว ขณะนั้นจักรยานของนิ้มกำลังเข้าโค้งสุดท้ายซึ่งพอใกล้จะถึงโค้งนี้ทีไรนิ้มจะระวังทุกครั้ง และแล้วนิ้มก็พลาดจนได้ เพราะตรงบริเวณโค้งนี้มีเจ้าต้นหูกวางต้นหนึ่งยืนให้ร่มเงากับทุกสรรพสิ่ง แล้วก็โผล่ออกมาทักทายกับทุกคน สำคัญที่เจ้ารากที่โผล่ออกมานี้แหละพอจักรยานของนิ้มผ่านมาเข้าโค้งอาจจะด้วยความที่คิดว่าตัวเองปั่นได้ชำนาญมากแล้วและเป็นรอบสุดท้ายจึงทำให้นิ้มไม่ค่อยได้ระวังเท่ากับรอบแรก ๆ รถจักรยานจึงตีโค้งเข้าไปใกล้กับรากของต้นหูกวาง เท้าข้างซ้ายจึงไปชนกับรากของเจ้าหูกวางเข้า รถจักรยานของนิ้มเสียการทรงตัวเล็กน้อยแต่ก็ไม่ถึงกับล้ม นิ้มรู้สึกตกใจและก็โล่งใจที่สามารถประคับประคองรถจักรยานไม่ให้ลมได้ พอหยุดรถเพื่อที่จะพักเหนื่อยก่อนกลับบ้าน นิ้มก็ได้ก้มลงไปมองที่เท้าแล้วก็ต้องตกใจ พร้อมกับเสียงร้องให้อันดังหลังจากที่เห็นเล็บเท้านิ้วนางข้างซ้ายห้อยร่องแร่ง พร้อมกับเลือดสีแดงสด ทำให้เพื่อน ๆ ที่เล่นอยู่ใกล้ ๆ ต่างวิ่งมามุงดูว่าเกิดอะไรขึ้น ยังไม่ถึง 5 นาที นิ้มก็เห็นพ่อมายืนอยู่ข้าง ๆ พอเห็นหน้าพอยิ่งทำให้นิ้มร้องให้หนักกว่าเดิมอาจจะเพราะเจ็บแผลหรือเพราะกลัวพ่อก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน พ่อจึงพาอ้อยกบัลบ้าน ทำแผล แถมยังผิดคาดอีกต่างหาก เพราะพ่อไม่ว่าหรือตำหนิที่แอบเอาจักรยานไปขี่เหมือนที่นึกไว้เลย แต่กลับพูดปลอบใจ และกล่าวชมในความสามารถของนิ้มอีกด้วยที่ปั่นจักรยานได้

พรรณทิพย์พา ทองมี

1 ความคิดเห็น:

  1. เส้นทางชีวิต เริ่มต้นก็ยากหน่อยละครับเหทือนปั่นจักรยานนั่แหละ ...ต่อไปพอเริ่มลงตัวก็สะบาย เหมือนปั่นจักรยานเลยครับ

    ตอบลบ