31 ต.ค. 2552

ปริศนาวางก้อนหิน (ชั่วโมงสอนครูองอาจ)



ครูองอาจ : สวัสดีครับพี่ ป.4 ที่น่ารัก เมื่อวานคุณครูไปที่สระน้ำหลังโรงเรียนสังเกตเห็นอะไรหลายอย่าง ไหนเคยไปที่สระน้ำบ้างครับ


เด็ก ๆ : ยกมือ


ครูองอาจ : พี่ต่อสังเกตเห็นอะไรบ้างครับที่นั่น


ต่อ: ผมเห็นฝูงนกที่มาคอยเฝ้ากินปลาเต็มไปหมดเลยครับ


ฟ้าวรรณ :หนูเห็นต้นตะกูยักษ์อย่างเยอะเลย โตขึ้นกว่าเดิมมากเลยค่ะ


กั๊ก : ผมเห็นผักกะเฉดน้ำลอยน้ำไปมาครับ


ครูองอาจ : มีใครเห็นอย่างอื่นอีกไหมครับ


บีม : หนูเห็นก้อนหินสีขาววางเรียงเต็มถนนเลยค่ะ วางเรียงเป็นเส้นตรงค่ะ….สวยดี


(เข้าแก๊บ.. ครูองอาจ อมยิ้มเพราะเด็ก ๆ ได้สนทนาเข้าสู่สิ่งที่ครูองอาจต้องการโยงไปได้อย่างเป็นธรรมชติและแนบเนียน)


ครูองอาจ : พี่บีมคงชอบก้อนหินสวย ๆ นะ .. เอแล้วคนอื่นๆ ชอบเหมือนพี่บีมไหมครับ


เด็ก : ชอบครับ / ชอบค่ะ


ครูองอาจ : งั้นวันนี้เราจะมาแก้ปริศนาการวางก้อนหินกัน ให้เด็ก ๆ เอาสมุดทดและดินสอมาออกแบบ Model การวางด้วยนะครับ


สำลี : พร้อมแล้วครับ


ครูองอาจ : มีก้อนหิน 7 ก้อน วางให้เป็นเส้นตรง 5 แถว แถวละ 3 จะวางอย่างไร


(เด็ก ๆ รีบออกแบบ Model ใหญ่เลย พร้อมกับนับเลขในใจ ตามวิถีการคิดของตน ...รอสักพักหนึ่ง

ต่อ: ผมได้แล้วครับ ( โชว์ Model มาให้คุณครูดู)


ครูองอาจ : พี่ต่อเก่งมากเลยครับ ไหนลองออกมาออกแบบให้เพื่อนดูซิ


( ต่อออกมาวาด เพื่อนตรวจเช็ค พร้อมกับปรบมือเสียงดังชื่นชมในความสามารถ..... ทันใดนั้นเอง ตะวันยกมือพร้อมกับพุดว่า )


ตะวัน : ผมมีอีกวืธีหนึ่งครับ


ครูองอาจ : ขอบคุณพี่ต่อครับ ...เชิญพี่ตะวันครับ


( ตะวันออกมาวาด เพื่อนตรวจเช็ค พร้อมกับปรบมือเสียงดังชื่นชมในความสามารถเช่นกันในขณะที่ศักดิ์และกายพยายามทำความเข้าใจในสิ่งที่เพื่อนเขียนบนกระดานพร้อมกับผงกหัวขึ้นลงแสดงอาการเหมือนกับจะเข้าใจ


ครูองอาจ : เด็ก ๆ เก่งมากเลย เมื่อกี้คุณครูมีโจทย์ให้ ต่อไปให้เด็ก ๆ ลองออกแบบโจทย์บ้าง เอาเด็ด ๆ นะ...... ใครพร้อมแล้วยกมือครับ


....(นิ่งไปสักพักหนึ่ง)...


สำลี : ผมครับ มีก้อนหิน 9 ก้อน วางให้เป็นเส้นตรง 8 แถว แถวละ 3 ก้อน จะวางอย่างไร


กั๊ก : โอ้ววว...ตัวเองนะตั้งยากแท้

ครู องอาจ : เออน่า... เพื่อนคิดได้เราก็คิดได้ ใครคิดข้อนี้ได้นี่ ซุปเปอร์ยอดเยี่ยมเลยครับ


( นานสักพัก..... กระต่ายยกมือ พร้อมพูดว่า)


กระต่าย : ผมได้แล้วครับ ....


ครู องอาจ : ไหนลองออกมานำเสนอเพื่อน ๆ ซิครับ

( กระต่ายออกมาวาด เพื่อนตรวจเช็ค พร้อมกับปรบมือเสียงดังชื่นชมในความสามารถอีกครั้ง)


ครู องอาจ : โอ้โอ...เด็ก ๆ เก่งมากเลย...มีใครสงสัยอยากจะถามคุณครูไหมครับ....(ไม่มี) ..(ชำเลืองดูนาฬิกาใช้เวลาสอนรวมไป 15 นาที ). งั้นเชิญทุกคนขึ้นทำงานบนโต๊ะ เดี๋ยวครูจะอ่านโจทย์ให้ฟังครับ


มีก้อนหน 10 ก้อน วางให้เป็น 5 แถว แถวละ 4 ก้อน จะวางอย่าง

30 ต.ค. 2552

จะนั่งได้อย่างไร (ชั่วโมงสอนครูองอาจ)





ครูองอาจ : สวัสดีครับเด็ก ๆ ที่น่ารัก เมื่อวานวันหยุด ใครได้ไปทำอะไรในสิ่งที่ตนเองชอบบ้างครับ

ปุ๊ก : ผมไปเล่นปิงปองกับพี่ปลั๊ก อย่างสนุกเลยครับคุณครู


เดียว : ผมไปร้านหนังสือที่บุรีรัมย์ ซื้อการ์ตูนคณิตศาสตร์มาอีกแล้วครับครู

ครูองอาจ : แล้วพี่ปอง ...ละครับ

ปอง : ผมไปเรียนว่ายน้ำกับพี่ซีตรองที่สระธนภัทรครับ คนไปเรียนอย่างเยอะเลยครับ

ครูองอาจ : เมื่อวานคุณครูก็ได้ไปที่สถานีรถไฟครับ.....เลยเจอเรื่องแปลก ๆ ครับ

เดียว : อยากฟังครับเล่าให้ฟังหน่อย

ครูองอาจ : รถไฟขบวนหนึ่งมีเบาะยาวพิเศษแถวหนึ่ง ยังไม่มีใครไปนั่งได้เลย เพราะเขามีเงื่อนไขว่าจะต้องนั่งเป็นครอบครัว และเป็นครอบครัวที่มาพร้อมกัน 4 คน พอดี เมื่อมีผู้โดยสารมา เจ้าหน้าที่ก็พูดว่า

" แม่ 1 คน มากับลูกอีก 2 คน นั่งไม่ได้ "
" พ่อ 1 คน มากับ ลูกอีก 3 นั่งได้ "
" พ่อ 4 คน มากับลูก 3 คน นั่งไม่ได้ "
" ลูก 3 คน มากับพ่อ 3 คน นั่งได้ "

ทันใดนั่นเองเจ้าหน้าที่ก็มีสีหน้าซีดเซียว พร้อมกับบิดตัวไปมาแล้วพูดว่า "โอ๊ยปวดท้องจัง" แล้วบอกว่า " ใครก็ได้ช่วยจัดแทนผมที ผมไม่ไหวแล้ว " เจ้าหน้าที่มองซ้ายมองขวา แล้ว...มาหยุดมองที่คุณองอาจครับ (สงสัยหน้าตาดี) เขาจับมือคุณครูแล้วพูดว่า " คุณครูช่วยผมจัดหน่อยนะครับ " แล้วเขาก็วิ่งไปห้องน้ำ...เอาละซิครับเด็ก ๆ คุณครูจะทำอย่างไรดี เพราะ.....................ผะ..ผะ..ผู้..โดยย..สารรรร ขึ้นมาแล้ว!

แม่ 3 คน กับ ลูก 2 คน

แม่ 3 คน กับ ลูก 1 คน

แม่ 2 คน กับ ลูก 3 คน


เด็ก ๆ ใครจะนั่งได้บ้างเนี่ย ...ช่วยคุณครูคิดด้วยครับ




ถึงผู้อ่านครับ ......
ช่วยครูองอาจคิดด้วยครับ ใครจะได้นั่งบ้าง ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น อธิบายให้ฟังด้วยนะครับ.

ขนมคนรักกัน




กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในวันเพ็ญเดือนสิบสอง ซึ่งจะเป็นประเพณีวันลอยกระทง
ณ. หมู่บ้านแห่งหนึ่งมีการจัดประเพณีวันลอยกระทง ในหมู่บ้านแห่งนี้มีสาวสวยประจำหมู่บ้าน ชื่อว่าแป้ง แป้งเป็นลูกสาวแก้วตาดวงใจของเศรษฐีในหมู่บ้าน ซึ่งพ่อหวงและห่วงลูกสาวคนนี้มาก ในคืนวันลอยกระทงนั้นแป้งก็ได้เจอชายรูปงามแต่มีฐานะยากจนชื่อว่ามะพร้าว ทั้งสองคนได้สบตากันก็รู้สึกชอบพอกัน จากนั้นทั้งสองคนก็ได้คุยกันและตกลงที่จะคบหาดูใจกัน

เมื่อข่าวนี้ถึงหูท่านเศรษฐีผู้เป็นพ่อของแป้ง ท่านก็ได้สั่งให้ลูกน้อง 2 คนไปกำจัดนายมะพร้าวไม่ให้คบกันกับแป้ง แล้วลูกน้องทั้ง 2 คน ก็คิดวางแผนขุดหลุมพรางดักนายมะพร้าวในเวลาที่แอบมาหาแป้งท้ายสวนหลังบ้าน ทันใดนั้นแป้งผ่านมาได้ยินเรื่องที่พ่อพูดคุยกับลูกน้องทั้ง 2 คน แป้งก็รีบวิ่งไปบอกข่าวนี้กับมะพร้าว แต่แป้งพะวงกับการส่งข่าวนี้ให้มะพร้าวรู้จนลืมคิดไปว่ากับดักนั้นอยู่ท้ายสวนหลังบ้าน ระหว่างทางก็ได้ตกลงไปในหลุมพรางที่พ่อสั่งให้ลูกน้อง 2 คนนั้นทำไว้ แต่น่าอนิจจาแป้งได้เสียชีวิตแล้ว มะพร้าวได้ยินข่าวเรื่องแป้งตกหลุมเสียชีวิต จึงรีบวิ่งไปหาแล้วพบว่าแป้งเสียชีวิตไปแล้ว ด้วยความเสียใจเป็นที่สุดมะพร้าวจึงตัดสินใจกระโดดหลุมตายตามแป้งไป

คนในหมู่บ้านศรัทธาในความรักของทั้งสองคนนี้เพื่อเป็นอนุสรณ์ความรักที่ยิ่งใหญ่ของแป้ง
และมะพร้าว จึงได้คิดค้นขนมอะไรสักอย่างที่มีส่วนผสมของแป้งกับมะพร้าวเป็นหลัก แล้วก็ตั้งชื่อขนมว่าขนมคนรักกัน แต่ด้วยชื่อนี้เรียกยากและยาวชาวบ้านก็เลยตกลงกันเรียกชื่อย่อว่า ค - ร- ก หรือที่เรียกปัจจุบันว่า ขนมครก

แรงบันดาลใจจากคุณยายข้างบ้านค่ะ

เรื่องดีๆ..มีไว้แบ่งปันจากข้อคิดในหลวง


แผนที่ชีวิต

๑. ขอบคุณข้าวทุกเม็ด น้ำทุกหยด อาหารทุกจานอย่างจริงใจ

๒. อย่าสวดมนต์เพื่อขอสิ่งใด นอกจาก "ปัญญา" และ "ความกล้าหาญ"

๓."เพื่อนใหม่" คือของขวัญที่ให้กับตัวเอง ส่วน "เพื่อนเก่า"/ "มิตร" คืออัญมณีที่นับวันจะเพิ่มคุณค่า

๔. อ่านหนังสือ ธรรมะ ปีละเล่ม

๕. ปฏิบัติต่อคนอื่นเช่นเดียวกับที่ต้องการให้ผู้อื่นปฏิบัติต่อเรา

๖. พูดคำว่า "ขอบคุณ" ให้มากๆ

๗. รักษา "ความลับ" ให้เป็น

๘. ประเมินคุณค่าของการให้ "อภัย" ให้สูง

๙. ฟังให้มากแล้วจะได้คู่สนทนาที่ดี

๑๐.ยอมรับความผิดพลาดของตัวเอง หากมีใครตำหนิและรู้แก่ใจว่าเป็นจริง

๑๑. หากล้มลง จงอย่ากลัวกับการลุกขึ้นใหม่

๑๒. เมื่อเผชิญหน้ากับงานหนักคิดเสมอว่า เป็นไปไม่ได้ที่จะล้มเหลว

๑๓. อย่าถกเถียงธุรกิจภายในลิฟต์

๑๔. ใช้บัตรเครดิตเพื่อความสะดวก อย่าใช้เพื่อก่อหนี้สิน

๑๕. อย่าหยิ่งหากจะกลว่าวว่า "ขอโทษ"

๑๖. อย่าอายหากจะบอกใครว่า "ไม่รู้"

๑๗. ระยะทางนับพันกิโลเมตร แน่นอนมันไม่ราบรื่นตลอดทาง

๑๘. เมื่อไม่มีใครเกิดมาแล้ววิ่งได้ จึงควรทำสิ่งต่างๆ อย่างค่อยเป็นค่อยไป

๑๙. การประหยัดเป็นบ่อเกิดแห่งความร่ำรวยเป็นต้นทางแห่งความไม่ประมาท

๒๐. คนไม่รักเงิน คือคนไม่รักชีวิต ไม่รักอนาคต

๒๑. ยามทะเลาะกัน ผู้ที่เงียบก่อนคือผู้ที่มีการอบรมสั่งสอนที่ดี

๒๒.ชีวิตนี้ฉันไม่เคยได้ทำงานเลยสักวัน ทุกวันเป็นวันสนุกหมด

๒๓.จงใช้จุดแข็ง อย่าเอาชนะจุดอ่อน

๒๔. เป็นหน้าที่ของเราที่จะพูดให้คนอื่นเข้าใจไม่ใช่หน้าที่ของคนอื่นที่จะทำความเข้าใจใน สิ่งที่เราพูด

๒๕. เหรียญเดียวมี 2 หน้า ความสำเร็จ กับ ล้มเหลว

๒๖. อย่าตามใจตัวเอง เรื่องยุ่งๆ เกิดขึ้นล้วนตามใจตัวเองทั้งสิ้น

๒๗. ฟันร่วงเพราะมันแข็ง ส่วนลิ้นยังอยู่เพราะมันอ่อน

๒๘. อย่าดึงต้นกล้าให้โตไวๆ (อย่าใจร้อน)

๒๙. ระลึกถึงความตายวันละ 3 ครั้ง ชีวิตจะมีสุข มีอภัย มีให้

๓๐. ถ้าติดกระดุมเม็ดแรกผิด กระดุมเม็ดต่อๆไปก็ผิดหมด

๓๑. ทุกชิ้นงานจะต้องกำหนดวันเวลาแล้วเสร็จ

๓๒. จงเป็นน้ำครึ่งแก้วตลอดชีวิต เพื่อเรียนรู้เพิ่มเติมได้ตลอด

๓๓. ดาวและเดือนที่อยู่สูงอยากได้ต้องปีน "บันไดสูง"

๒๔. มนุษย์ทุกคนมีชิ้นงานมากมายในชีวิตจงทำชิ้นงานที่สำคัญที่สุดก่อนเสมอ

๓๕. หนังสือเป็นศูนย์รวมปัญญาของโลก จงอ่านหนังสือเดือนละเล่ม

๓๖. ระเบียบวินัย คือ คุณสมบัติที่สำคัญในการดำเนินชีวิต

เด็กหญิงแก่นแก้ว


ณ โรงเรียนแห่งหนึ่ง วันแรกของการเปิดเรียน เด็กๆทุกคนตั้งใจมาโรงเรียนเพื่อจะได้พบกับเพื่อนๆ
หนุงหนิง : เรามาเล่นด้วยกันนะแก้มแดง..
แก้มแดง : จ้ะ…ปิดเทอมตั้งหลายวันฉันคิดถึงเพื่อนๆที่สุดเลย
กระปุก : ฉันเล่นด้วยคนนะ
หนุงหนิง : จ้ะๆ เรามาเล่นเป้ายิงฉุบกัน
ในขณะที่เด็กเล่นด้วยกันอย่างสนุกสนาน
แก่นแก้ว : ฮือๆๆๆ แก้วจะกลับบ้านๆ หาแม่ แม่จ๋าๆ รอแก้วด้วย ฮือๆๆๆ
คุณครู : สวัสดีค่ะคุณแม่ สวัสดีค่ะน้องแก่นแก้ว
คุณแม่ : สวัสดีค่ะคุณครู น้องแก่นแก้วงอแงอีกแล้วค่ะคุณครู ฝากด้วยนะคะคุณครู…
คุณครู : ค่ะ คุณแม่ เดี๋ยวคุณครูจะดูแลให้ค่ะ
แก่นแก้ว : ไม่เอา ไม่อยู่ที่นี่ หนูจะกลับบ้าน ฮือๆๆ แม่จ๋า แม่จ๋า..ไม่รักแก่นแก้วแล้วหรอจ้ะ แม่จ๋า…ฮือๆๆ
(น้องแก่นแก้วยังร้องไห้เหมือนเดิม)
แก่นแก้ว : แม่จ๋า…หาแม่...แม่จ๋า..แม่…ฮือๆ
ทุกๆวันแก่นแก้วมาที่โรงเรียนก็จะร้องไห้ทุกวัน แต่หลังจากที่คุณแม่กลับบ้านแล้วแก่นแก้วก็หยุดร้องไห้ แต่แก่นแก้วไม่ชอบเล่นกับเพื่อนๆ
หนุงหนิง : แก้วมาโรงเรียนแล้ว แก่นแก้วจ๋า..เราไปเล่นด้วยกันนะ
แก่นแก้ว : ไม่เอา…แก่นแก้วจะกลับบ้าน…ฮือ
แก้มแดง : พวกเราคิดถึงแก้วนะ ปิดเรียนตั้งหลายวัน ไปเล่นด้วยกันนะ
แก่นแก้ว: ก็บอกแล้วไงว่าไม่เล่น “กู”ไม่อยากเล่น
หนุงหนิง: แก่นแก้วพูดไม่เพราะเลย ไม่อยากคุยด้วยแล้ว ไปเล่นกันเถอะเพื่อนๆ
แก่นแก้ว : ฮึ..ไม่เห็นอยากคุยด้วยเลย (ว่าแล้วน้องแก้วก็เอากระเป๋าเข้าไปเก็บในห้องเรียน โดยไม่สนใจเพื่อนเลย)
ในวันนั้นขณะที่คุณครูให้เด็กๆเล่นที่สนามเด็กเล่น เด็กๆต่างเล่นด้วยกันอย่างสนุกสนาน เด็กหญิงแก่นแก้วเห็นเพื่อนเล่นก็อยากเล่นกับเพื่อนๆบ้าง เดินเข้าไปหาเพื่อนและยื่นขาไปขวางทางเดินเพื่อน ทำให้เพื่อนสะดุดล้มลงทันที
กระปุก : โอ้ย!! เจ็บนะแก้ว เพื่อนไม่ชอบ
แก่นแก้วไม่สนใจและเดินไปแกล้งเพื่อนคนอื่นๆต่อไป ดึงผมหนุงหนิงบ้าง ผลักเพื่อนบ้างอย่างสนุกสนาน โดยที่ไม่สนใจว่าเพื่อนจะได้รับบาดเจ็บ เค้ายังสนุกสนานแล้วเล่นต่อไป คุณครูเห็นเข้าจึงเรียกแก่นแก้วเข้ามาคุยด้วย
คุณครู : น้องแก่นแก้วทำอะไรหรอคะ??
แก่นแก้ว : เปล่าค่ะ..หนูเล่นกับเพื่อนเฉยๆ (แก่นแก้วทำไม่รู้ไม่ชี้)
คุณครู : แล้วหนูเล่นแบบนี้ดีมั้ยค่ะ หนูชอบมั้ยค่ะเวลามีคนมาดึงผมหนู…
แก่นแก้ว : ไม่ค่ะ..เจ็บค่ะ
คุณครู : แล้วถ้ามีคนมาผลักหนูล่ะคะ
แก่นแก้ว : ไม่ค่ะ..ไม่ชอบค่ะ
คุณครู : หนูคิดว่าหนูเล่นแบบนี้ดีมั้ยค่ะ
แก่นแก้ว : ไม่ดีค่ะ หนูจะไม่เล่นแบบนี้อีกแล้วค่ะคุณครู
คุณครู : ดีมากค่ะ หนูไปขอโทษเพื่อนๆ และเล่นกับเพื่อนดีๆนะคะ
แก่นแก้ว : ค่ะคุณครู
แก่นแก้วรับปากคุณครู แต่เขาก็ไม่ยอมทำตามที่รับปากคุณครูไว้ แก่นแก้วยังคงเล่นเหมือนเดิม และแกล้งเพื่อนเหมือนเดิม และครั้งนี้แก่นแก้วผลักน้องกระปุก ทำให้กระปุกล้มและหัวแตก
กระปุก : โอ้ย!! เจ็บจังเลย ฮือๆๆ
แก่นแก้ว : เขาขอโทษ…กระปุกอย่าเป็นอะไรนะ กระปุก…ฮือๆ
หนุงหนิง : กระปุกเป็นอะไรหรอ….อุ้ย!! มีเลือดด้วย ไปหาคุณครูกันเถอะ ..แก่นแก้วไม่น่ารักเลย เราไม่เล่นกับแก่นแก้วแล้ว
จากเหตุการณ์นั้นทำให้เพื่อนๆในห้องไม่อยากเล่นกับแก่นแก้ว แก่นแก้วรู้สึกผิด รู้สึกเหงา เพราะต้องอยู่คนเดียว แก่นแก้วคิดถึงกระปุก เป็นห่วงกระปุก เพราะไม่รู้ว่าตอนนี้กระปุกเป็นอย่างไร เพราะกระปุกไม่มาโรงเรียนหลายวันแล้ว
แก่นแก้ว : เพื่อนๆโกรธแก่นแก้วแล้ว เพื่อนๆไม่รักแก่นแก้วแล้ว ฮือ.. กระปุกจ๋า แก่นแก้วขอโทษนะจ้ะ
ขณะนั้นคุณครูเห็นแก่นแก้วนั่งอยู่คนเดียวจึงเดินเข้าไปหา
คุณครู : แก่นแก้ว มานั่งทำอะไรอยู่ตรงนี้จ้ะ ไปเล่นกับเพื่อนๆสิจ้ะ
แก่นแก้ว : หนูไม่อยากเล่นแล้วค่ะคุณครู และเพื่อนๆก็คงไม่อยากให้หนูเล่นด้วยแล้วละคะ..หนูขอโทษค่ะคุณครู
คุณครู : หนูไม่ได้ทำอะไรคุณครูสักหน่อย แล้วหนูมาขอโทษคุณครูทำไมล่ะค่ะ เดินไปบอกเพื่อนๆดีมั้ยค่ะ
แก่นแก้ว : เพื่อนๆจะยอมพูดกับหนูเหรอคะคุณครู หนูเป็นเด็กไม่ดี
คุณครู : แก่นแก้วเป็นเด็กดีจ้ะ เพราะแก่นแก้วยังรู้ว่าหนูเคยทำอะไร ผลเป็นอย่างไร? แค่เราปรับตัวใหม่ ดีมั้ยค่ะ
แก่นแก้ว : ดีค่ะคุณครู (แก่นแก้วยิ้มดีใจ)
คุณครู : หนูลองเดินไปหาเพื่อนๆ และขอโทษเพื่อนๆดูสิคะ คุณครูเชื่อว่าเพื่อนๆทุกคนรักแก่นแก้ว และพร้อมที่จะเป็นเพื่อนกับแก่นแก้ว
แก่นแก้ว : ขอบคุณค่ะคุณครู
เมื่อแก่นแก้วเดินเข้าไปหาเพื่อนๆ
แก่นแก้ว : หนุงหนิงจ๋า แก้มแดงจ๋า แก่นแก้วขอโทษนะ ที่เคยแกล้งหนุงหนิงกับแก้มแดง ต่อไปนี้แก่นแก้วจะไม่ทำแบบนี้อีกแล้ว แก่นแก้วขอโทษจ้ะ
หนุงหนิง :ไม่เป็นไรจ้ะ เพราะเราเป็นเพื่อนกันต้องให้อภัยกัน จริงมั้ยจ้ะ แก้มแดง
แก้มแดง : จ้ะ เราไปเล่นด้วยกันนะจ้ะแก่นแก้ว หนุงหนิง
ขณะที่เด็กๆกำลังจะไปเล่นด้วยกัน กระปุกก็เดินเข้ามา
กระปุก : จะไปเล่นกันแค่สามคน ไม่ชวนกระปุกเลยเหรอ
แก่นแก้ว : กระปุก!! กระปุกจริงๆด้วย กระปุกเป็นอย่างไรบ้างจ้ะ? แก่นแก้วเป็นห่วงมากเลยรู้หรือเปล่า?
กระปุก : กระปุกหายดีแล้วจ้ะ นี่ไงเห็นมั้ย แข็งแรงแล้ว
แก่นแก้ว : แก่นแก้วขอโทษนะกระปุก และขอโทษเพื่อนๆทุกคนจ้ะ
หนุงหนิง : เพื่อนๆไม่ได้โกรธอะไรหรอกจ้ะ เราเป็นเพื่อนกันนะ แต่แก่นแก้วต้องสัญญาก่อนนะว่าต่อไปนี้
มาโรงเรียนจะไม่ร้องไห้ ไม่เป็นเด็กขี้แย และไม่แกล้งเพื่อนๆอีก
แก่นแก้ว : ได้จ้ะ.. แก่นแก้วสัญญาจ้ะ แก่นแล้วมีเพื่อนที่น่ารักแบบนี้แล้ว ต่อไปแก่นแก้วจะรีบมาโรงเรียนแต่เช้า แก่นแก้วจะได้มาเล่นกับเพื่อนๆ
หลังจากนั้นเด็กหญิงแก่นแก้วก็เปลี่ยนเป็นเด็กหญิงแก่นแก้วคนใหม่ มาโรงเรียนแต่เช้า ไม่ร้องไห้งอแงอีกเลย และเด็กๆในห้องก็เป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน และอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข

29 ต.ค. 2552

ผมจะเปลี่ยนประเทศไทยได้อย่างไร

  ถ้าคนไทยเราแต่ละหมู่บ้านมีความคิดเหมือนคุณพ่อผายสัก 1 คนต่อ 1 หมู่บ้าน เราคงเปลี่ยนประเทศไทยเราให้เข้มแข็งด้วยเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อในหลวงของเราได้อย่างสมบูรณ์

ทางเดินฝัน....(อวสาน)

บทสุดท้าย.... อาจเร็วเกินไป
..........บางที ความฝันกับความจริง...... อาจเดินสวนทาง....
ถ้าเปรียบเทียบการทำงาน เหมือนกับความรัก
งาน คือ คนที่เรารัก

มีผู้หญิงคนหนึ่ง.... รักผู้ชายคนหนึ่งอย่างสุดซึ้ง ตั้งใจที่จะทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อเขาคนนั้น และในที่สุด ชายคนนั้นก็ยอมรับรักหญิงสาว
เธอคิดว่าจะยอมทุ่มเทให้เขาได้ แม้เราจะแตกต่างกันอย่างมากมาย ขอเพียงให้เราสองได้เคียงคู่กัน เขาก็เชื่อมั่นว่าเธอต้องทำได้
.......
........
......
และแล้ว..........
โลกแห่งความจริงก็ทำลายความฝันของเขาและเธอ
หญิงสาวค้นพบว่า..... ตัวเธอนั้น ไม่ได้ดีที่สุดสำหรับเขา
ไม่อาจมอบชีวิตทั้งชีวิตให้เขาได้
ทุ่มเททำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อตอบแทนความรักที่เขามอบให้ตนไม่ได้
เธอจึงเดินจากเขามาอย่างเงียบๆ..........
จากทั้งที่ยังรัก
จากทั้งที่ยังผูกพัน
จากทั้งที่ยังอาวร
จากมาเพื่อให้เขาพบคนที่ดีกว่าตน
ยิ่งนานวัน.....
เธอยิ่งได้ยินเสียงหัวใจตนเองมันร่ำร้องว่า ยังรักเขาสุดขั้วหัวใจ ยังคิดถึงอย่างสุดแสน
เธอร่ำไห้กับน้ำตาที่หลั่งรดใจว่า...... คิดผิด ที่เดินจากเขามา
เมื่อคิดได้ทุกอย่างก็สายเกิน เกินจะกลับไปหาเขา เธอต้องรับผิดชอบคำพูดที่เธอได้ลั่นวาจา
เธอต้องยอมรับความจริง ว่า เธออ่อนแอเกินไปที่จะสู้เพื่อเขา
เธอไม่กล้าพอที่จะยืนเคียงข้างเขาตลอดไป...............
"ความทรงจำดีๆ ความเอื้ออาทรที่ได้รับ ฉันจะเก็บไว้...จนลึกสุดใจ"

ลูกเจี๊ยบ.... ก็เช่นกัน ตัดสินใจกระโดดออกจากรังพญาอินทรี
เพราะคิดว่า เมื่อไม่สามารถถลาลมอยู่บนฟ้า ก็จงกลับพสุธาอันมั่นคง
แม้ว่า....ยังรัก
ยังอยากเฝ้ามองพญานกสยายปีกเล่นลม
ท่านช่างองอาจน่าชื่นชมนัก
ลาก่อน "พญาอินทรี" ที่แสนรัก
ขอบคุณที่เมตตา ลูกเจี๊ยบหลงทาง
รัก... และ รัก ตลอดไป

นิทานพยัญชนะ ก.ไก่



...ไก่กับกา
ก่กับกา เป็นเพื่อนที่รักกันมาก เมื่อไก่หาอาหารมาได้ก็จะแบ่งให้กากิน เมื่อครั้งที่ฝนตกหนัก ฟ้าร้อง ไก่รู้สึกกลัวกาจะอยู่เป็นเพื่อนไก่จนกว่าฝนจะหยุดตก ทั้งสองจึงรักกันและไม่เคยโกรธกันแม้แต่ครั้งเดียว...
"อีกไม่กี่วันก็จะถึงวันเกิดกาแล้วสินะ เราต้องหาของขวัญที่ดีที่สุดให้กับกา " ไก่คิดพลางมองหาของขวั
ญวันเกิดสำหรับกาแต่คิดยังไงก็คิดไม่ออก ไก่จึงตัดสินใจเดินไปบ้าน เมื่อเจอกบ ไก่จึงบอกว่า "ลุงจ๋า ช่วยหาของขวัญ กานั้นสำคัญ ฉันเป็นเพื่อนกา" กบได้ฟังจึงแนะนำว่า "อ๋อ...กรอบรูปไงจ๊ะ ฉันว่าสวยดี" ไก่จึงบอกกับกบว่า "กรอบรูป...กรอบรูปเหรอจ๊ะ กามีเยอะแล้ว" ไก่จึงเดินทางต่อไป ระหว่างทางก็ได้ เจอกับกิ้งกือตัวหนึ่งกำลังเก็บดอกไม้อยู่ ไก่จึงพูดว่า "กิ้งกือจ๋า ช่วยหาของขวัญ กานั้นสำคัญ ฉันเป็นเพื่อนกา" กิ้งกือได้ฟังจึงแนะนำว่า "อ๋อ...กุหลาบไงจ๊ะ ฉันว่าหอมดี" ไก่จึงบอกกิ้งกือว่า "กุหลาบ...กุหลาบเหรอจ๊ะ กามีเยอะแล้ว" ไก่จึงเดินทางต่อไป ไก่รู้สึกเหนื่อยแต่ก็ไม่ย่อท้อ ขณะนั้นเองไก่ก็มองเห็นแกะฝูงหนึ่งกำลังกินหญ้าอยู่ที่ชายทุ่งอย่างมีความสุข "พี่แกะจ๋า ช่วยหาของขวัญ กานั้นสำคัญ ฉันเป็นเพื่อนกา" ฝูงแกะได้ฟังจึงแนะนำว่า "อ๋อ...กรุ๋งกริ๋งไง เล่นได้เพลินดี" ไก่จึงบอกฝูงแกะว่า "กรุ๋งกริ๋ง...กรุ๋งกริ๋งเหรอจ๊ะ กามีเยอะแล้ว" ไก่รู้สึกผิดหวังที่ยังหาของขวัญวันเกิดให้กาไม่ได้ พระอาทิตย์กำลังตกดิน ท้องฟ้าและรอบๆตัวของไก่เริ่มมืดลง ไก่เริ่มรู้สึกกลัวแต่ก็ยังเดินทางต่อไป ไก่เดินทางไปเรื่อยๆ จนไปถึงลำธารแห่งหนึ่ง เห็นกุ้งกำลังว่าย น้ำอย่างเพลิดเพลิน ไก่จึงถามว่า "คุณกุ้งจ๋า ช่วยหาของขวัญ กานั้นสำคัญ ฉันเป็นเพื่อนกา" กุ้งจึงแนะนำว่า "อ๋อ...กางเกงไง ใส่นอนฝันดี" ไก่จึงบอกกุ้งว่า "กางเกง...กางเกงเหรอจ๊ะ กามีเยอะแล้ว" ไก่จึงก้มลงดื่มน้ำจากลำธารด้วยความกระหาย พร้อมกับเผลอหลับไปด้วยความเหน็ดเหนื่อย รุ่งเช้าไก่จึงตื่นขึ้นมาและกำลังจะออกเดินทางต่อไป ทันใดนั้นจึงมองเห็นกระรอกตัวหนึ่งกำลังเล่นกระโดดข้ามกะลาอย่างสนุกสนาน ไก่แปลกใจจึงถามว่า "เธอเล่นคนเดียวสนุกด้วยเหรอ" กระรอกจึงตอบว่า "ฉันไม่ได้เล่นคนเดียวหรอก ฉันมีเพื่อนเป็นกะลา กะลาคือเพื่อนที่ดีที่สุดของฉัน เพราะลาไม่เคยทำให้ฉันเสียใจ ทุกครั้งที่ฉันอยากเล่น กะลาจะเล่นกับฉัน ทุกครั้งที่ฉันหลับตากะลาจะคอยเป็นหมอนให้ฉันหนุน แค่นี้ฉันก็มีความสุขแล้ว ฉันไม่ต้องการอะไรมากมายจากเพื่อนของฉันหรอก" ไก่ได้ยินดังนั้นจึงคิดอกว่าจะให้อะไรเป็นของขวัญกาในวันเกิด และแล้ววันเกิดกาก็มาถึง ทุกคนมีกล่องของขวัญบใหญ่มาให้กา แต่ไก่กลับไม่มีแม้แต่กล่องของขวัญชิ้นเล็กๆ เมื่อกาเห็นไก่กาดีใจมาก ไก่บอกกาว่า "ฉันไม่มีของขวัญใดจะให้เธอ" กายิ้มรับและพูดเบาๆว่า "ก็เธอไงของขวัญของฉัน" ไก่งงกับคำตอบของกา จึงถามว่า "ทำไมล่ะ" "ก็เธอเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดที่ฉันมี" ไก่ได้ยินดังนั้นจึงบอกว่า "จริงๆแล้วฉันมีของขวัญจะให้เธออยู่นะแต่มันไม่ได้อยู่ในกล่องหรอก" พูดจบไก่ก็อ้าแขนทั้งสองข้างแล้วบอกกาว่า "ฉันมีกอดเป็นของขวัญให้เธอจ๊ะ" ไก่กับกายืนกอดกัน มอบความรักให้กันและกัน วันแล้ววันเล่า กอดไม่เคยหมด คว ามรักไม่ต้องเดินตามหา กำลังใจดีๆไม่ต้องใช้เงินทองซื้อมา และที่สำคัญทุกคนมี...ขอบคุณความเป็นเพื่อนที่ทุกคนมีให้ เพื่อนที่ไม่หวังอะไรตอบแทน นอกจากความสุขที่มีให้กัน แล้วคุณล่ะคะ...วันนี้ได้มอบความรัก ความปรารถนาดีให้กับใครบ้างหรือยัง?

28 ต.ค. 2552

เกาลี้...เกาหลี


ผู้เขียนเป็นคนชอบฟังเพลงมาแต่ไหนแต่ไรและติดตามข่าวคราวของวงการเพลงมาโดยตลอด สังเกตได้ว่ารูปแบบของการขายศิลปิน เอ๊ย! ไม่ใช่สิ ขายเพลง ส่วนใหญ่กลุ่มที่สนใจและขายได้คือ “วัยรุ่น” บริษัทเพลงจึงเพ่งเล็งมาที่กลุ่มวัยรุ่นเป็นสำคัญ ในยุคนั้นค่ายเพลงที่ดูมีอิทธิพลและมีความพร้อมที่จะประชาสัมพันธ์ให้ศิลปินเป็นที่รู้จัก ได้แก่ แกรมมี่ อาร์เอสโปรโมชั่น และคีตาร์ เร็คคอร์ด ศิลปินที่โด่งดังเป็นพลุแตก อาทิ เช่น ลิฟท์กับออย, ฝันดี ฝันเด่น, เจ เจตริน, ทาทา ยัง ฯลฯ และพักหลังบริษัทคีตาร์ เร็คคอร์ด ได้ปิดตัวลง เพราะการแข่งขันด้านเพลงเริ่มมีมากขึ้นและผู้แพ้ก็ต้องหลีกทาง


การแข่งขันในวงการเพลงยังคงดำเนินต่อไป ค่านิยมในการผลิตศิลปินวัยละอ่อน ผู้มีรูปร่างหน้าตาดี ร้องเพลงพอฟังได้ จับไปเข้าคอร์สบุคลิกภาพ ขัดเกลาด้านการร้องเพลง และฝึกเต้นอีกสักหน่อย ก็ยังคงขายได้ ช่วงกลางๆ แกรมมี่กับอาร์เอส ยังคงครองตลาดวัยรุ่น และไม่ทิ้งห่างกันสักเท่าไหร่ มีการฉลองล้านตลับของศิลปินวัยรุ่นอยู่เกลื่อนค่าย ผิดกับตลาดเพลงฟัง ที่คัดเฉพาะศิลปินเสียงดี หน้าตาธรรมดา แต่คุณภาพเสียงคับแก้ว โดยเฉพาะค่ายเพลงฝั่งอโศกดูจะทิ้งห่างค่ายเพลงฝั่งลาดพร้าวอยู่หลายช่วงตัว อย่างไรก็ตามกลุ่มที่ได้กำไรมากที่สุดก็คือคนฟังนั่นเอง


ในยุคหลังๆ วงการเพลงเริ่มมีสีสันใหม่ๆมากขึ้น มีการทำเพลงจากค่ายเพลงอิสระ และค่ายเพลงเล็กๆที่เรียกกันว่า “เพลงใต้ดิน” หรือ “เพลงอินดี้ ”ซึ่งไม่มีการโปรโมท และไม่ได้เน้นรูปร่างหน้าตาของนักร้องมากมายนัก แต่เป็นการขายเพลงจริงๆ กลุ่มวัยรุ่นคงเริ่มเอียนกับกระแสนิยมนักร้องวัยรุ่นที่ขายหน้าตาและร้องเพลงพอฟังได้ และค่ายเพลงอินดี้ยุคบุกเบิกที่มีอิทธิพลต่อวงการเพลงในยุคหลังๆ คือ “เบเกอรี่มิวสิค” ศิลปินที่โด่งดังตั้งแต่เปิดตัวด้วยความแปลกใหม่และเนื้อหาในเพลงให้อะไรมากกว่าเพลงสะท้อนความรักประโลมโลก คือ “โมเดิร์นดอก” และยังคงเป็นที่นิยมมาจนถึงปัจจุบัน


สำหรับในยุคนี้สิ่งที่จะต้องกล่าวถึงและเป็นประวัติศาสตร์ครั้งสำคัญเลยก็ว่าได้ นั่นคือ ความนิยมที่วัยรุ่นไทยมีต่อศิลปินชาวเกาหลี ไม่ว่าจะเป็นภาพยนตร์เกาหลี เพลงเกาหลี นักร้องเกาหลี ภาษาเกาหลี ฯลฯ บัตรคอนเสิร์ตที่แพงหูฉี่เท่ากับรายได้ทั้งเดือนของใครบางคน แต่วัยรุ่นไทยกลับไม่คิดเสียดาย แถมยังต้องเบียดเสียดยัดเยียดต่อคิวซื้อ บางรายตื่นมาตั้งแต่ตี2 ตี 3 เพราะกลัวซื้อบัตรไม่ทัน และปัจจุบันนักร้องวัยรุ่นไทยส่วนใหญ่ได้รับอิทธิพลมาจากศิลปินเกาหลี ทั้งรูปร่างหน้าตา การแต่งกาย ล้วนถูกกลืนไปด้วยกระแสความนิยมจากเกาหลีแทบทั้งสิ้น จนแยกไม่ออกว่าอันไหนคือคนไทยอันไหนคือเกาหลี


การผลิตศิลปินที่ประเทศเกาหลี มีฐานการผลิตที่แข็งแกร่ง จัดว่าเป็นอุตสาหกรรมของประเทศเลยก็ว่าได้ ค่ายเพลงมีกฎการผลิตศิลปินที่เด็ดขาด และฝึกอย่างหนัก ศิลปินต้องสมบูรณ์แบบทั้งหน้าตาและความสามารถ ดังนั้นศิลปินดาราเกาหลี 90 % จึงต้องทำศัลยกรรม รวมทั้งมีการคัดเลือกผู้ที่จะมาเป็นศิลปิน อย่างแยบคายโดยคัดเลือกจากหลายๆประเทศ ถ้าในแถบเอเชียก็มี เกาหลี จีน ญี่ปุ่น และไทย ทั้งนี้เพื่อเป็นการสร้างฐานความนิยมจากทุกประเทศในแถบเอเชียนั่นเอง การสร้างศิลปินได้รับการสนับสนุนด้วยดีจากรัฐบาลเกาหลี และมีแนวโน้มว่าจะผลิตเพลงไปยังตลาดโลก ขณะนี้เพลงเกาหลีมีส่วนแบ่งในตลาดโลก 1 % คิดเป็นอันดับที่ 19 ของโลก และมีผลกำไรในปี 2551 รวมทั้งสิ้น 8.44 ล้านวอน หรือ ประมาณ 21,100 ล้านบาท

หากพิจารณาจากความสำเร็จของศิลปินชาวเกาหลี ย่อมเป็นที่น่าชื่นชมยินดีอย่างยิ่ง แต่ในทางกลับกันข่าวคราวที่มีศิลปินดาราเกาหลีฆ่าตัวตายอยู่เป็นระยะน่าจะสะท้อนอะไรบางอย่าง กระแสของโลกเชื่อถือได้แค่ไหน ท่านผู้อ่านมีความคิดเห็นอย่างไรบ้างคะ?

ค. ครูที่ฉันรัก

ครูคนแรกคือพ่อและแม่
สอนการพูด ค่อยอบรมสั่งสอนให้ลูกที่รักเป็นคนดี
อยู่ร่วมกับสังคมได้เป็นอย่างดี ทะนุถนอมด้วยความรัก

ครูคนที่สองคือครูที่โรงเรียน
ให้ความรู้ด้านวิชาการ
การอยู่ร่วมและทำงานกับผู้อื่น

ครูคนที่สามคือคนรอบข้าง
สอนให้เรารู้จักการปรับตัวเข้าหา
และอยู่ร่วมอย่างเข้าใจ

อย่างไรก็ตามถ้าคนเรามีความพยายามไม่ว่าปัญหาต่าง ๆ นานาก็จะผ่านพ้นไปดี
มีความสุขกับสิ่งที่ทำ ไม่ใช้ต้องทำเพราะหน้าที แค่นี้ก็สุขสุด ๆ แล้วค่ะ
.................................................
.................................................

“ ทะเลสวยย่อมมีคลื่น ชีวิตจะราบรื่นย่อมมีอุปสรรค์ ”

โรงเรียนแห่งแรกของเด็ก

โรงเรียนที่สำคัญแห่งแรกของลูกคือครอบครัว
ความรักเป็นสิ่งที่ลูกทุกคนต้องการ และเป็นสิ่งที่สัมผัสได้ ลูกพร้อมที่จะเรียนรู้เมื่อสัมผัสได้ว่าได้รับความรักอย่างเต็มที่ เมื่อมีความรัก ความไว้วางใจ ความเข้าใจ การพูดคุยอย่างเปิดเผยก็จะตามมา พ่อแม่ควรสร้างแบบแผนการเลี้ยงลูกอย่างเป็นกันเอง ที่ไม่ใช่แบบพ่อแม่บังคับ หรือแบบตามใจให้ลูกมีอิทธิพลเหนือตนเอง พ่อแม่คือแบบอย่างที่ลูกสัมผัส รับรู้อยู่ทุกวัน อย่าลืมว่าทุกคำพูด การกระทำทุกอย่างลูกเรียนรู้มาจากพ่อแม่ พ่อแม่เป็นผู้ชี้นำความหวัง ความปรารถนาดีที่ตนเองมีต่อลูก ลูกเรียนรู้ว่าพ่อแม่มีความหวังและความปรารถนาดีอะไรกับเรา ลูกก็จะพยายามทำสิ่งที่อยู่บนพื้นฐานความหวังและความปรารถนาดีของพ่อแม่ สิ่งที่พ่อแม่ต้องคำนึงถึงในการเลี้ยงดูลูกที่โรงเรียนลำปลายมาศพัฒนา มีในหลักสูตรผู้ปกครอง ที่พ่อแม่ต้องคำนึงถึง คือ จิตวิทยามนุษย์ ดังนี้
จิตวิทยามนุษย์
*ไม่ใช้การเปรียบเทียบ เช่น เปรียบเทียบว่าลูกคนอื่นเก่งกว่าลูกตนเอง บอกลูกว่าได้คะแนนน้อยหรือมากกว่าคนอื่น เปรียบเทียบน้องกับพี่ ซึ่งการเปรียบเทียบเป็นบ่อเกิดของความอิจฉา
*ไม่ใช้คำพูดด้านลบ เช่น ด่าว่า พูดเสียดสี พูดกระทบโดยไม่บอกตรงๆ
*ไม่หลอกให้กลัว เช่น บอกว่าถ้าไม่ทำตำรวจจะมาจับ หลอกว่าเดี๋ยวผีจะมา
*ไม่ใช้ความรุนแรง เช่น ลงโทษโดยการตี การใช้กำลังต่างๆ แต่ลงโทษด้วยวิธีที่สร้างสรรค์
*ไม่กดดันลูกเรื่องการเรียน

ไม่ว่าโรงเรียนจะพยายามพัฒนาเด็กอย่างไร ถ้าครอบครัวไม่ให้ความใส่ใจในการพัฒนาลูกของตน ปล่อยปละละเลยแม้เพียงสิ่งเล็กๆน้อยๆ ไม่เห็นความสำคัญของการพัฒนาลูกในด้านต่างๆ ร่วมกับโรงเรียน ชีวิตทั้งชีวิตของลูกเราจะเป็นอย่างไร ดังนั้น โรงเรียนแห่งแรกของลูกเราคือครอบครัวซึ่งพ่อแม่จะต้องเป็นเบ้าหลอมชีวิตและพัฒนาลูกให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ที่สุดในแบบอย่างที่เขาควรจะเป็น

27 ต.ค. 2552

วันวาน





ท่ามกลางความเงียบสงัด ไร้ซึ่งเสียงหรีดหริ่งเรไรส่งเสียงร้อง ชายชราใช้สองมือที่แห้งเหี่ยวกดลงบนฟูก และค่อยๆพยุงตัวขึ้นมาจากเตียงเก่าๆ มองท้องฟ้าที่มืดมิดพร้อมกับถอนหายใจอย่างแผ่วเบา ทุกอย่างหยุดนิ่งและเขาค่อยๆเคลื่อนไหวช้าๆด้วยไม้เท้าขนาดพอดีมือ อากาศเริ่มหนาวเย็นในยามสนธยา คงมีเพียงเสียงสะอื้นไห้ในหัวใจของชายผู้ทรนงองอาจในอดีต ............
ด้วยสภาพจิตใจที่อ่อนแอ ส่งผลให้โรคภัยไข้เจ็บได้มาเยือนตามธรรมชาติของอายุขัย สังขารที่ร่วงโรยเปรียบเสมือนใบไม้เหลืองที่เหี่ยวเฉา รอวันร่วงหล่นลงจากต้น..... ชายชราเฝ้ารำพึง รำพัน ถึงเรื่องราวที่ผ่านมาตลอดอายุ 80 กว่า ปี มองย้อนกลับไปเมื่อตอนเป็นเด็กชาย ทุกอย่างช่างดูสดใส สนุกสนานเมื่อได้เล่น....พอย่างเข้าสู่วัยหนุ่ม ....ความคึกคะนองยังคงโลดแล่นอยู่ในหัวใจ มีความหวัง มีความฝันอันยิ่งใหญ่และพร้อมที่จะก้าวเดินไปด้วยใจที่มุ่งมั่น.....เป็นวัยแห่งการแสวงหาซึ่งความรัก มีความปรารถนาอันแรงกล้า และไม่มีทีท่าว่าจะสิ้นสุดลงง่ายๆ.....เมื่อมีความรักและตกลงปลงใจอยู่ร่วมกับคู่ชีวิต....ต่างคนต่างมีความตั้งใจที่จะทำชีวิตครอบครัวให้ดีที่สุด เต็มเปี่ยมไปด้วยความคาดหวัง สองคนรับภาระที่ต้องแบกไว้ร่วมกัน ฝ่ายชายซึ่งถือว่าเป็นหัวหน้าครอบครัว...ต้องเป็นผู้นำที่เข้มแข็ง พร้อมไปกับการแสวงหาซึ่งอำนาจ ลาภ ยศ สุข สรรเสริญ .และ......ในที่สุด......... ความสำเร็จก็สัมฤทธิผลดังปรารถนา.....
ทุกอย่างได้ถูกลิขิตแล้ว ราวกับว่าทุกอย่างอยู่ในความฝัน ชีวิตกำลังโชติช่วงชัชวาลเปรียบดังดาวจรัสฟ้าในยามค่ำคืน จากบุคคลที่ไร้ซึ่งชื่อเสียงเรียงนาม กลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในบัดดล ถูกแวดล้อมไปด้วยผู้คนมากหน้าหลายตา ผู้คนที่เข้ามาพานพบให้ความเคารพศรัทธา ภาพของนายทหารผู้ยิ่งใหญ่ผุดขึ้นมาในจิตรู้สำนึกอีกครั้ง ชายหนุ่มผู้ทะนงองอาจ อิ่มเอมอยู่กับศักดินาที่ได้รับ ลุ่มหลงกับอำนาจวาสนา เขาได้ดำเนินชีวิตไปด้วยความสุข ไร้ซึ่งเครื่องกังวลใจในขณะนั้น ..... “ใคร่อยากได้สิ่งใดต้องได้สิ่งนั้น ไม่มีอะไร ที่ผู้ยิ่งใหญ่ต้องการแล้วจะไม่ได้” การแสวงหาตามความปรารถนาแห่งชีวิตยังคงดำเนินต่อไป เมื่อมีสิทธิที่จะเลือกในสิ่งที่ตนเองต้องการ ความเห็นแก่ตัวเองย่อมมีอิทธิพลมากกว่าการนึกถึงผู้อื่น กาม กิน เกียรติ ยังคงหอมหวานเย้ายวนใจยิ่งนัก เกิดความเบื่อหน่ายในรูปโฉมที่คลายความงดงาม ตรึงใจไปตามกาลเวลา เขาเลือกที่จะยุติความสัมพันธ์กับคู่ชีวิตที่ผ่านความยากลำบากมาด้วยกัน และเลือกสิ่งใหม่ทดแทน เพื่อตอบสนองแรงปรารถนาที่ยังกรุ่นอยู่ในกาย ชีวิตครอบครัวได้ขาดสะบั้นลงไปพร้อมกับมิตรภาพของคนสองคน
ชายชราสะอื้นไห้อีกครั้ง เมื่อภาพของชีวิตที่โหดร้ายได้ย้อนกลับเข้ามา ความแก่ชราได้ปรากฏขึ้นและเป็นที่ประจักษ์แก่ตัวเอง ไม่มีเรี่ยวแรงแม้แต่จะเอ่ยคำพูดใดๆ ไฟในกายได้มอดดับ เหน็ดเหนื่อยกับการกระเสือกกระสนที่จะเคลื่อนไหวร่างกายและอยากจบชีวิตของตนลงเสียตอนนี้ เขาไม่อยากมีชีวิตอยู่อีกต่อไปแล้ว ทรัพย์สมบัติมหาศาลสูญสิ้นไป ไม่หลงเหลือผู้คนที่เคยนับหน้าถือตาในอดีต แม้แต่ลูกในไส้ยังรังเกียจเดียดฉันท์ กลายเป็นชายชราผู้ไร้ค่าที่ไม่มีแม้แต่ที่จะซุกหัวนอน คงเหลือแต่เรื่องราวรันทดให้คนรุ่นหลังได้เล่าขานสืบไป




สังขตลักษณ์

..................ความเกิด...................
....................ปรากฏขึ้น...................
................ดำรงอยู่...............
................แปรปรวน...............
.................สุดท้ายเสื่อมสลายไป................


(ถ่ายทอดความรู้สึกจากการอ่านพาดหัวข่าว “นายพลถูกทิ้ง”)

ขอให้วันวานของทุกคนเป็นความงดงาม